สถานีที่สาม...ค่ายวันสุดท้าย (1)
สถานีที่สาม...ค่ายวันสุดท้าย (1)
วันเวลาและการใช้ชีวิตในค่ายอาสาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วจวบจนถึงวันท้ายสุดของโครงการ...
วันที่สิบของโครงการค่ายอาสาคือการบอกลากับเหล่าชาวบ้านและพวกเด็ก ๆ เนื่องจากเวลาเจ็ดโมงตรงจะเป็นการรวมตัวกันเพื่อออกเดินทางด้วยรถบัสเหมาคันมุ่งสู่เมืองหลวง และแน่นอนว่าบรรยากาศในช่วงเช้า ๆ แบบนี้เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยที่จะต้องจากลา
“หนูไม่อยากให้ครูพี่โมไปเลย อยู่ต่ออีกไม่ได้เหรอคะ”
“ใช่คับ ๆ อยู่ต่ออีกเถอะนะ แม่บอกผมว่าผมกำลังจะได้ไปโรงเรียนแล้ว อีกไม่กี่เดือนผมก็จะได้ใส่ชุดนักเรียนแล้วนะ ครูพี่โมไม่อยากเห็นเหรอคับ”
เด็กตัวน้อยเดินล้อมหน้าล้อมหลังทำให้ฉันจำต้องย่อตัวลงเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกัน วงแขนสองข้างโอบกอดบาง ๆ ขณะที่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มกว้าง หากแต่ว่าภายในใจกลับรู้สึกอยากจะร้องไห้เกินกว่าจะกลัดกลั้น
ฉันเองก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน ตลอดระยะเวลาสิบวันที่ฉันได้มาร่วมเข้าค่ายอาสาแห่งนี้นับว่าเป็นประสบการณ์และช่วงเวลาที่ดีอีกช่วงหนึ่งสำหรับฉันเลยก็ว่าได้
ฉันเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียนประถมและมัธยม การได้ออกมาใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มเพื่อนและรุ่นพี่ รวมไปถึงบทบาทที่ฉันต้องรับบทเป็นคุณครูสอนหนังสือเด็ก ๆ ทำให้ฉันรู้สึกชื่นชอบเป็นที่สุด เช่นเดียวกับผู้คนที่นี่ก็น่ารักกับพวกเรามาก ถึงแม้ว่าในตอนแรกค่ายอาสาของพวกเราจะไม่ได้รับการต้อนรับจากชาวบ้าน แต่เมื่อผ่านพ้นไปได้เพียงสองวันทุก ๆ คนก็เปิดใจรับและให้ความร่วมมือกับค่ายอาสาของพวกเราเป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้แหละมั้งที่ทำให้ฉันรู้สึกใจหายที่ถึงเวลาแยกย้ายกลับไปใช้ชีวิตตามแบบแผนเดิม กลับไปเจอความวุ่นวายในกรุงเทพฯ กลับไปเรียนหนังสือหนัก ๆ ในห้องสี่เหลี่ยม และกลับไปพบเจอผู้คนนับร้อยนับพัน ที่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ๆ ฉันก็มั่นใจว่าค่ายอาสาที่นี่จะยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของฉันตลอดไป
“พี่ต้องกลับแล้วนะเด็ก ๆ พ่อกับแม่คงคิดถึงพี่แล้วเหมือนกัน นี่ก็จากบ้านมาตั้งสิบวันแหนะ ป่านนี้พ่อกับแม่คงชะเง้อคอมองหาพี่ใหญ่แล้ว” ฉันเอ่ยเสียงแผ่วเบาพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ความจริงแล้วฉันไม่ได้อยู่กับพ่อแม่อย่างที่พูดไปหรอก ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัด มาเรียนที่เมืองหลวงโดยที่พ่อกับแม่เช่าบ้านให้อยู่ลำพัง แต่ความคิดของเด็กวัยนี้คงเข้าใจอะไรไม่ได้มาก และคำอธิบายที่เห็นว่าจะทำให้เด็ก ๆ คิดตามได้มากที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องครอบครัวที่กำลังเฝ้ารอการกลับมา
“งืม...ก็จริงอย่างที่ครูพี่โมพูดนะ นี่ขนาดตอนเย็นที่พวกเราชอบไปเล่นกัน เวลาค่ำ ๆ พ่อกับแม่ก็มักจะมานั่งรอหน้าบ้านตลอด แล้วนี่พี่โมไม่อยู่บ้านตั้งสิบวันคงคิดถึงมาก ๆ แน่เลยฮะ!”
