สถานีแรก...เพียงพบ (1)
สถานีแรก...เพียงพบ (1)
สองปีก่อน
ณ ค่ายอาสา จังหวัดเชียงราย
คุณเคยตกหลุมรักใครเพียงสบตาหรือเปล่า?
คุณเคยปักใจชอบใครเพียงเสี้ยววินาทีที่ใกล้ชิดบ้างไหม?
ฉันกำลังรู้สึกแบบนั้นอยู่ ฉันชอบคนคนหนึ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเวียนมาพบเจอกันได้
ฉันเรียนศึกษาฯ ส่วนเขาเรียนแพทย์ เราสองคนอยู่ปีเดียวกัน อายุเท่ากัน หากแต่ว่าช่วงชีวิตของฉันกับเขาล้วนแต่หาเหตุผลให้มาพบเจอกันไม่ได้เลย แต่แล้วโชคชะตาก็ทำให้ความไม่คาดคิดนั้นเวียนวนมา…
ฉันและเขาอยู่ชมรมอาสาเหมือนกัน คงเป็นเพราะแบบนี้แหละมั้งถึงทำให้ฉันและเขาได้พบเจอและใกล้ชิดกันได้ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วเปอร์เซ็นต์การเฉียดใกล้ระหว่างฉันกับเขานั้นแทบจะเป็นศูนย์เลยด้วยซ้ำ
วันนี้ฉันมาเข้าค่ายอาสาที่จังหวัดเชียงราย ฉันอยู่ในชมรมอาสาของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีนักศึกษาหลากหลายคณะที่มาเข้าร่วมตามความสมัครใจ และหนึ่งในนั้นก็คือ 'องศา'
“เธอเจ็บตรงไหนไหม เจ็บตรงไหนก็บอกมาได้เลย” เสียงทุ้มนุ่มลึกเอ่ยซึมซับเข้ามาถึงขั้วหัวใจพลันทำให้ฉันหลุดเข้าไปในห้วงภวังค์
ร่างกายของฉันกำลังอยู่ในวงแขนขององศา เขากำลังประคองฉันเอาไว้จากการสะดุดล้มที่พื้นจนเกิดอาการข้อเท้าแพลง
“นี่ ว่าไง ทำไมถึงเงียบไป เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” องศาเอ่ยถามอีกครั้งพร้อมกับออกแรงสะกิดฉันเบา ๆ สิ่งนั้นทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกหลุดจากห้วงภวังค์ความคิดและสบสายตาขึ้นประสานมองเขาในที่สุด
“ฮะ? นะ...นายว่าไงนะ?”
“ฉันถามว่าเจ็บตรงไหนไหม เมื่อกี้ล้มไม่ใช่เหรอ”
“มะ...ไม่เป็นไร เราโอเค ขอบคุณนะ...อ๊ะ!” ฉันส่ายหน้าหวือพลางผละตัวออกจากวงแขนแกร่ง พยายามเดินหนีจากเขาให้เร็วที่สุดหากแต่ว่าความเจ็บปวดที่ข้อเท้าตรงเข้าเล่นงานจนทำให้ฉันเสียหลักล้มลงอีกครั้ง
“อวดเก่งจริง ๆ ถ้าเจ็บก็บอกสิ จะดื้อด้านไปทำไม”
ร่างสูงขมวดคิ้วพลางย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกัน มือหนาสัมผัสที่ข้อเท้าของฉันอย่างเบามือขณะที่สายตาคมก็จดจ้องมองไปที่รอยแดงช้ำราวกับพิจารณาถึงอะไรบางอย่าง
“มะ...ไม่ต้อง เราไม่เป็นไรมากหรอก แค่ข้อเท้าแพลงน่ะ เดี๋ยวเราไปขอยาที่ฝ่ายพยาบาลเอง ขอบคุณมากนะ เรา...”
