เหมียวตัวที่ 1 จึงได้พบสบตา
เหมียวตัวที่ 1
จึงได้พบสบตา
@ร้านจอยเวอร์
หลังจากที่เรียนเสร็จหลังเลิกเรียนทุกคนในกลุ่มแก๊งก็นัดมาทานของว่างที่ร้านเค้กเจ๊จอยซึ่งเป็นร้านประจำของทั้งสี่คนซึ่งมี นายท่านคนดีผู้เป็นเพื่อนสนิทเขามาตั้งแต่มัธยมก่อนที่จะมีชีวาเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มแก๊งคนสุดท้าย
“เวลคัมจ้าหนุ่ม ๆ” เสียงเจ้าของร้านคนสวยกล่าวทักทายใบหน้าชื่นบานที่เห็นพวกเหล่าหนุ่มหล่อหน้าตาดีปรากฎตัวขึ้นหลังจากที่นั่งรอมานานนับชั่วโมง
“ปิดร้านเลยนะครับเจ๊ วันนี้ผมเหมา”
“โอเคจ้าเสี่ย”
เหมือนทุกครั้งที่มาสิงสถิตย์อยู่ที่ร้านของจอย ดลก็มักจะเหมาร้านทุกครั้งด้วยความที่เขาก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจความเสี่ยงก็มักจะมีมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป วันนี้จึงเป็นอีกวันที่เหล่าพวกพ้องจะไม่ได้เสียตังค์สักบาท โดยเฉพาะชีวาและคนดีที่ดวงตาเปร่งประกายเพราะได้กินของอร่อยโดยไม่ต้องจ่ายแถมยังไม่ต้องต่อคิวอีกด้วย
“ตามสบายนะคะหนุ่ม ๆ อยากทานอะไรเพิ่มเติมเรียกน้อง ๆ ได้เลยนะคะ”
“ลัน ยกอาหารที่เจ๊เตรียมไว้มาให้พี่ ๆ เขาด้วยนะลูก”
“ค้าบเจ๊”
รอไม่นานมากนักคนที่ถูกเรียกว่า ลัน ก็ยกอาหารที่สั่งทำพิเศษล่วงหน้ามาให้ ปกติแล้วที่ร้านจอยเวอร์จะขายเฉพาะเครื่องดื่ม ขนมหวานและทำเค้กวันเกิด เค้กแต่งงาน แต่สำหรับแก๊งนี้คือลูกค้าคนพิเศษของร้าน โดยเฉพาะอู่ข้าวอู่น้ำของร้านอย่างดลเจ้าของร้านจึงต้องปรนนิบัติเขาเป็นอย่างดี
“อาหารมาแล้วครับ” เด็กเสริฟคนหล่อวางอาหารอย่างรู้มุม และดูชำนาญมากราวกับว่าทำงานมาเป็นเวลาสิบปี ดลจ้องมองบุคคลที่เพิ่งปรากฏต่อหน้าอย่างตกตะลึงด้วยใบหน้าเรียวเล็กสมส่วนเหมือนกับดาราเกาหลีที่เขาเห็นบ่อย ๆ ในมือถือของชีวา ปากหยักได้รูปสีชมพูอ่อนจมูกโด่งปลายโค้งมนตาสองชั้นกลมโตราวกับแมวแสนซนผิวกายขาวอมชมพูไร้จุดด่างพร้อย รวม ๆ แล้วนี่คือคนที่ภายนอกตรงตามสเปคที่ดลภัทรได้ตั้งไว้เลย
“ใครอะเจ๊ ไม่เห็นเคยเห็นเลย” คนดีถาม
“นี่ลลัน เด็กใหม่เจ๊เองจ่ะ น้องอายุสิบแปดจะสิบเก้าเองนะ”
“ลลัน จำเสี่ย ๆ เขาไว้นะลูกโดยเฉพาะเสี่ยดลคนนี้ เขาเปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำของเราเลยนะ”
“ครับ สวัสดีครับเสี่ย”
เด็กหนุ่มสิบแปดไหว้ดลอย่างอ่อนน้อม เมื่อดลเห็นรอยยิ้มกว้างที่เห็นฟันซี่เล็ก ๆ เรียงสวยก็ถึงกับหัวใจเต้นแรง
‘น้องเขาน่ารักจังวะ’
เขาคิดคนเดียวในใจ
“พรืดดด!”