“แล้วพี่โมจะกลับมาหาพวกเราอีกไหม พี่ ๆ คนอื่นจะมาอีกหรือเปล่า” เสียงใสเจื้อยแจ้วเอ่ยถามด้วยแววตาเปล่งประกาย ดวงตาเม็ดลำไยหันมองไปยังพี่ ๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เพื่อหาคำตอบที่คาดหวัง
“ถ้ามีโอกาสก็คงได้กลับมาอีกแน่ ๆ จ้ะ” เป็นเสียงของพี่จอยที่เอ่ยขึ้น ร่างแบบบางย่อตัวลงข้าง ๆ กายของฉันก่อนจะลูบที่เรือนผมนุ่มของเด็กน้อยอย่างบางเบา
พี่จอยเป็นประธานค่ายอาสา นอกจากอาจารย์ที่ดูแลชมรมแล้วก็มีพี่จอยนี่แหละที่มีอำนาจและการตัดสินใจสูงที่สุด
“พวกเราจะรอฮะ รอ ๆ รอฮะ!”
“ใช่ ๆ อย่าลืมมาหาพวกเราอีกนะคะ!”
ทุกคนรวบรวมของสัมภาระขึ้นไปไว้บนรถได้เสร็จสรรพตามเวลาที่กำหนด หลังจากที่กล่าวลากับพวกเด็ก ๆ ก็ได้เวลาเช็กชื่อและเตรียมตัวขึ้นรถกลับเสียที การเดินทางจากจังหวัดเชียงรายสู่เมืองหลวงใช้เวลามากกว่าสิบชั่วโมง จึงทำให้ต้องเร่งรีบออกเดินทางเสียตั้งแต่ตอนเช้า
สภาพอากาศของภาคเหนือหนาวเย็นในเวลากลางคืนและช่วงเช้า หากแต่ว่าแสงแดดที่สาดส่องกลับทำให้แสบร้อนเรียกหยาดเหงื่อออกมาได้เหมือนกัน ฉันเดินไปหยิบขวดน้ำกับฝ่ายอาหาร เพราะก่อนจะเริ่มต้นการเดินทางจะมีน้ำดื่มและขนมแจกจ่ายให้คนละชุด เพื่อสำหรับรองท้องก่อนจะแวะพักทานอาหารเมื่อออกจากบนดอยได้สำเร็จ
“ฮอตไม่เบาเลยนะครูพี่โม เด็ก ๆ ร้องหาแกกันใหญ่” เสียงของพั้นซ์เอ่ยแซวทำให้ฉันถึงกับหัวเราะออกมา หันหน้าไปมองก็เห็นว่าเพื่อนสนิทอย่างพั้นซ์และกวินก็เดินตามมาหยิบขวดน้ำด้วยเช่นกัน
“จริงด้วย เด็ก ๆ รักแต่ครูพี่โมทั้งนั้น”
“โอ๊ะ! ไอ้โม องศากำลังเดินมาทางนี้!” แรงสะกิดยิก ๆ ที่ต้นแขนทำให้ฉันต้องหันไปมองยังระดับสายตาของเพื่อนสนิทข้างกาย
ร่างสูงขององศาเดินฝ่าวงของผู้คนและตรงมาทางที่ฉันยืนอยู่ ความเปล่งประกายที่สะท้อนออกมาจากรูปร่างและใบหน้าหล่อเหลาทำให้สิ่งรอบตัวราวกับหยุดเคลื่อนไหวไปโดยปริยาย ทุกสายตาต่างก็จดจ้องมองไปยังเขา เฉกเช่นเดียวกับฉันที่หยุดสะกดไปที่ร่างสูงโปร่งนี้จนไม่อาจหักห้ามได้
มีเสน่ห์จริง ๆ นั่นแหละ จะหล่อไปถึงไหนกัน...