“ฉันเรียนหมอ ถึงจะเพิ่งอยู่ปีหนึ่งแต่ฉันก็มั่นใจว่าฉันมีความรู้มากกว่าเธอแน่นอน หุบปากไปซะ แล้วก็นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อน ฉันจะไปเอายามาทาให้”
ไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยจนจบประโยค เสียงดุดันขององศาก็แทรกขึ้นพัลวัน เฉกเช่นเดียวกับสายตาดำเข้มที่ตวัดมองล้วนแต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างถึงที่สุด
และแน่นอนว่าฉันทำได้เพียงพยักหน้ารับในคำพูดของเขาอย่างว่าง่าย ปากที่กำลังจะเถียงออกไปกลับเม้มเข้าหากันแน่นเพียงเพราะเจอกับสายตาคมคู่นั้น
ให้ตาย...อยากจะถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องกลัวเขาด้วย!
องศากลับมาพร้อมน้ำแข็งและผ้ายึดกล้ามเนื้อที่ถือไว้ในมือ เขามองหน้าฉันเล็กน้อยก่อนจะหันไปสนใจยังข้อเท้าบวมแดงที่บ่งบอกชัดเจนว่ามันอักเสบชนิดที่ฉันไม่สามารถขยับไปไหนได้
มือหนาจับที่ข้อเท้าพลางหยิบน้ำแข็งที่บรรจุอยู่ในถุงซิปล็อกมาประคบอย่างบางเบา สัมผัสอ่อนโยนทำให้คนที่เจ็บปวดอย่างฉันไม่รู้สึกถึงน้ำหนักสักเท่าไหร่นัก กลับกันเป็นสายตาของฉันที่เอาแต่จดจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาขององศาที่กำลังขะมักเขม้นกับการกระทำของตัวเอง
“มือนายเบามากเลย เราไม่เจ็บเลยอะ” ฉันเอ่ยทำลายความเงียบเนื่องจากในบริเวณนี้มีเพียงแต่ฉันกับองศาเท่านั้น
แถมเสียงหัวใจที่กระหน่ำเต้นไม่เป็นจังหวะดังก้องซะจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน ฉันกล้ายอมรับแต่โดยดีเลยว่าฉันกำลังตกใจและทำตัวไม่ถูกที่อยู่ ๆ ก็ได้ใกล้ชิดกับองศาแบบนี้
องศาเป็นหนุ่มฮอตของมหาวิทยาลัย เขาเป็นนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งที่เป็นที่พูดถึงจนใครหลาย ๆ คนยกให้เป็นหนุ่มหล่อประจำคณะ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีฉันด้วยคนหนึ่งที่เห็นพ้องต้องกันกับคนอื่นว่าเขาน่ะคือสุดหล่ออย่างที่ได้ยินมาจริง ๆ!
“นี่ฉันเป็นคนไข้คนแรกของนายหรือเปล่าเนี่ย”
“...”
เป็นเพียงความเงียบที่ได้รับตอบกลับมาจากองศา เขายังคงเงียบและไม่มีคำใดที่เอ่ยเอื้อนออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมนายถึงมาเข้าชมรมนี้ล่ะ” ฉันถามอีกครั้งเมื่อคิดว่าบทสนทนาของเราสองคนควรมีมากกว่าหนึ่งประโยค
“...”
