บทที่ 6 อีตัวที่คิดจะแย่ง…
“เพนน่า?”
หญิงสาวร่างสูงเพรียวในเดรสเกาะอกสีแดงสด รัดรูปจนเห็นสัดส่วนทุกโค้งเว้า ผิวขาวเนียน ผมตรงยาวถึงเอว แต่งหน้าจัดจ้านทุกเฉดลุคแบบนี้… ไม่มีใครอื่นแน่ นอกจาก เพนน่า แฟนสาวของเขาเอง
“คิลมาผับ ทำไมไม่เห็นบอกเพนเลยคะ?”
เสียงหวานที่พยายามอ่อนโยน แต่แฝงความเหน็บแนมตามประสาผู้หญิงที่ไม่ได้รับข่าวอะไรเลยจากคนรัก
คิเลียนปรายตามองอีกฝ่ายนิ่งๆ มือยังค้างอยู่ตรงขวดเปล่า ริมฝีปากขบกันแน่นโดยไม่ตอบในทันที
ก่อนที่ร่างบางของเพนน่าจะทรุดตัวลงนั่งข้างชายหนุ่มด้วยท่าทีเป็นเจ้าของเต็มร้อย
แต่วินาทีที่ก้นเธอแทบจะยังไม่ทันสัมผัสเบาะ คิเลียนกลับคว้าข้อมือเพนน่าดึงขึ้นมานั่งบนตักอย่างแรง!
หมับ!
“อ๊ะ! คิล… ใจเย็นสิคะ”
เสียงเพนน่าหวานแหบเอ่ยห้ามด้วยความตกใจ แต่รอยยิ้มกลับเยิ้มยั่ว เธอคิดว่าเขากำลังอยาก เพราะความเซ็กซี่ขยี้ใจของเธอแน่ๆ
แต่เธอคิดผิด…
เพราะสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เพราะอยากรัก แต่เป็นเพราะอยากลบ
คิเลียนซุกหน้าเข้าซอกคอขาวทันที สูดลมหายใจแรงจนเหมือนจะสูบวิญญาณอีกคน แต่กลิ่นที่ได้กลับทำเขาแทบอยากอาเจียน
ฉุน แสบจมูกชิบหาย!
แม่งโคตรต่างจากกลิ่นกายหอมหวานละมุนอ่อนๆจากยัยเด็กนั่นลิบลับ กลิ่นที่เขาติดใจ กลิ่นที่ยิ่งพยายามลืมก็ยิ่งตามหลอกหลอนอยู่ในโพรงประสาทเขาจนแทบเป็นบ้า
คิเลียนหลับตาแน่น ภาพใบหน้าใสๆของยัยเด็กนั่นลอยมาอีกแล้ว ริมฝีปากเล็กๆที่มักจะสั่นระริกเหมือนกลัวเขาหลังจากคืนนั้น… ดวงตาใสๆคู่นั้นที่มองเขาอย่างสั่นไหว
แม่งเอ๊ย…
ทันใดนั้น คิเลียนก็ผลักร่างเพนน่าออกจากตักแบบไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะงงหรือเจ็บแค่ไหน
“อ๊ะ…!”
เพนน่าหน้าเสีย เพื่อนสองคนที่นั่งตรงหน้าถึงกับชะงัก
ไอ้นี่มันเป็นบ้าอะไรอีกวะ?
มือหนาหยิบขวดเหล้าขึ้นกระดกเข้าปากรวดเดียวหมด ก่อนจะคว้าขวดใหม่เปิดพรึ่บ เหมือนต้องการอะไรบางอย่างที่แรงกว่านี้มาล้างความรู้สึกที่เกาะแน่นในอก
เขาไม่สนเสียงเรียกของแฟนสาว ไม่สนสายตางุนงงของเพื่อน ไม่สนอะไรเลยทั้งนั้น…
“คิล…”
เสียงเพนน่าเรียกเขาเบาๆอีกครั้ง แต่มันกลับกระตุ้นความหงุดหงิดในใจเขาหนักกว่าเดิม
กลิ่นน้ำหอมของเธอ… เสียงเธอ…
แม่งไม่มีอะไรสักอย่างที่ได้ใจเขาตั้งแต่กลับมา
เพราะภาพเดียวที่ยังตามหลอกหลอนเขาไม่เลิก…
ก็คือน้องสาวบุญธรรมที่นอนครางลั่นอยู่ไต้ร่างเขาเมื่อสามปีก่อน พร้อมทั้งแววตาใสซื่อที่มองเขาโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองคือเหตุผลของความคลั่งแทบบ้าในคืนนั้นทั้งหมด
ฟึ่บ!