“เขามาเอาน้ำแน่เลย แกหยิบให้เขาสิโม เร็ว!”
“ฮะ? ฉะ...ฉันเหรอ เออได้ ฉันจะ...” ฉันรีบหันรีหันขวางมือไม้พัวพันกันจนยุ่งเมื่อตั้งสติมองหาขวดน้ำหวังจะส่งยื่นให้กับองศา
วันนี้ฉันยังไม่ได้ทักทายพูดคุยกับเขาเลย เพราะทุก ๆ วันฉันมักจะเข้าไปทักทายกับองศาอยู่ตลอด แวะเวียนไปให้เห็นหน้าบ่อย ๆ บ้างก็ชวนไปสอนหนังสือเวลาที่เขาไม่มีหน้าที่ความรับผิดชอบในเวลานั้น หากแต่วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ฉันจะสามารถใกล้ชิดกับนักศึกษาแพทย์อย่างเขาได้
“องศามาหยิบน้ำเหรอ เอานี่ไปสิ เราหยิบมาเกิน” เสียงออดเสียงอ้อนดักหน้าราวกับจอมมารในละครทำให้ฉันหุบยิ้มฉับพลัน ร่างเพรียวบางของสาวสวยในฝ่ายพยาบาลเดินตัดหน้าพร้อมกับยื่นขวดน้ำไปให้องศาอย่างกับรอจังหวะนี้มาตั้งแต่ต้น
“เอาขวดน้ำเราไปก็ได้ เรายังไม่ได้เปิดเลย องศาจะได้ไม่ต้องเดินไปให้เหนื่อย รับไปสิ”
“ขวดเราก็ได้นะ ยังเย็น ๆ อยู่เลย เอาไปสิองศา เรายกให้”
อืม...ไม่ใช่แค่สาวสวยฝ่ายพยาบาลแล้วแฮะ แต่มีมาเพิ่มอีกมากกว่าสาม!
ตอนนี้องศากำลังถูกรุมล้อมด้วยผู้หญิงมากมายที่พร้อมเสียสละยกขวดน้ำให้ ฉันที่กำลังจะเสนอหน้าออกไปเป็นต้องชะงักฝีเท้าหยุดกึกจนเกือบหน้าทิ่ม
เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละว่าเสน่ห์คนฮอตมันร้อนแรงเกินต้านจริง ๆ แค่หน้าตาดีก็มีคนอยากเข้าหาแล้ว ถึงแม้ว่าองศาจะหยิ่งและเข้าถึงยากแค่ไหน แต่ด้วยความหล่อเหลาก็ทำให้ทุกคนสนใจเขากันอย่างพร้อมเพรียง
เช่นเดียวกับฉันนี่แหละ...เพราะฉันเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนที่หลงเสน่ห์ความหล่อของเขาเหมือนกัน!
“นกจ้ะเพื่อน ทำใจหน่อยนะ หลงคนหล่อก็เป็นงี้แหละ” พั้นซ์ตบไหล่ฉันเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ ซึ่งฉันเองก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจระบายความเบื่อหน่ายที่มีอยู่เต็มอก
ตลอดการอยู่ค่ายฉันได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนสนิทอย่างพั้นซ์แทบจะทุกเรื่อง รวมไปถึงเรื่องขององศาเองก็เช่นกัน ฉันบอกอย่างไม่อายว่าฉันชอบเขา ฉันหลงเสน่ห์เขาแล้วจริง ๆ และแน่นอนว่าเพื่อนที่ดีอย่างพั้นซ์มักจะช่วยหาหนทางเพื่อให้ฉันอยู่ใกล้ชิดกับองศาอยู่ตลอด
“เฮ้ย ๆ องศาปฏิเสธว่ะไอ้โม เขากำลังเดินมาทางนี้! แกรีบหยิบขวดน้ำมาเร็ว ถ้าเขารับขวดน้ำจากแก ยัยผู้หญิงพวกนั้นหน้าแตกดังโพละแน่!”
