Episode 30
_ตรอกซอยหลังตึก
“มิคาเอล ลงแถวๆ ที่ไม่มีคนนะ เพราะทุกคนอาจจะเข้าใจผิดได้”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ผมบอกให้มิคาเอลลงไปในที่ที่ไม่ค่อยมีคน เพราะว่ากลัวคนที่เห็นแล้วเกิดเข้าใจผิด แล้วหันมาโจมตีพวกเราแทน
สูงจังเลยน้า...
ผมที่มองไปด้านล่างก็ต้องกอดคอมิคาเอลให้แน่นมากยิ่งขึ้น เพราะกลัวที่จะล่วงลงไป
ก็นะสูงขนาดนี้ ถ้าไม่กลัวก็แปลกแล้ว
มิคาเอลหลังจากนั้นไม่นาน ก็พาผมลงแถวๆ หลังตึกสองชั้น เพราะมันเรียกได้ว่าเป็นที่ลับตาคนมากที่สุดแล้ว แล้วประตูเมืองเองก็อยู่ใกล้ๆ ด้วย เพียงแค่เดินออกไปแล้วเลี้ยวไปทางซ้ายก็ถึงแล้ว
“คุณหนูรู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่าเจ้าคะ?”
มิคาเอลมองหน้าผมด้วยความเป็นห่วง เพราะผมพึ่งจะมารู้ตัวเมื่อสักครู่นี้เองว่าผมกลัวความสูง นิดหน่อย?
“ไม่เป็นไร ไปต่อกันเถอะ เห็นว่าจะใช้เวทย์เคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ใช่ไหม เพื่อที่จะส่งคนไปสนับสนุนชายแดนของพวกมนุษย์น่ะ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เมื่อไปถึงที่นั่นทางเราจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากราชอาณาจักรเพื่อนบ้านเจ้าค่ะ”
คุดๆ
ผมสัมผัสได้อย่างทุกที ซึ่งผมก็ตีความได้ว่านั่นคือพวกหม่าม้า
“ยุยจังก็ถือโอกาสนี้สร้างบาเรียขึ้นมาใหม่ด้วยสิจ๊ะ”
หม่าม้าพูดขึ้นมาก็ถึงกับทำให้ผมตกใจกับตัวเองเล็กน้อย อย่างผมเนี่ยนะจ๊ะไปสร้างของแบบนั้นได้
“ไม่ต้องตกใจไปหรอกจ้ะ เพราะบาเรียเก่านั้นมันเก่ามากแล้ว เมื่อช่วงเวลาหนึ่งที่พลังของมันเกิดไม่เสถียรขึ้น มันก็เลยพังทลายน่ะจ๊ะ”
“เอ๋... แล้วอย่างนี้หนูก็ไม่ต้องเดินทางไปรอบๆ เขตแดนเพื่อสร้างมันหรือคะหม่าม้าเอลาส?”
ผมสงสัยเพราะถ้าสร้างที่เดียวก็คงจะไม่หมด เพราะผมเชื่อว่ามันจะต้องกว้างมากแน่ๆ
“ไม่จำเป็นจ๊ะ ถ้ายุยจังไปทำการสร้างบาเรียใหม่ตอนนี้ยังพอมีเวลาที่จะสามารถอ่านคลื่นพลังเวทย์บาเรียของเก่าตามจุดต่างๆ ที่มันยังเชื่อมต่อกันอยู่ได้จ้ะ แล้วยุยจังก็จะสามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมด เว้นแต่ ถ้าพลังเวทย์ของเก่ามันเสื่อมสะหลายหายไปทั้งหมดเสียก่อนน่ะนะ”
“งั้นก็ดีน่ะสิคะ เพราะถ้าขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้ คงอีกไม่นาน เผ่าพันธุ์มนุษย์อาจจะเข้าสู่สภาวะวิกฤดิจริงๆ ก็ได้ แล้ว หนูต้องสร้างมันใหม่จริงๆ เหรอคะหม่าม้าเอลาส?”
