บทที่ 5 อยากจับกดจับขยํ่าให้แม่งรู้แล้วรู้รอด
“นั่นสิครับป๊า นัญยังเด็ก… ตามเล่ห์กลผู้ชายไม่ทันหรอกครับ ไม่มีนั่นแหละดีแล้ว”
ชายวัยกลางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เกิดหัวเราะลั่นอย่างเอ็นดู
“ฮะๆ พี่น้องคู่นี้ยังเป็นห่วงกันเหมือนเดิมเลยนะ ป๊าเห็นแบบนี้ก็หมดห่วงละ แกก็ดูแลน้องมันด้วยล่ะ เดี๋ยวจะเป็นแบบที่แกพูดเอา”
คิเลียนหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงฟังดูสุภาพแต่เจืออะไรบางอย่างที่ทำให้ลัญชนาเสียววาบตั้งแต่สันหลังถึงต้นคอ
“ป๊าไม่ต้องห่วงเลยครับ เพราะผมจะดูแลน้องแบบที่ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมแน่…”
เสียงหัวเราะของผู้เป็นบิดาดังลั่นขึ้นอีกครั้งอย่างชอบใจจนไม่ทันได้สังเกตเลยว่า คำพูดของลูกชายมีน้ำเสียงและความหมายที่ลึกกว่านั้น…
เจ้าเล่ห์และอันตราย…
ลัญชนาเหลือบสายตาขึ้นไปสบกับสายตาคมโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มมุมปากที่จางๆบนใบหน้าหล่อเหลาทำเอาเธอเย็นวาบ มันไม่ใช่แค่ยิ้ม แต่มันคือการขู่ในคราบความอ่อนโยน
เธอก้มหน้านิ่ง รีบหลบสายตาอย่างเงียบงัน เพราะรู้ดี… ผู้ชายที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตเธอ อาจไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ คิเลียน ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายต่างสายเลือด
และดูเหมือนป๊าจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ… ว่าเขากำลังโยนลูกสาวตัวเองเข้าไปในถํ้าของสัตว์ป่าอันตรายด้วยมือของตัวเอง
แต่ในท่ามกลางบทสนทนาของทั้งสาม ก็ยังมีสายตาของคุณหญิงกลยาณีที่เอาแต่นั่งกรอกหูกรอกตา ก่อนจะเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยนํ้าเสียงเหยียดเย้ยในที่สุด
“เหอะ… กลัวตามเล่ห์เหลี่ยมผู้ชายไม่ทัน? ตัวเองน่ะสิไม่ว่าที่จะไปยั่วหลอกผู้ชายให้วิ่งตามไปทั่ว!”
คำพูดของคุณหญิงเหมือนปลายมีดแหลมคมที่กรีดลึกเข้ามาแล้วยังขยี้ซํ้าๆให้เหลวแหลก ลัญชนาก้มหน้าเงียบ ปลายตะเกียบในมือสั่นไหวเล็กน้อย
เธอไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง แต่ไม่ได้แปลว่าเธอไม่รู้สึก นํ้าตาแทบหลั่งลงมาเป็นสายเกือบห้ามไม่อยู่เลยด้วยซํ้า คนพูดแทงใจคงไม่รู้หรอกว่าการที่เจ็บแล้วต้องนั่งกลั้นนํ้าตาไม่ให้มันหลั่งลงมาทรมานยิ่งกว่าอะไร
“พอได้แล้วน่าคุณหญิง”
เสียงชายวัยกลางแทรกขึ้น คล้ายคนที่เริ่มหมดความอดทน เมื่อภรรยาเขายิ่งอยู่ยิ่งจะเหิมเกริมขึ้นทุกที แม้ตัวเองจะรู้อยู่เต็มอกถึงเหตุผลก็ตาม… ทว่ามันไม่ใช่ความผิดของลัญชนานี่…
ส่วนคนที่ปวดหนึบอยู่ลึกในใจ แม้จะมีเสียงของป๊าแทรกเข้ามาปกป้องเฉกเช่นทุกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถป้องกันความรู้สึกอ้างว้างที่กัดกินในใจเธอได้อยู่ดี
“ชิ…”
คุณหญิงแค่นเสียงอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมเงียบลงในที่สุด ก่อนจะหันไปตักกับข้าวลงจานตัวเองอีกครั้ง นำพาทั้งโต๊ะกลับเข้าสู่ความเงียบอึดอัด
แต่สำหรับลัญชนา เธอกลืนสิ่งตรงหน้าไม่ลงตั้งแต่คำพูดก่อนหน้าของหญิงวัยกลางแล้ว แถมตอนนี้ยังมีสายตาคู่คมลึกของเขาที่นั่งเงียบอยู่ฝั่งตรงข้าม ยังคงเอาแต่จับจ้องมาทางเธอเป็นระยะ มันทั้งหนักแน่นและกดดัน… ราวกับเขามองทะลุเข้าไปในทุกความคิดของเธอที่พยายามซ่อนเอาไว้
.
.
.
.
.
