บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 : บ้านของหมอผีคือแดนลับแล

“กลับมาแล้ว!”

ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาหาตัวจับยาก ตะโกนตั้งแต่ก้าวขาผ่านรั้วบ้านบอกกับทุกสรรพสิ่งในอาณาเขตบ้านของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ดังก้อง ได้ยินทุกซอกมุมของบ้าน...

ไม่สิ คฤหาสน์ต่างหาก

คฤหาสน์หลังงามสีขาวสามชั้นที่มีการบำรุงรักษาให้สะอาดเอี่ยมเหมือนใหม่เป็นอย่างดี สองข้างทางเดินเข้าสู่คฤหาสน์เป็นสวนที่ตัดแต่งอย่างเรียบง่าย มีต้นไม้ใหญ่ไม่มากนักแต่ล้วนเป็นต้นไม้เก่าแก่อายุกว่าร้อยปี รอบข้างที่เงียบสงัดและดูเหมือนจะรกร้างไร้ผู้คนราวกับสุสานพลันมีเสียงตอบรับออกมาอย่างคึกครืนโดยไม่มีผู้ใดปรากฏตัวออกมาให้เห็นสักนิด

“ยินดีตอบรับกลับมาพี่หมอ”

“วันนี้กลับดึกนะครับพี่หมอ”

“พี่หมอขา เหนื่อยหน่อยน้า”

“พี่หมอ...”

และอีกสารพัดคำทักทายที่ชายหนุ่มไม่ได้ในใจจะฟักสักเท่าไหร่ เขาเดินเข้าไปในบ้านด้วยท่าทางเรียบเฉยๆ โบกมือเป็นพักๆ ทักทายเหมือนไอดอลกำลังทักทายแฟนคลับที่คลั่งไคล้

ซึ่งแฟนคลับที่ว่านี้มนุษย์ไม่มีทางมองเห็นจากนอกรั้วบ้าน

ใช่แล้ว เหล่าผู้ที่ส่งเสียงร้องทักทายเหล่านั้นคือ ‘ผี’ นั่นเอง

ส่วนที่เรียกว่า ‘พี่หมอ’ กันอย่างชินปากก็เรียกต่อๆ กันมาจากผู้อื่น ไม่ว่าผีนั้นจะเด็กหรือจะแก่แล้วก็เรียกนายไตรวิชญ์ว่า ‘พี่หมอ’ ทั้งนั้น คนอื่นๆ ก็เข้าใจว่ามันมาจากคำว่า ‘พี่’ กับ ‘หมอผี’ นั่นเอง ซึ่งแหล่งที่มานั้นไม่แน่ชัดแต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับชื่อเล่นนักด้วย

และเมื่อไตรวิชญ์ก้าวเข้ามาในบ้านเหล่าผีที่ผู้คนภายนอกไม่อาจมองเห็นก็ปรากฏเป็นร่างกายที่ชัดเจนราวกับพวกเขายังมีชีวิต ใบหน้าที่ควรซีดเซียวราวกับศพในเวลานี้ดูมีสีสันขึ้นจนแยกไม่ออกว่าเป็นมนุษย์หรือคนตาย

จำนวนผีในบ้านของเขานั้นมากมายจนจำได้ไม่หมด ที่อยู่อาศัยของพวกเขาคือใต้ดินที่ตัวเขาเองฝังหม้อเอาไว้ภายใน เขาเป็นคนรับและเก็บเอาไว้เองนั่นเพราะ...

“นายท่าน”

เสียงแหบแห้งดังขึ้นด้านหลังของเขา ผีทั้งหลายเงียบเสียงลงไปในทันที พี่หมอของเหล่าผู้ไร้กายหยาบหันไปมองทันที สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิททั้งตัว ใบหน้าไร้อารมณ์อย่างมากแต่แววตาของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความเคารพและเกรงกลัว

“มาแล้วเหรอยมทูต” ไตรวิชญ์เอ่ยก่อนจะโยนขวดที่บรรจุผีอยู่ภายในส่งไปให้ “วันนี้มีตัวเดียวที่จับได้สาวแก่แม่ม่ายฆ่าตัวตายเพราะผัวทิ้ง... ระดับไม่สูง เอาไปเถอะ”

“เอ่อ ไม่จำเป็นต้องเล่าประวัติก็ได้กระมังครับนายท่าน”

“จะเอาไม่เอา เดี๋ยวพ่อก็ขยี้...”