อยู่ๆคิดเลียนก็ผุดลุกขึ้นจากโซฟาอย่างไร้สัญญาณ แรงลุกจนเพนน่าที่นั่งข้างๆสะดุ้งเฮือก สายตาของทุกคนรอบโต๊ะพลันเงยขึ้นมองเขาอย่างงุนงง
ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มยืนตระหง่าน ดวงตาคมเข้มไร้แววอารมณ์ ใบหน้าเคร่งขรึมราวกับมีไฟมอดไหม้อยู่ในอกที่ไม่มีใครมองเห็น
“กูจะกลับละ… ค่าเหล้าลงบัญชีกูไว้ได้เลย”
เสียงทุ้มเรียบเย็นเอ่ยสั้นๆไม่มีแม้แต่แววลังเล ก่อนเขาจะหยิบเสื้อแจ็กเก็ตขึ้นมาพาดบ่าเตรียมพร้อมจะกลับบ้าน
วรัทย์กับนาวินถึงกับเลิกคิ้วมองหน้ากันงงๆ
“กลับ?”
“มึงเพิ่งมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยนะเว้ย”
“อืม ไว้วันอื่น”
เสียงเรียบสวนตอบเพื่อนๆด้วยสีหน้านิ่งจนทั้งนาวีนและวรัทย์ได้แต่ปิดปากเงียบ
ส่วนเพนน่าก็ถึงกับหน้าเหวอหนัก นี่เขาจะกลับทั้งๆที่เธอเพิ่งจะมาถึงได้ไม่กี่นาทีเนี่ยนะ?
“ค…คิลจะทิ้งเพนไว้ที่นี่หรอคะ?”
เสียงเธอสั่นเบาพยายามออดอ้อน เรียกร้องความสงสารจากแฟนหนุ่ม
“เพนตั้งใจมาหาคิลเลยนะคะ… เพนคิดถึงคิลมากนะคะ… ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดกันเลย”
“อืม ตามมาสิ ผมไปส่ง”
เสียงทุ้มเอ่ยตอบแฟนสาวเรียบๆ แต่ท่าทีรีบร้อนราวกับไม่อยากอยู่นานกว่านี้แม้แต่วินาทีเดียว
คิเลียนหมุนตัวเดินออกไปก่อนโดยไม่แม้แต่จะหันมารอแฟนสาวที่ยังนั่งงงอยู่กับคำพูดของเขา
ตลอดทางที่รถคันหรูกำลังขับเคลื่อนอยู่ตามถนน มีเพียงเสียงของหญิงสาวที่พยายามชวนคุยคำถามเบาๆ น้ำเสียงหวานฉ่ำ แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมาคือคำตอบสั้น ๆ เพียงคำเดียว
“อืม”
เพนน่าได้แต่กำมือตัวเองแน่นเก็บกดอารมณ์
กระทั่งรถคันหรูมาจอดสนิทหน้าคอนโดสุดหรูของเธอ เพนน่าไม่รอช้า มือเรียวยื่นไปลูบต้นแขนแกร่งช้าๆอย่างมีจังหวะ
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ คิล…”
เสียงเธออ่อนหวานเจือความยั่วเย้าชัดเจน ใบหน้าที่แต่งมาอย่างจัดจ้านโน้มเข้าซบลงแนบกับไหล่กว้างของเขา
แต่ดวงตาของคิเลียนยังคงจับจ้องไปข้างหน้า มือจับพวงมาลัยแน่นราวกับกำลังฝืนอดทนกับอะไรบางอย่าง
“ครับ”
เขาตอบสั้นๆ เย็นชาจนบรรยากาศในรถแทบจะจับเป็นน้ำแข็ง
“คิลคะ…” เธอครางเรียกเสียงเบา
“ตั้งแต่คิลกลับมา เพนรู้สึกว่าเราเหมือนห่างกันไปมาก เพนไม่ชอบเลยนะคะที่ต้องอยู่ห่างจากคิล…”
เธอกระซิบใกล้ หัวใจเต้นแรง มือค่อยๆเลื่อนจากแขนลงมาวางบนต้นขาแกร่ง ลูบขึ้นช้าๆจนแทบจะถึงจุดสำคัญของเขาแล้วด้วยซ้ำ
“ผมเครียดๆเรื่องที่จะต้องรับช่วงต่อธุรกิจทางบ้านน่ะ ถ้าผมทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นก็ขอโทษด้วยนะ”
“เอาเป็นว่า… ถ้าคิลรู้สึกผิดจริง ๆ คืนนี้ค้างกับเพนดีมั้ยคะ?”