เสียงเบสจากลำโพงดังกระหึ่มไปทั่วผับหรูกลางเมือง ไฟสลัวปนแสงแฟลชสีสันวูบวาบจับไปทั่วบาร์
ร่างสูงของ คิเลียน เพิ่งเดินเข้ามาได้ไม่ถึงนาทีก็เป็นที่สะดุดตาทันที ไม่ใช่แค่เพราะใบหน้าหล่อเหลาแบบเทพจีนที่มองแล้วต้องเหลียวมอง แต่ยังเป็นเพราะพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวเขา… สายตาคมกริบที่ลึกหนักแน่น เจ้าอารมณ์ และอันตราย
สองเพื่อนหนุ่มที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าที่โต๊ะประจำ VIP เงยหน้าขึ้นทันทีที่เห็นเขา
“โห้ ในที่สุดก็เจอตัวว่ะ นึกว่าไปติดสาวฝรั่งจนลืมทางกลับไทยแล้วซะอีก!”นาวิน เอ่ยแซวเสียงดัง
คิเลียนไม่สนใจที่จะตอบ นั่งปักลงบนโซฟาหนังแทบจะทันทีที่ถึง แล้วเอื้อมมือไปคว้าขวดเหล้ากระดกเข้าปากแบบไม่คิดชีวิต
“เอ้าๆ ไอ้ควาย เป็นไรวะ มาถึงก็กระดกขวดเหมือนจะตายพรุ่งนี้เลยเรอะ!”
วรัทย์ เบิกตาแล้วด่าทอเพื่อนเสียงดัง มาถึงก็กระดกอย่างกับชาตินี้จะไม่ได้แดกอีก เป็นอะไรของมัน?
“เออ… แม่ง…”
เสียงสบถต่ำในลำคอไม่บอกอารมณ์ชัดเจน แต่สีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เขาโน้มตัวท้าวศอกลงบนเข่า มือยังจับขวดเหล้าแน่น
เขาไม่ได้หงุดหงิดเพราะงาน ไม่ใช่เพราะครอบครัว หรือปัญหาอะไรใหญ่โต แต่เพราะใบหน้าใสซื่อแต่ยั่วไปถึงกระดูกของยัยนั่นต่างหาก
ยัยน้องสาวบุญธรรมที่เหมือนจะไม่รู้อะไรเลย แต่แม่งกลับตามหลอกหลอนเขาได้ตลอดทุกท่วงท่า
คิดแล้วก็อยากจะจับกดจนร้องไม่เป็นเสียง อยากจะขย้ำให้แม่งแหลกคามือ แต่แม่งดันเป็น “น้องสาว”
“หงุดหงิดอะไรมาวะ?” นาวินขมวดคิ้วเข้มเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “เพิ่งกลับมาไม่ทันไร หน้าบึ้งเป็นตูดเชียว”
“เปล่า…”
ปากบอกเปล่าแต่ขวดเหล้าในมือถูกยกขึ้นกระดกซํ้าสอง ขนาดหลับตากระดกเหล้า ภาพใบหน้าไร้เดียงสาของน้องสาวยังโผล่ออกมาซํ้าเติมหลอกหลอนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ยัยนั่นไปทำเสน่ห์มนต์ดำอะไรกับเขาไว้หรือยังไงกันวะแม่ง
“กูว่ามันแปลกๆ ว่ะ” วรัทย์เอ่ยพลางเหล่มองเพื่อนที่เหมือนจะหลุดออกจากโลกไปอีกมิติ
“ให้กูเดานะ คนอย่างไอ้คิลคงไม่มีเรื่องอะไรให้เครียดแล้วแหละ เงินทองก็มีมหาศาลใช้ทั้งชาติยังไม่หมด ส่วนคุณลุงคุณน้าก็รักมันจะตาย คุณน้านี่ยิ่งแล้วใหญ่ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกับมันมายังไม่เคยเห็นขัดใจมันเลยสักครั้ง ส่วนถ้าจะให้เครียดเรื่องงาน มันก็ยังไม่ได้รับช่วงต่อ เหลืออยู่อย่างเดียว…”
เขาลากเสียงยาวเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่—
“นกเขาไม่ขันหรอวะ?”
นาวินเอ่ยแทรกขึ้นปนเสียงขำหยอกล้อ
“พ่องดิ”
พอโดนคำพูดนี้ คิเลียนสบถกลับทันควัน น้ำเสียงห้วนจัดก่อนที่จะกลับมาก้มหน้าหงุดหงิดพร้อมคิ้วที่ขมวดจนเป็นปม ขวดเหล้าในมือถูกกำแน่นเหมือนจะบีบให้แตกคามือ
“คนอย่างไอ้คิลหรอวะนกเขาไม่ขัน? บ้าแล้ว กูว่าแม่งต้องเรื่องสาวชัวร์ ไม่งั้นแม่งไม่หงุดหงิดเป็นหมาบ้าแบบนี้หรอก”
ทันทีที่วรัทย์พูดจบ คิเลียนชำเลืองหางตาจ้องหน้าเพื่อนนิ่งๆชั่วครู่ สายตาคมเข้มแฝงไปด้วยแรงกดดันอย่างชัดเจน
แค่แววตา ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า “เดาถูก”
“นั่นไง กูว่าแล้ว!”
วรัทย์ตบโต๊ะดังป้าบ เหมือนได้รางวัลเดาใจเพื่อนถูก ขำจนปากแทบฉีก
คิเลียนถอนหายใจหนัก ก่อนยกขวดเหล้าขึ้นกรอกปากอีกครั้ง คราวนี้เขาดื่มรวดเดียวจนหมดเกลี้ยง
“เชี่ย! มึงเพิ่งมาถึงนะเว้ย ยังไม่สิบนาทีเลย ควาย…”
วรัทย์มองขวดในมือเพื่อนแล้วส่ายหัว ตกใจแต่ก็อดขำมันไม่ได้เลยจริงๆ
แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น เสียงส้นสูงกระแทกพื้นผับก็ดังใกล้เข้ามาก่อนเรียวขาขาวในชุดเดรสสั้นจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าคิเลียน
คิเลียนเงยหน้ามองคนตรงหน้าพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนที่หันตามอย่างงุนงง ใครวะ…?
“เพนน่า?”