“ขอบพระคุณครับนายท่าน” ยมทูตรีบเก็บเข้าเสื้อไปอย่างไว้

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ มันก็แค่งานที่ต้องทำเท่านั้น”

ไตรวิชญ์หันหลังกลับแล้วโบกมือให้ ยมทูตโค้งให้เขาเล็กน้อยแล้วหายไปตัว เหล่าผีที่อาศัยอยู่ตามพื้นก็ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวออกมาอีกครั้ง

“ผีแก่แม่ม่ายฆ่าตัวตาย เหอะๆ ประวัติดราม่ามากๆ”

“น่าสงสาร ทำไมไม่ฆ่าผัวก่อนแล้วค่อยฆ่าตัวตายนะ”

“แค่นั้นจะพออะไร ฆ่าเมียน้อยตามไปด้วยเลยจะได้ไม่เหงา”

“นั่นสิๆ ตายคนเดียวแบบนี้ไม่ใจเลยเนอะ”

“ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ผีระดับเดียวกับพวกเราเหรอพี่หมอ?”

ผีตนหนึ่งถามอย่างใคร่รู้ ไตรวิชญ์ครางรับในลำคอ

“อืม แค่ระดับ 4 ไม่เหมาะที่จะมาอยู่ในบ้านของฉันหรอก พวกแกก็รู้นี่กฎของฉันน่ะ”

“นั่นสิเนอะ!”

เสียงเหล่าผีตอบกลับมาอย่างเข้าใจ

ภายในอาณาบริเวณคฤหาสน์หลังนี้นอกจากเป็นที่ซุกหัวนอนของไตรวิชญ์แล้ว ยังเป็นสถานที่สำหรับเหล่าวิญญาณ ทั่วทุกพื้นที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่หนาแน่นและบริสุทธิ์ ไม่ว่าผีที่ไหนเข้ามาก็ล้วนแต่ได้รับประโยชน์ทั้งนั้น

เพียงแต่เจ้าของสถานที่เรื่องมาก ไม่ยินยอมให้ผีเข้ามาในอาณาเขตง่ายๆ และเหล่าผีที่อยู่ในบริเวณบ้านล้วนแต่ถูกไตรวิชญ์จับมาจากสถานที่ต่างๆ ในฐานะของ ‘ผีร้าย’ ระดับ 7 ขึ้นไป

ถูกแล้ว ผีทั้งหมดที่อยู่ที่นี่คือ ‘ผีร้าย’ ที่สร้างความวุ่นวายให้คนเป็นจากสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย

ไตรวิชญ์แบ่งผีร้ายออกเป็น 10 ระดับ ตามขนาดของหม้อกักวิญญาณ

ผีทั่วไปจนผีที่ก่อเรื่องหลอกหลอนผู้คนแต่ไม่เคยฆ่าใคร ส่วนใหญ่แล้วจะมีระดับ 1-5 เก็บอยู่ในรูปแบบของขวดสูง 1-5 นิ้วตามลำดับ

ผีที่พอมีอิทธิฤทธิ์ มีความพยาบาท สามารถที่จะฆ่ามนุษย์ได้ และฤทธิ์จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนคนที่ถูกฆ่า พวกนี้จะใช้ขวดเก็บไม่ได้ต้องเป็นหม้อ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-10 นิ้วตามลำดับ

