เหมียวตัวที่ 3 หามส่งโรงพยาบาล
เหมียวตัวที่ 3
หามส่งโรงบาล
“เฮ้ย ทำอะไรมีใจของฉันน่ะ!” สิ้นเสียงตะคอกดุดันเจ้าของเสียงก็วิ่งปรี่เข้าหาไอ้เจ้าอ้วนที่กำลังเคี้ยวไก่ทอดคำสุดท้ายกลืนเข้าปาก เจ้าอ้วนแทบสำลักไก่ทอดออกมาเมื่อคนที่เพิ่งเข้ามาอุ้มมันขึ้นมาซบที่อก เขาเป็นหนุ่มนักศึกษาหน้าตาดีเลยทีเดียวแต่จะว่าไปแล้วก็ดูคุ้นหน้าเหมือนกันนะ
“เสี่ย!” ผมตะคอกออกมาด้วยความตกใจเมื่อจำได้ว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่เหมาร้านของพี่จอยนั่นเอง ผมไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่าเขาอาศัยแถวนี้เพราะซอยผมไม่มีใครเรียนต่อมหาลัยสักคน จะว่าเป็นคนที่ผ่านมาเฉย ๆ ยิ่งไม่มีทางเพราะแถวบ้านผมนอกจากไรเดอร์ก็ไม่มีใครเข้ามาแล้ว
“นายทำอะไรมีใจของฉัน” มาถึงก็ถามคำถามนี้เลยแถมยังพยายามเขย่าตัวเจ้าอ้วนบังคับให้มันขย้อนอาหารออกมาอีก ดูจากท่าทีลุกลี้ลุกลนแล้วเขาน่าจะเป็นเจ้าของแมวอ้วนตัวนี้
“อ๋อ นี่แมวของคุณเหรอ ขอโทษนะคุณผมนึกว่าแมวตัวนี้เป็นแมวจรอะ”
“แง๋ว~” เจ้าอ้วนถูไปที่อกของเจ้าของมันอย่างออดอ้อนเพราะหมดแรง ท่าทางออเซาะนั่นช่างหน้าหมั่นไส้เมื่อครู่มันยังกะดี้กะด้าเพราะได้กินไก่ทอดอยู่เลย
“จะเป็นแมวจรได้ไง ไม่เห็นเหรอว่านี่เป็นหน้าบ้านฉันแมวฉันจะออกมาเดินเล่นหน้าบ้านไม่ได้หรือไง และที่สำคัญลูกฉันมันไม่มีสง่าราศีเลยหรือไงกันฮะ”
“..?..”
ก็...จะว่าแบบนั้นก็ได้นะ เพราะสภาพมันตอนนี้ก็ดูมอมเหมือนแมวจรอยู่เหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น! ความน่าสนใจมันอยู่ที่ว่าเจ้าของคฤหาสน์ลึกลับแห่งนี้คือเขาอย่างนั้นเหรอ ถึงว่าทำไมผมไม่เคยเห็นเขาเลยที่แท้เขาก็คือหนุ่มลึกลับคนนั้นนี่เอง
“มีใจลูกเป็นอะไรหรือเปล่า”
“แง๋ว ๆ”
โถเอ้ย ไอ้เปตรแมว! พอเจ้าของมาก็ทำตัวน่าสงสารเชียวนะ สายตาของแมวขาวอ้วนกลมมันเหล่ตามองผมแบบเหยียด ๆ เหมือนกันว่าผมเข้าไปวางยามันอย่างนั้นแหละ อีกทั้งยังงอตัวหอบหายใจแฮ่ก ๆ น้ำตาไหลพร่า สังคมสมัยนี้ตอแหลได้แม้กระทั่งแมวเลยรึ รัฐบาลมัวทำอะไรอยู่!
“นี่นายทำอะไรมีใจวะ”
“อ้อ ผมเห็นว่าเจ้าอ้วนมันหิวผมก็เลยเอาไก่ทอดหาดใหญ่ให้มันไป นี่ลูกคุณดูชอบมากเลยนะกินใหญ่เลย ผมไม่ได้วางยามันนะคุณ” ผมรีบอธิบายให้เขาเข้าใจเพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าผมวางยามันเหมือนกับที่คนอื่นเขาทำกัน ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยเลี้ยงสัตว์แต่ผมก็ไม่ได้ใจร้ายแบบนั้นนะ
“นายเอาไก่ทอดให้มีใจกิน?”
“ใช่ ให้ทั้งถุงเลยด้วย ลูกคุณกินหมดเลยนะแม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือ”
“กินหมด ทะ..ทั้งกระดูกเลย?”