“ใช่”
คำตอบชัดๆ จากพวกหม่าม้าที่พยักหน้าเห็นพ้องต้องกันว่าผมเนี่ยแหละที่จะต้องไปทำ
เออ.... จะไหวไหมเนี่ย ผมไม่เคยใช้พลังของผมเลยนะ ตอนที่ใช้กับมิคาเอลเอง ก็แค่อารมณ์มันพาไปก็เท่านั้น
ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วก็ต้องยอมรับกับหน้าที่ที่พวกหม่าม้ายัดเยียดมาให้
“แล้วก่อนที่พลังเวทย์ของบาเรียเก่าจะเสื่อมสะหลายหายไปทั้งหมด อีกนานไหมคะหม่าม้า”
เพราะเท่าที่ผมฟังมา มันคงจะมีเวลาที่พลังเวทย์ของบาเรียเก่าจะต้องหายไปอยู่
“น่าจะสองวันหรือเร็วกว่านั้นจ๊ะ”
ถึงจะบอกว่ามีเวลาก็เถอะ แต่ว่านี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าที่คิดอีก เพราะมัเวลาเพียงแค่สองวันหรือน้อยกว่า แล้วต้องรีบสร้างให้เสร็จก่อนที่พวกปีศาจจะยกพวกกันเข้ามามากกว่านี้อีกด้วย
“หม่าม้ามันจะไม่กระชั้นชิดเกินไปหน่อยหรือคะ”
“ไม่หรอกจ้ะ พลังเวทย์ของบาเรียเก่าเดิมทีก็อ่อนล้าเต็มทน พอบาเรียพังทลายลงก็เหลือเพียงแต่ร่องรอยพลังเวทย์ ที่แทบจะเรียกไม่ได้ว่าพลังเวทย์ซะด้วยซ้ำไป แต่สำหรับยุยจังทำได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสองวันก่อนที่ร่องรอยพวกนั้นจะหายไปทั้งหมด ยุยจังจะต้องไปถึงเขตแดนของพวกมนุษย์และปีศาจให้ได้”
ยิ่งฟังทำไมมันยิ่งเลวร้ายขึ้นไปทุกที เพราะฉะนั้นจบหัวข้อนี้ดีกว่า
ผมที่คิดแบบนั้น
“นี่พวกเราก็เสียเวลากันมามากแล้ว งั้นเราไปรวมกับพวกนักผจญภัยกันเถอะค่ะ”
“หม่าม้าก็เห็นด้วยนะจ๊ะ ยุยจัง...”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู”
_หลังจากนั้น
หลังจากที่ผมเดินออกมาจากตรอกซอยหลังตึกสองชั้น ก็ออกมาเจอกับพวกเหล่านักผจญภัยแล้วก็พวกทหารอีกมากมาย
ผมที่หันไปมอง มีทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม
“เจ้าน่ะ รีบกลับบ้านไปซะ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงประกาศภัยพิบัติอยู่นะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะคุณหนูอย่างพวกเจ้ามาเดินเล่นได้”
ห๊า.... ทำไมพักหลังๆ มานี้ผมเจอแต่คนไม่ค่อยเป็นมิตรเอาเสียเลยนะ ถ้าเป็นผมเมื่อก่อนก็คงจะตอบกลับไปว่า ขอโทษครับ! ไปนานแล้ว
ผมเอากล่องใบหนึ่งออกมา แล้วเปิดมันออก
อ่า.... บัตรนักผจญภัยสีทอง ช่างแสบตา ทำไมต้องทำออกมาซะหรูขนาดนี้ด้วย หรูซะจนน่ากลัวเลยล่ะ
ผมหยิบบัตรขึ้นมาแล้วยื่นไปให้ทหารดูเพื่อที่จะไม่ได้ต้องพูดมาก มิคาเอลเองก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน
“โฮ่.... พวกเจ้าเป็นนักผจญภัยงั้นสินะ ช่างโชคร้ายจริงๆ ที่นักผจญภัยมือใหม่อย่างพวกลูกคุณหนูอย่างพวกเจ้า ต้องมาเจออะไรแบบนี้ หรือจะบอกว่าน่าเสียดายดีล่ะ”
ทหารคนนั้นหลังจากที่ดูบัตรนักผจญภัยเสร็จก็มองพวกผมด้วยสายตาลาวนลามอย่างเห็นได้ชัด
พวกผู้ชายมันเป็นซะอย่างนี้กันทุกคนเลยหรือไง ฮึ่ม! อยากจะต่อยมันแล้วอ่ะ จะทำยังไงดี
ตึก! ตึก!