และใช่...องศาตอบรับคำถามของฉันด้วยความเงียบอีกเช่นเคย
“เรียนหมอหนักจะตาย แต่นายก็ยังมาเข้าชมรม นี่นายรู้ไหมว่าค่ายอาสาปีนี้คึกคักกว่าทุกปีเลยนะ เพราะนายน่ะคือหนุ่มฮอตยังไงล่ะ คนเลยตื่นเต้นกันใหญ่เลย” รวมถึงตัวฉันด้วย ฉันเองก็ยังตกใจอยู่เลยที่เห็นหน้าเขาตอนรวมตัวที่มหาวิทยาลัย แค่รู้ว่ามีชื่อขององศาอยู่ในชมรมก็ว่าตกใจแล้ว นี่เขายังมาร่วมค่ายอาสาอีกก็ทำให้ฉันยิ่งกว่าช็อกเลยก็ว่าได้
“รู้ได้ไงว่าคึกคักกว่าทุกปี เธอเองก็อยู่ปีหนึ่งไม่ใช่หรือไง”
“โอ๊ะ! ยอมพูดแล้ว นึกว่าจะเอาแต่ทำหน้าเก๊กจนตะคริวกิน เอ่อ...แหะ โทษที...” ฉันเบิกตากว้างเมื่อคำตอบที่ได้รับไม่ใช่ความเงียบอีกต่อไป แต่ไม่นานก็ต้องหุบยิ้มเพราะสายตาคมที่ตวัดขึ้นมองเป็นเครื่องเตือนใจฉันได้เป็นอย่างดีว่าไม่ควรพูดแบบนั้นออกไปเลยสักนิด
“...เราก็ได้ยินรุ่นพี่เขาพูดกันมานั่นแหละ ก็อย่างว่าแหละเนอะ เพิ่งเข้ามาปีหนึ่ง ไม่รู้หรอกว่าปีก่อน ๆ ค่ายอาสามันสนุกหรือว่าน่าเบื่อน่ะ” ฉันเอ่ยต่อถึงคำถามขององศา ลึก ๆ ก็แอบดีใจอยู่เหมือนกันที่เขารับรู้ว่าฉันเองก็มีตัวตนในค่ายอยู่เหมือนกัน
“...”
“แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ในชมรมนี้ล่ะ”
“เพื่อนบังคับมาลงชื่อ”
“ถามจริง!? คนอย่างนายไม่น่าโดนเพื่อนบังคับได้นะ อืม...เพื่อนสองคนนั้นอะนะ เราพอนึกหน้าออกละ เพื่อนนายนี่หล่อทุกคนเลยอะ นายคบเพื่อนที่หน้าตาหรือไง แต่สำหรับเรานะ เราว่านายหล่อสุด ออร่านี่เปล่งประกายมาก ๆ อย่างกับเทพบุตร...”
“เสร็จแล้ว ระหว่างนี้ก็อย่าลงน้ำหนักมาก ฉันพันผ้ายืดไว้แล้ว หมั่นประคบเย็นด้วยล่ะ” ร่างสูงหยัดกายขึ้นจนฉันต้องแหงนเงยหน้ามองไปตามระดับความสูงที่มากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร
“ขะ...ขอบคุณนะองศา ถ้าไม่ได้นายเราแย่แน่เลย” ฉันส่งยิ้มกว้างให้กับคนตรงหน้า พยายามค้ำมือกับสิ่งรอบข้างเพื่อไม่ให้ร่างกายโอนเอนมากที่สุด
“อืม”
“เราชื่อโมนานะ เรียกโมเฉย ๆ ก็ได้ จำชื่อเราไว้ให้ดีนะ เพราะเราคือคนไข้คนแรกของนาย คุณหมอองศา”
ก่อนที่ร่างสูงจะเดินจากไป ฉันตัดสินใจเอ่ยประโยคหนึ่งออกไปซึ่งล้วนแต่กลั่นกรองออกมาจากความตั้งใจทั้งนั้น
“...”
“จำชื่อเราให้ได้นะ เราชื่อโมนา ได้ยินไหมองศา เราชื่อโมนา!”
เขาเย็นชา นิ่งเรียบ และสุขุม...แต่ไม่รู้ทำไมถึงทำให้หัวใจของฉันเต้นระรัวแบบนี้
หลังจากนี้ฉันคงต้องเข้าหาองศาให้มากกว่าการรู้จักแค่ชื่อแล้วล่ะ...
ไอ้โมนาพร้อมลุย!