“ถูกต้องแล้วค้าบ ร้านนี้อร่อยมากผมรับประกันถ้าไม่ติดว่านี่คือไก่ค้างคืนนะคงอร่อยกว่านี้ อุ๊บส์”
“ว่าไงนะ นายให้มันกินไก่ทอดทั้งกระดูกไม่พอยังเป็นไก่ค้างคืนอีกเหรอ”
“เอ่อ...” แม่งเอ้ย เกือบดีแล้วเชียว แต่คงไม่เป็นไรหรอกนะ แมวมันกินของพวกนี้ได้อยู่แหละเพราะผมก็เอาให้แมวจรแถวบ้านกินประจำก็ไม่เห็นมันเป็นอะไร
“บ้านนายอยู่ตรงไหน”
“จะมาขอบคุณผมเหรอครับ หูย ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกคุณ บ้านผมอยู่ในซอยนี้เลยครับหลังคาสีชมพู ทั้งซอยมีแค่บ้านผมหลังคาสีนี้เพราะเป็นลิมิเต็ดฯ”
“เดี๋ยวเจอแน่!”
ฮั่นแนะ! มีการบอกด้วยสงสัยจะยกความดีความชอบให้ คนรวยแบบนี้ผมคงก็ผูกมิตรด้วยเผื่อในอนาคตจะได้พึ่งพา
“โอเค แล้วเจอกันนะคุณ”
“มีใจเดี๋ยวพ่อพาไปโรงบาลนะลูก อดทนหน่อยนะ” จากนั้นไอ้หมอนั่นก็โยนเจ้าอ้วนขึ้นรถแลมโบร์กินีแล้วขับซิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ ถึงแม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดันไปหน่อยแต่ว่าเขาคงไม่ได้โกรธผมหรอก สงสัยจะไปหงุดหงิดที่อื่นมาแหง ๆ
“ทำไมดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะ สงสัยพี่จอยทำอาหารไม่อร่อยแฮะ”
หลังจากนั้นผมก็เดินหิ้วถุงอาหารมากมายเข้าซอยไป ซอยที่ผมอยู่เป็นซอยที่ติดคลองรอบข้างก็จะเต็มไปด้วยน้ำเน่าเสียที่ถูกปล่ออยออกมาจากโรงงาน ต่างจากบ้านของเสี่ยคนเมื่อกี้ลิบลับถึงแม้จะไม่ได้ห่างกันมาก แต่ทุกคนก็อยู่กับแบบนี้ตั้งแต่เล็กจนโตสังคมรอบข้างก็ไม่ได้ดีเด่อะไร กินเหล้าเมายาการพนันให้ความรุนแรงครบทุกอย่างในที่เดียว แต่ก็นะด้วยความที่ผมเคยเป็นผู้ดีมาก่อนก็เลยไม่ชอบอะไรพวกนี้ยกเว้นแต่เรื่องรับประทานเหล้า วันแรกที่ผมก้าวขาเข้ามาที่นี่ผมก็ถูกเด็กในซอยรับน้องซะแล้ว จำได้ว่าวันนั้นผมไปฟื้นที่โรงบาลเลย
“ป้าทองลันกลับมาแล้วจ้า”
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าป้าทองยังสามารถเดินไปรอบ ๆ บ้านได้ เพราะตอนนี้ป้าป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายสามารถอยู่ได้แค่หนึ่งปีเท่านั่น ป้าทองคือคนที่ผมรักมากที่สุดในชีวิตถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าป้าคงอยู่กับผมได้อีกไม่นานแต่ผมก็อยากดูแลป้าให้ดีที่สุดเหมือนกับที่ป้าดูแลผม
“ทำไมวันนี้เลิกงานไวจังล่ะลัน”
“ลันเพิ่งไปทำงานที่ร้านใหม่วันแรกครับ ที่ร้านนี้เลิกหนึ่งทุ่มส่วนร้านเก่าลันลาออกไปแล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“มันไกลแถมยังเลิกดึกอีก ป้าทองทานโจ๊กก่อนนะจะได้ทานยา”
“เอาวางไว้เลยเดี๋ยวป้าทำเอง ลันรีบไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาทานพร้อมกันจะได้ไปทำงานที่ร้านอาหารต่อ”
“ลันลางานที่ร้านอาหารไว้อะ อยากมาดูละครหลังข่าวกับคนสวย”
“เหอะ ถ้าไม่ไหวก็ลาออกไปเถอะเอาเวลามานอนบ้าง ลันทำงานเยอะเกินไปแล้วนะสุขภาพก็สำคัญ”
“ไม่เป็นไรหรอกลันแข็งแรงจะตายจะได้หาเงินเยอะ ๆ ไว้เรียนต่อมหาลัยไง ป้าทองไม่อยากเห็นผมใส่ชุดครุยเหรอ”
ขณะที่พูดคุยผมก็จัดการเทอาหารใส่จานไปด้วย ผมยังคงยิ้มแย้มเหมือนทุกวัน ตั้งแต่ที่ผมมาอยู่กับป้าทองไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่มีรอยยิ้มถึงแม้ว่าวันนั้นผมจะเครียด แต่ป้าทองก็มักจะทำให้ผมยิ้มได้เสมอถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายของป้าทองจะไม่มีสีสันเหมือนคนปกติแล้ว แต่ผมก็จะใจแข็งทำทุกอย่างให้เป็นเหมือนเดิม
“หึ ลันก็รู้ว่าป้าอยู่ไม่ถึงตอนนั้นหรอก”
“ป้าทอง...”