และผีที่อยู่ในอาณาเขตบ้านไตรวิชญ์ก็คือระดับ 7 ขึ้นไป จำนวนคนที่พวกเขาฆ่านั้นไม่ต่ำกว่าสิบคน ทั้งก่อนเป็นผีและหลังเป็นผีแล้ว เพราะฉะนั้นพวกที่อยู่ในอาณาบริเวณล้วนแล้วแต่เป็นผีร้ายที่ควรตกนรกโลกันตร์อย่างที่สุด แต่การที่ต้องมาถูกกักตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่

นอกจากแบ่งระดับของผีแล้วยังแบ่งลำดับการฝังหม้อกักวิญญาณลงดินด้วย ผีที่อยู่ใกล้ใกล้รั้วจะอยู่ในระดับต่ำ ยิ่งเข้าใกล้บ้านยิ่งมีระดับสูงขึ้นตามลำดับ

และผีที่มีสิทธิ์อยู่ภายในบ้านของเขาก็มีแค่ระดับ 10 เท่านั้นด้วย

เพราะพื้นที่ใกล้บ้านพลังหนาแน่นที่สุด

ส่วนเหตุผลที่จับพวกเขามาแล้วไม่ได้ส่งให้ยมทูตแต่กลับเก็บไว้เพื่อให้เพิ่มพลังนั้น มีเพียงไตรวิชญ์เท่านั้นที่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และไตรวิชญ์เองก็ไม่ได้บอกใครถึงเหตุผลนี้ด้วย

เมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้าน คนที่ออกมาต้อนรับเขามีรูปร่างเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบขาดก็แค่เงาเท่านั้น ใช่ อีกฝ่ายเป็นผี แต่เป็นผีที่มีใบหน้าหล่อเย็นชารูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาสีฟ้าใสคมกริบ ผมสีน้ำตาลทองสั้น ริมฝีปากคลี่ยิ้มเล็กๆ พลางเอ่ยทักทาย

“กลับมาแล้วเหรอไตร”

นี่คือผีระดับ 10 ตัวเดียวในบ้าน... เซียร์

“กลับมาแล้ว คราวหลังถ้ากลับดึกก็ไม่ต้องมารอต้อนรับก็ได้นะเซียร์” ไตรวิชญ์บอกก่อนจะเดินผ่านไป เซียร์เดินตามหลังมาพร้อมกับแท็บเล็ตในมือเพื่อรายงานบางสิ่งให้เจ้าบ้านฟัง

“เราก็ต้องรอรายงานผลประกอบการซื้อขายหุ้น ผลประกอบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เช่าซื้อคอนโดมิเนียมและการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรให้คุณฟัง”

“อันนี้ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องรายงาน...”

“ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินคุณก็ควรฟังบ้าง”

“ฉันเป็นเจ้าของในนาม ส่วนคนที่เป็นคนลงมือก็คือเซียร์ เพราะงั้นถ้าเซียร์เห็นว่าดีก็คือดี”

ตอนนี้ไตรวิชญ์สนใจแค่งานขายประกัน อย่างอื่นไม่คิดจะสนใจ

“จะเชื่อใจกันขนาดนี้เราก็ดีใจอยู่หรอก แต่ฟังไว้บ้างก็ดีนะ”

เซียร์ถอนหายใจ แต่ก็ยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี เขาค่อนข้างพอใจกับความไว้เนื้อเชื่อใจของไตรวิชญ์มาก

ทรัพย์สินมหาศาลในนามของไตรวิชญ์นั้นสร้างขึ้นมาด้วยน้ำมีผีอย่างเซียร์ ที่มาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ตั้งแต่รุ่นแรกๆ เขาช่วยไตรวิชญ์ในการบริหารทรัพย์สินและหาเงินเข้าบ้าน ด้วยปริมาณผีที่อยู่ในบ้านจำนวนมาก การซื้อของเข้ามาเซ่นเหล่าผีให้อยู่ติดที่ไม่ออกไปไหนก็เป็นเงินที่เขามาทั้งนั้น

ถ้าไม่มีเซียร์หาเงินผีที่นี่ก็ไม่มีอะไรกิน เพราะไตรวิชญ์ไม่มีทางสละเงินซื้อของให้ผีกินทุกวันครบสามมื้อหรอก

“คุณกินอะไรมาหรือยัง?”