ชายหนุ่มทั้งสามถึงกับหลุดขำให้กับความใสซื่อของเด็กใหม่ที่เรียกดลว่าเสี่ยเป็นมั่นเป็นเหมาะ ทำให้ดลตาขึงขันมองมายังพวกเขาเรียงตัวจึงต้องรีบหลบสายตาทันที
“ไปทำงานนะลูกนะ” ลันรีบไหว้ขอโทษดลอย่างรู้สึกผิดก่อนที่จะรีบปลีกตัวไปทำงานต่อ
“เด็กคนนี้ขยัน พูดจาเก่ง เด็กแถวบ้านเจ๊เองค่ะ”
“ยังเด็กอยู่เลยนะครับ” ดลกล่าวพร้อมมองไล่หลังลลันด้วยความเวทนา
“ใช่ค่ะ จบแค่มอหกเอง น้องฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีก็เลยชวนมาทำงานด้วย”
‘รันทด สู้ชีวิต อดทนต่อความลำบาก นี่มันคือคนที่เราตามหาชัด ๆ’
“มึงก็รับน้องไปเลี้ยงดูสิไอ้ดล น่ารักนะเว้ยนั่น สเปกมึงเลยนี่หว่า”
“ไม่เอา กูมีแค่มีใจตัวเดียวกูก็ไม่มีเวลาให้ลูกกูละ”
“จ้า ชาตินี้มึงก็อยู่กับแมวมึงไปนั่นแหละไอ้แก่”
ดลส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายกับคำสาปแช่งของชีวาพลางหยิบแก้วอเมริกาโน่เย็นไม่หวานขึ้นมาดูดยาว ๆ ในใจก็ใช่ว่าไม่อยากจะรับมาเลี้ยงดูแต่เกรงว่าเด็กที่พวกเขากำลังเอ่ยถึงอาจจะไม่เล่นด้วย ดลจึงพับโครงการเก็บไว้ทันที
19:00 น.
ผมชื่อ ลลัน ตอนนี้อายุสิบแปดปีใกล้จะสิบเก้าเต็มทีและที่นี่ก็เป็นงานใหม่ของผมอีกที่หนึ่งในสามงาน ช่วงสิบโมงเช้าถึงหนึ่งทุ่มวันจันทร์ถึงศุกร์ผมจะมาทำงานร้านพี่จอย พอสองทุ่มจนถึงตีสองผมก็จะไปทำที่ร้านอาหารอีสานแถวบ้าน ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ผมก็ทำพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟของพี่สน ทั้งเจ็ดวันต่อสัปดาห์ผมไม่มีเวลาพักเลยแม้แต่วันเดียวแต่นี่มันก็เป็นสิ่งที่ผมเลือกเองเพราะผมตั้งใจอยากจะเก็บเงินไว้เข้ามหาลัยปีหน้า เพราะปีนี้ผมไม่มีโอกาสได้เรียนแล้ว
“ลัน หนูกลับก่อนเลยนะ เดี๋ยวพี่อยู่เก็บต่อเอง”
“จะดีเหรอครับพี่จอย ผมเป็นลูกน้องนะทำไมต้องให้เจ้านายเก็บร้านคนเดียวด้วยล่ะ ผมว่ามัน…” ผมว่ามันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่จะปล่อยให้พี่จอยรอเก็บร้านคนเดียวเพราะพวกลูกค้าเศรษฐีพวกนั้นยังกลับไปไม่หมดยังเหลือตั้งสองคน ด้วยความที่ผมเพิ่งมาทำงานที่นี่วันแรกผมก็รู้สึกเกรงใจพี่จอยไม่อยากเอาเปรียบ
“ป้าทองไม่สบายไม่ใช่หรือไง รีบกลับบ้านได้แล้ว เอานี่ไปกินด้วย” พี่จอยยินอาหารที่เขาแบ่งไว้ตั้งแต่ตอนทำเสร็จให้กับผมพร้อมเอ่ยปากไล่ผมกลับบ้านไป มันทำให้ผมฉุกคิดได้ว่าตอนนี้ป้าผมไม่ค่อยสบายต้องรีบไปป้อนข้าวป้อนยา
“ขอบคุณนะครับพี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะมาแต่เช้าเลยครับ”
“เออ รีบกลับเถอะ”