ทว่าร่างสูงขององศากลับเดินฝ่าผู้คนมาพร้อมกับปฏิเสธความหวังดีจากคนเหล่านั้นอย่างไร้เยื่อใย ฉันไม่ได้ยินหรอกว่าองศาพูดไปว่าอะไร แต่เห็นสายตาเรียบนิ่งและใบหน้าไม่พอใจก็รับรู้ได้แล้วว่าองศาไม่รับขวดน้ำจากสาว ๆ พวกนั้นเลยสักคน
และตอนนี้เขากำลังเดินมาทางฉัน!
“แล้วถ้าเขาไม่รับของฉันล่ะ หน้าฉันก็แตกดังโพละเหมือนยัยพวกนั้นเหมือนกันนะ” ฉันกระซิบเบา ๆ แต่ร่างกายกลัดเกร็งแข็งทื่อแสดงพิรุธออกมาให้เห็นอย่างถึงที่สุด
“เงียบ! เขาเดินมาแล้ว...อ้าวองศา! มาทำอะไรเหรอ อ้อ มาหยิบขวดน้ำเหรอ” พั้นซ์เบิกตากว้างรีบสลับอารมณ์หันไปทักทายกับองศาที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าได้ทันจังหวะพอดิบพอดี
“อืม”
“เหอะ หยิ่งสัส ๆ” กวินแค่นหัวเราะก่อนจะเดินออกไปด้วยความไม่สบอารมณ์ ฉันรู้มาว่ากวินไม่ชอบพอองศาและเพื่อนของเขาสักเท่าไหร่ แต่สาเหตุฉันเองก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้เหมือนกัน
“ไอ้โม เร็วสิ...ให้เลย!”
“เอ่อ...” ฉันสะดุ้งกับแรงสะกิด หากแต่ว่ายังคงตกใจและทำตัวไม่ถูกเมื่อทุกอย่างมันปุบปับไปหมด
“จะมาเอาขวดน้ำไม่ใช่เหรอ นี่ไอ้โมมันก็หยิบเกินมาขวด นายก็รับไปสิ” พั้นซ์จับแขนของฉันให้ส่งยื่นขวดน้ำไปให้ แถมยังดันตัวฉันให้ขยับเข้าไปใกล้กับองศามากขึ้นอีกต่างหาก
สายตาคมปรายมองมายังระดับมือ ไม่มีเสียงใดที่เอ่ยเอื้อน ไม่มีความรู้สึกใดที่ส่งผ่าน ฉันไม่รู้เลยว่าสายตาที่องศามองมานั้นหมายความว่ายังไงกันแน่
“เอ่อ...ถ้าไม่รับก็ไม่เป็นไร นายเดินไปหยิบเองก็ได้ ในถังน่าจะเย็นกว่า เรา...”
“ขอบใจ”
สุ้มเสียงทุ้มที่เปล่งออกมาสั้น ๆ กลับทำให้ฉันแน่นิ่งไปราวกับถูกสาป องศาพูดแค่นั้นก่อนจะคว้าหมับหยิบขวดน้ำในมือของฉันและเดินออกไปในทันที
“โอ๊ย ลุ้นฉี่จะแตก แค่น้ำขวดเดียวทำไมมันเครียดขนาดนี้วะเนี่ย”
“ไอ้พั้นซ์ หลังจากนี้ฉันก็คงไม่ได้เจอเขาแล้วดิ ตารางเรียนก็คงไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ฉันหมดหวังจะได้จีบคนหล่อแล้วใช่ไหมวะ”
“เอาน่า เดี๋ยวเลิกเรียนฉันพาไปส่องตึกแพทย์บ่อย ๆ”
ดีใจจากการที่องศารับขวดน้ำไปเพียงเสี้ยววินาทีก็ดังเศร้าสร้อยต่อ เพราะหลังจากจบค่ายเราสองคนก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกันอีก อย่างมากก็คงเดินผ่านหรือสวนกันในมหาวิทยาลัยเท่านั้นแหละ เฮ้อ...ไอ้โมเซ็ง TT