“ยัง... คิมทำอะไรไว้ให้กินหรือเปล่านะ”

ไตรวิชญ์หันซ้ายหันขวามองเจ้าของชื่อดังกล่าว ร่างสูงโปร่งผมสีดำสั้นในชุดผ้ากันเปื้อนเดินออกมาอย่างห้องครัว ใบหน้าสวยยิ้มอ่อนโยนให้กับพี่หมอที่เพิ่งเข้าบ้าน ดวงตาสีน้ำเงินเป็นประกายงดงามที่ชวนให้คนมองรู้สึกลุ่มหลง โดยเฉพาะผู้ชายหากได้มองนานๆ ก็เหมือนจะถูกกระชากวิญญาณ

คำว่าสวยหมดจดเหมาะกับคนตรงหน้ามาก

แต่ว่า...

“ทำไว้ให้แล้วล่ะครับคุณไตร” เอ่ยออกมาเสียงแหบทุ้มอย่างชายชาตรี ทำเอาคนกำลังชื่นชมความงามในใจเสียหลักแทบวูบ

“อืม ขอบใจ”

หน้าตากับเพศที่แท้จริงไม่ตรงกันเลย

ไม่ว่าจะมองกี่ทีก็เสียดายความสวยนี่จริงๆ เว้ย

ไตรวิชญ์มองคิมแวบหนึ่งแล้วเดินเข้าไปหา ผู้ชายในคราวสาวสวยเดินนำเข้าไปในห้องครัวที่มีจานอาหารวางอยู่บนโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายออกมา

“มีอะไรกินบ้าง แล้วคิมกับเซียร์กินหรือยัง”

“เซียร์กินแล้วครับ ส่วนผมเพิ่งกินไป” คิมตอบ พลางชี้ไปที่ถุงเลือดหนึ่งถุงอยู่บนถังขยะ นั่นคืออาหารของคิม เลือดแช่แข็งที่ซื้อมาตุนไว้ให้กับเขา ไตรวิชญ์พยักหน้าเข้าใจ

แต่ไม่นานพี่หมอก็ขมวดคิ้ว

“นี่เพิ่งถุงแรกของเดือนสินะ ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอยากกินเลือดเท่าไหร่ก็ได้ เลือดไม่ได้หายากขนาดนั้น”

“ผมไม่ค่อยได้ใช้พลังงานอะไร เดือนละถุงก็พอแล้วครับ”

คิมหัวเราะเบาๆ ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

“นายเป็นแวมไพร์ภาษาอะไรเนี่ยคิม กินน้อยแท้ๆ” ไตรวิชญ์ส่ายหน้าไปมาอย่างปลงตก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้บังคับให้กิน

คนสวยตรงหน้าเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ที่จับกลับมาได้แบบงงๆ นอกจากเป็นแวมไพร์มักน้อยแล้ว ยังเป็นคนที่ชอบทำงานบ้านและทำอาหารมาก อาหารการกินทั้งหมดของบ้านนี้เป็นฝีมือของเขา

ทำงานบ้านได้ดีซะผีบ้านผีเรือนตัวจริงหนีหายไปด้วยความน้อยใจแล้ว แต่การมีคิมอยู่ด้วยการใช้ชีวิตของไตรวิชญ์ก็สบายขึ้นมากทีเดียว

จะมีที่ไหนที่มีแม่บ้าน (?) สวยๆ ให้ใช้งานฟรีๆ อย่างนี้อีก

“คุณไตรรีบกินเถอะครับ จะได้อาบน้ำนอน พรุ่งนี้ยังมีประชุมทีมขายบริษัทประกันอีกนี่ครับ” แวมไพร์คนสวยยิ้มตอบ “นี่ก็สี่ทุ่มกว่าแล้วด้วย มนุษย์นอนดึกไปก็ไม่ดีต่อร่างกายนะครับ”

“รู้แล้วๆ บ่นเป็นแม่เลยนายเนี่ย”

“ผมไม่อยากมีลูกอย่างคุณหรอกนะ”

“งั้นเอาใหม่... บ่นเป็นแม่ในร่างเมียเลยนะนายเนี่ย”

“คุณไตร! ยังจะพูดอีกเดี๋ยวเถอะ!”