เธอเอียงหน้า ประกบริมฝีปากลงบนแก้มเขาเบาๆแล้วลากริมฝีปากไปใกล้มุมปาก
“เราจะได้กลับมา… ใกล้กันเหมือนเดิมไงคะคิล…”
เธอจูบเขาเบาๆ คิเลียนตอบจูบ ไม่ได้ผลักเธอออก แต่ก็ไม่ร้อนแรงเหมือนอย่างเคย มือของเธอไต่ขึ้นมาจนถึงเข็มขัดของเขา แต่ทันใดนั้น—
“พอแล้วเพน”
คิเลียนจับมือเธอไว้แน่นแล้วผลักออกเบาๆ
“ไว้วันอื่นนะ วันนี้ผมสัญญากับแม่ไว้ว่าจะกลับไปนอนบ้าน”
เสียงเขาเรียบ… แต่ชัดเจน สายตานิ่งเหมือนคนไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย
ใช่ เธอปลุกอารมณ์เขาไม่สำเร็จ แล้วเป็นครั้งแรกที่เธอทำพลาด ตั้งแต่กลับมาไทยไม่มีอะไรได้ใจเธอสักอย่าง เขาเปลี่ยนไป… แต่เพนน่าเหมือนจะรู้ถึงการจัดการกับสถานการณ์แบบนี้เป็นอย่างดี เธอเลือกที่จะไม่เซ้าซี้แล้วยอมเขาแต่โดยดี
“เอางั้นก็ได้ค่ะ… งั้นเพนฝากสวัสดีคุณน้าด้วยนะคะ”
เพนน่ายิ้ม… ยิ้มที่เต็มไปด้วยพิษร้ายเงียบๆ ก่อนจะหันไปหอมแก้มเขาอีกทีแล้วเปิดประตูรถลงมา
“กลับบ้านดี ๆ นะคะ ฝันดีค่ะ เพนรักคุณนะคะคิล”
“ฝันดีครับ”
คําตอบกลับสั้นๆ ที่ไร้แม้แต่คำว่ารัก คำที่เธอรอแล้วรออีกมาตลอดสองปีที่คบกัน คำที่เขาไม่เคยพูดกับเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว…!
เพนน่าปิดประตูรถลงช้าๆ ยืนมองไฟท้ายรถหรูที่ค่อยๆ แล่นหายไปในความมืด
ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงเพลิงเม้มเข้าหากันแน่น แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองซ่อนอยู่หลังใบหน้ายิ้มหวานจอมปลอม
“แม่ให้กลับบ้านงั้นหรอ…” เธอกระซิบในใจเยาะๆอย่างรู้ดีว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง คนอย่างคุณหญิงกลยาณีหรือจะขัดใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ที่มากไปกว่านั้นคือคนอย่างคิเลียนไม่เคยฟังใครง่ายๆหากเขาไม่จำยอมเอง…
จะเป็นไปได้อยู่อย่างเดียวก็คือ มันต้องมีอีตัวที่มันคิดจะแย่งของๆเธออยู่เป็นแน่
เพนน่ากำหมัดแน่น แววตาขุ่นเคือง ซึ่งคนอย่างเธอจะไม่มีทางยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งคิเลียนไปจากเธอได้แน่
ผู้ชายคนนี้เป็นของฉันคนเดียว!