“ลลัน”
“ตอนนี้ครบหนึ่งปีมาสามวันแล้วนะลูก” ผมรู้ดีว่าเวลาของป้ามันใกล้หมดแล้ว ป้าก็มักจะบอกให้ผมทำใจให้ได้
“แต่ป้าก็ยังหายใจอยู่ตรงนี้นี่นา หมอมันมั่วป้าทองต้องอยู่กับผมจนกว่าผมจะแต่งงานนู่นแหละ”
“ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอนหรอกนะลัน เงินกี่ร้อยล้านก็ไม่มีทางซื้อเวลาที่ยังมีลมหายใจไว้ไม่ได้ ถ้าป้าไม่อยู่ลันต้องเข้มแข็งนะ”
“ไม่ ถ้าป้าไม่อยู่ผมจะไม่กินข้าวกินน้ำ จะนอนร้องไห้แง ๆ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น”
“เด็กดื้อ ลันโตแล้วลันต้องอยู่ให้ได้ ป้าอนุญาตให้ลันร้องไห้แค่วันเดียวเท่านั้นนะถ้าทำไม่ได้ จะไม่มาเข้าฝันบอกหวยจริง ๆ ด้วย”
ผมสวมกอดร่างผอมแห้งไว้แบบหลวม ๆ เพราะทุกครั้งที่ผมสัมผัสแรงป้าก็มักจะบอกว่าเจ็บ ที่ผ่านมาใช่ว่าผมไม่ได้เตรียมใจอะไรเลยเพราะรู้ดีว่ายังไงก็ไม่มีทางรักษาได้แล้ว ใจผมนั้นอยากให้ป้าทองมีลมหายใจอยู่ต่อแต่ต้องเป็นแบบสุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่ใช่ทรมานแบบนี้
“ลันรักป้าทองนะ ถ้ารู้ว่ามาอยู่กับป้าแล้วสบายใจขนาดนี้ผมน่าจะมาตั้งแต่แม่จากไปเนอะ”
“อืม ถ้าป้าใจแข็งกว่านี้คงเอาลลินมาด้วย”
“ลลินเขาสบายแล้วล่ะ ป้าไม่ต้องห่วงลินเขาหรอกนะ”
“ลันสัญญากับป้านะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นลันห้ามกลับไปเด็ดขาด”
“ถึงป้าไม่บอกลันก็ไม่กลับไปหรอก”
ต่อให้วันนี้ผมกำลังจะขาดใจตายผมก็ไม่มีวันกลับไปหาคนเห็นแก่ตัวพวกนั้นอีกแล้วล่ะ
ผ่านมาไม่กี่ชั่งโมงท้องฟ้าก็เบิกกว้างกลายเป็นเช้าที่แสนจะสดใสในรอบปี วันนี้เป็นวันแรกเลยที่ผมลางานจึงได้นอนเยอะขนาดนี้ ผมโงหัวขึ้นมาเช็คดูเวลาที่หน้าจอมือถือเพื่อดูเวลาเมื่อเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออยู่ผมเลยเลือกที่จะนอนต่อ
“ลัน ลลัน ตื่นได้แล้วลูกมีเพื่อนมาหา”
“อื้อ ไอ้โต้งเหรอครับป้า บอกมันกลับไปก่อนผมยังง่วงอยู่เลย”
“เขาบอกว่าชื่อดลน่ะ”
“ดลเหรอ? ”
ชื่อคุ้น ๆ เหมือนจะไม่ได้รู้จักนะ แต่เอ๊ะ?
“เสี่ยดล!”