ใครอยากเป็นเมียคุณ ผมเป็นผู้ชาย! คิมมองอย่างเคืองๆ

“ครับๆ ไม่พูดแล้ว” ไตรวิชญ์ยอมเงียบแต่โดยดีแต่ก็ไม่วายเบ้ปากใส่ เซียร์หัวเราะบางๆ โบกแท็บเล็ตในมือไปมาแล้วเอ่ยขัดการที่พี่หมอจะถูกแวมไพร์กัดเลือดสาด

“จริงสิ ตอนนี้มีข่าวของหนึ่งในวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่คุณตามหาด้วยนะไตร”

ไตรวิชญ์เงยหน้าขึ้น “หืม? ไม่ใช่ข่าวลวงแน่นะ”

“ข่าวนี้กรองมาแล้ว”

“ข่าวอะไรครับ”

คิมที่ยังไม่ไปไหนถาม และปรายตาดุใส่ไตรวิชญ์ที่ไม่ยอมนั่งลงกินข้าวดีๆ จนเขาต้องเดินไปนั่งกินอาหารที่ยังอุ่นๆ อยู่อย่างว่าง่าย

ยังไงหากไม่อยากอดตายอย่าขัดใจแม่ (?)

“ข่าววัตถุศักดิ์สิทธิ์น่ะ เราว่าคิมไม่น่าจะสนใจหรอก”

“ไม่สนหรอกครับ แต่ถ้าคุณไตรอยากได้มันก็คงพิเศษมาก”

“เป็นแร่เหล็กธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่หายากมาในปัจจุบัน... เหล็กไหลน่ะ” เซียร์เปิดข้อมูลบนจอให้พวกเขาดู

ภาพที่ปรากฏเป็นรูปร่างของไม้ตะพดที่ดูเก่าแก่ หัวตะพดทรงกลมทำจากทองแท้มีรอยขีดข่วนอ่อนๆ ไม้สีดำขัดเงาวาดลวดลายไทยโบราณสีทองไว้ มองเผินก็แค่ตะพดเก่าเท่านั้น ดูไม่ออกเลยว่าเป็นเหล็กไหลตรงไหน

ทันทีที่เห็นคิมผงะถอยหลังไปในทันที

“เป็นอะไรไปคุณคิม” เซียร์ถามเมื่อเห็นปฏิกิริยารุนแรงของแวมไพร์คนสวย ใบหน้างามเหยเกเล็กน้อยก่อนจะตอบ

“ไม่มีอะไรครับ แค่ประหลาดใจว่านี่เป็นสิ่งที่มีเหล็กไหลจริงเหรอ” แต่ในใจนั้นคิดไปถึงเรื่องไหนก็ไม่มีใครรู้

“นั่นสิ ส่วนไหนที่เป็นเหล็กไหลน่ะเซียร์” เขามองยังไงก็แค่ตะพดไม้ดำหัวทองคำเฉยๆ เองเหอะ

“เหล็กไหลอยู่ภายในหัวตะพดทองคำไง”

“หืม?”

“ดูเหมือนว่าจะใช้ทองคำบริสุทธิ์เป็นตัวกักเหล็กไหลเอาไว้ ตัวไม้ดำเองก็เป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ไม้งิ้วดำจากป่าลึกเห็นว่าอายุกว่าพันปี... ของหายากทั้งชิ้น”

“มีคนตรวจสอบแล้วเหรอ”