เสียงรองเท้าหนักๆ เดินเข้ามาขวางหน้าผม ก่อนที่ผมจะสังเกตได้ว่านั่นคือมิคาเอล
“ปากพล่อยๆ ของเจ้ามันคงไม่ได้มีไว้เพื่อทานอาหารอย่างเดียวสินะเจ้าคะ”
เพี๊ยะ!!! (พั่วะ!!!!! )
มิคาเอลที่เข้ามาขวางหน้าของผม ตบปากของทหารคนนั้นจนฟันล่วงเต็มพื้นไปหมดเลยอ่ะ น่ากลัว..... แล้วเสียงที่ผมได้ยินผมว่าผมได้ยินอีกอย่างหนึ่งนะ
“ก-แก.... กล้าดียังไง กล้ามาตบอัศวินศักดิ์สิทธิ์อย่างข้า!! ”
โอะ... เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ด้วย
“แล้วมันจะทำไม ปากเน่าๆ ของเจ้าจะเอาไปพูดกับใครก็ช่าง แต่อย่าได้สะเออะเอาปากเน่าๆ ของเจ้ามาพูดกับคุณหนูของข้า”
มิคาเอลน่ากลัวอ่า..... ขนาดอัศวินศักดิ์สิทธิ์ก็ยังกล้าตบปากซะฟันล่วงเลย
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งอยู่กับพื้นเพราะล้มไปตามแรงตบของมิคาเอล ก็เอามือจับแก้มที่โดนตบไปจนเลือดกบปากจนดูไม่ได้ แต่ดูจากท่าทางแล้วอัศวินศักดิ์สิทธิ์คนนี้จะไม่ยอมง่ายๆ แน่ ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้อยู่ต่อไป
“แก!!! กะไอแค่นักผจญภัยระดับกากๆ อย่างพวกแก อย่ามาทำเป็นเก่งนะโว่ย!!! ไอสาดเอ่ย!!! ”
แย่แล้ว มันชักดาบออกมาแล้ว มิคาเอลจะไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ? เดี๋ยวเรื่องก็ไม่จบง่ายๆ หรอก เออ... เท่าที่ดูก็ไม่น่าจะจบง่ายๆ แล้วล่ะ เพราะงั้น มิคาเอล จัดการเอาเองเลยนะ เจ้านายช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะ
“อ๊าค!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ”
ตุ่ม!!! ตุ่ม!!! ตุ่ม!!! ตุ่ม!!! ..... ตุฟ!!! ............. ตุฟ!!! ............. ตุฟ!!! ............. ตุบ.......
เสียงร้องกลางอากาศพร้อมๆ กับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปอย่างปริศนา จนผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าอัศวินผู้นั้นหายไปไหนกันแน่
“นี่... มิคาเอล หายไปไหนแล้วอ่ะ?”
“เอ๋... คุณหนูค่ะ มันมีคนแบบนั้นอยู่ด้วยหรือคะ?”
คลืน!!!!!!!!!! ........
อ่า..... ถึงจะไม่ยอมบอก ผมก็รู้แล้วละว่าหายไปไหน เพราะสังเกตได้จากตึกแถวนี้ที่ถล่มลงมาเป็นเส้นตรงอย่างเห็นได้ชัด
จ-จะโหดร้ายเกินไปแล้ว ป่านนี้แม้แต่ฟันสักซี่ ก็คงจะไม่เหลือ อาเมน.....