ผมหิ้วถุงยาและโจ๊กร้านโปรดของป้าทองหิ้วติดไม้ติดมือมาด้วยเพราะอาหารที่พี่จอยห่อให้เอากลับมาทานล้วนแต่เป็นกับแกล้มที่มีรสจัดทั้งนั้นซึ่งไม่เหมาะกับการให้คนป่วยรับประทาน ตอนนี้ผมเดินมาถึงหน้าซอยบ้านเศรษฐีซึ่งตรงนี้จะมีคฤหาสน์อยู่หลังนึงเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่กี่ปี ผ่านมาทีไรก็มักจะเห็นไฟบ้านเปิดอยู่วันดีคืนดีก็เห็นรถจอดไว้แต่ผมไม่เคยเห็นเจ้าของบ้านหรอกนะเพราะผมไม่มีเวลาไปสนใจอะไรหรอก แค่เวลานอนยังหาไม่ได้เลย
“ลัน” เสียงนุ่มที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อผมจากทางด้านหลังซึ่งผมก็รู้ดีว่านั่นเสียงใคร ผมหันขวับไปมองเธอแล้วพบเข้ากับลลินในชุดนักศึกษาซึ่งเป็นเครื่องแบบของมหาวิทยาลัยที่ผมอยากเข้า
“มาทำไม แล้วรู้ได้ไงว่าฉันเลิกทำงานเวลานี้”
“ก็ไม่เห็นยากเลย ก็แค่ให้บอดี้การ์ดสะกดรอยตามก็แค่นั้นเอง ที่นั่นคือที่ทำงานที่ที่สามของนายเหรอ”
“จะไปไหนก็ไปรำคาญ” ผมพูดกระแทกแดกดันอย่างไม่พอใจก่อนที่จะสับเท้าก้าวยาว ๆ รีบเดินจากไป
“เดี๋ยวสิ นี่พี่สาวนะ จะไม่พูดด้วยกันดี ๆ หน่อยเหรอ” ยัยจุ้นจ้านนี่ก็ยังมาตัดหน้าผมแล้วขวางไม่ให้ผมเดินไปอีก
“หึ ไม่จำเป็นหรอก และที่สำคัญเกิดก่อนแค่นาทีเดียวไม่จำเป็นต้องเรียกพี่ก็ได้นะ ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นญาติมิตรกับพวกเธออีกแล้ว”
“เก่งจังเลยนะ คงโกรธที่พ่อไม่ให้เงินล่ะสิ”
“แล้วฉันไม่ควรได้เหรอ ชีวิตนี้พ่อคิดจะรับผิดชอบอะไรชีวิตลูกชายคนนี้บ้าง นอกจากจะวางไข่ไว้ให้คนใช้เลี้ยงแล้วเนี่ย เคยคิดจะทำตัวให้สมกับเป็นพ่อบ้างป้ะ”
สุดท้ายลลินหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกจนได้ เพราะเมื่อสองเดือนก่อนผมได้แบกหน้าเข้าไปเหยียบในบ้านแห่งนรกนั่นอีกครั้งเพื่อไปอ้อนวอนขอให้พ่อแท้ ๆ ส่งเสียให้เรียนหนังสือ ก่อนที่คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อจะสั่งให้ลูกน้องโยนผมออกมาเหมือนหมาจรจัด
“อย่ามาพูดใส่พ่อแบบนี้นะลลัน”
“เหอะ ทำไมล่ะครับคุณหนูลลิน อ๋อ ผมลืมไปไอ้กระจอกอย่างลลันมันไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วงเจ้าสัวบดินทร์เพราะมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินไม่ควรหมิ่นของสูง”
“จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา ที่นายเป็นแบบนี้ก็เพราะนายมันดื้อ ไม่เชื่อฟังพ่อไง”
“เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว ต่อไปนี้ฉันไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลนี้อีกแล้ว”
“หึ ได้นายพูดเองนะ”
“เอาไก่ทอดไปกินด้วยสิ พ่อให้เอามาฝากน่ะ!”