“ตรวจสอบแค่ภายนอก ไม้งิ้วดำก็ตรวจสอบแล้วว่าของจริงไม่ใช่ไม้มะเกลือย้อมสี ลวดลายสลักเป็นการเลื่อมทอง หัวตะพดเป็นทองคำบริสุทธิ์แท้แต่จากที่ตรวจสอบคือน้ำหนักมันไม่ตรงกับขนาดที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5 นิ้ว เลยคิดว่าภายในหัวตะพดทองน่าจะกลวงหรืออาจจะมีอะไรบางอย่างที่มีน้ำหนักมากอยู่ภายใน”

“กลวงหรือมีน้ำหนักมาก? จะบอกว่าน้ำหนักไม่แน่นอนเหรอครับ” คิมถามอย่างสงสัย สีหน้าท่าทางตอนนี้แปลกประหลาดอย่างมากแต่ไม่มีใครสะกิดใจ เซียร์พยักหน้ารับเบาๆ

“ใช่คุณคิม เราดูรายงานน้ำหนักที่วัดได้แล้วปรากฏว่ามันไม่เท่ากันเลยสักครั้ง จะลองผ่าดูก็ไม่ได้กลัวมันเสียหายแล้วจะทำให้ราคาตก เลยคาดคะเนกันว่าภายในอาจจะมีของศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็ได้ ซึ่งวัตถุที่พอจะเข้าเค้าในที่นี้ก็คือเหล็กไหล”

“งั้นเหรอ... ก็มีความเป็นไปได้” ไตรวิชญ์พยักหน้า “แล้วไปดูมาหรือยัง?”

“เราไม่ได้ไปดู ว่ากันตามตรงไม่มีเวลาหรอก ก็เลยให้ผีตนอื่นๆ ไปดูแทน”

“แล้วผลเป็นยังไง”

“ไม่มีผีที่ไหนเข้าใกล้ได้เลยน่ะสิ โดนดีดปลิวหมด”

ไตรวิชญ์นั้นหัวเราะเสียงดังราวกับเรื่องนี้เป็นไปอย่างที่เขาคาดเอาไว้

“ฮ่าๆๆ ก็สมควร เหล็กไหลเป็นแร่ศักดิ์สิทธิ์เป็นปรปักษ์กับผีร้าย นี่ยังไม่รวมไม้งิ้วดำที่ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายทั้งมวล ถ้าผีบ้านเราเข้าไปใกล้ได้มันก็คงเป็นของปลอม ฮ่าๆๆ”

ที่นี่มีแต่ผีร้าย ผีฝ่ายดีมีบุญวาสนาเป็นศูนย์เชียวนะ เข้าใกล้ของศักดิ์สิทธิ์ได้ก็แปลกแล้ว

แต่ในเมื่อยืนยันได้แล้วว่าเป็นของจริงทั้งแท่ง ที่เหลือก็แค่ไปเอามันมาเท่านั้น

“ว่าแต่ตะพดนี่เขาเอามาขายหรือแค่แสดงโชว์”

“ขาย” เซียร์ยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนจอแท็บเล็ตให้เปลี่ยนรูป “ตะพดนี่มีประมูลในงานประมูลใต้ดินที่จัดขึ้นเฉพาะวงในของเหล่าเศรษฐีและนักสะสม จัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า... สถานที่คือซีฟรังซ์คลับที่อยู่ถัดจากบ้านของเราไปแค่สามซอยเท่านั้น”

“ใกล้แฮะ งั้นก็ไป เซียร์กับคิมไปด้วยกันไหม?”

“ถ้าไตรอยากให้ไปเราก็จะไป”

“ไม่ล่ะครับ ผมไม่ชอบออกงานพวกนี้สักเท่าไหร่” คิมพูดรัวเร็วก่อนจะรีบเดินออกจากห้องครัวไป “รีบกินอาหารเถอะครับก่อนที่มันจะเย็น กินเสร็จแล้วเดี๋พยวผมมาเก็บจานทีหลัง”

ไตรวิชญ์และเซียร์มองตากันปริบๆ ก่อนจะพูดออกมาอย่างฉงน

“อะไรของเขาล่ะเนี่ย”

มีพิรุธวุ้ย!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel