บทที่ 2
ขณะนี้คนดีได้มายืนอยู่ตรงหน้าร้านรับซื้อเครื่องประดับด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจบวกกับความคับแค้น เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ตนเจอเมื่อคืนนี้ นอกจากจะทำให้เขาหวาดระแวงแล้วยังทำให้เขาโกรธมากจนอยากจะจับบุคคลปริศนาเมื่อคืนออกมาฉีกเป็นชิ้น ๆ แต่ก็ใช่ว่าคนอย่างเขาจะทำแบบนั้นได้ หลังจากที่คนดีได้ไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจจึงได้ทราบมาว่าแหวนวงนี้มีราคา หนุ่มน้อยจึงคิดที่จะหาค่าทำขวัญเพื่อปลอบใจตัวเองด้วยการนำแหวนวงนี้มาขายเพื่อเอาเงินไปสนองความต้องการของตนเอง
“อ้าวดี ไปไงมาไงเนี่ย”
“หวัดดีพี่ต้น กลับมาจากเกาหลีนานแล้วเหรอพี่” ข่าวกล่าวคำทักทายผู้ที่ถูกขานเรียกว่า พี่ต้น ด้วยรอยยิ้มอย่างเคย
“กลับมาได้สองวันแล้วแหละ ว่าไง มาหาพี่มีอะไรหรือเปล่า”
“มีของมาให้ดูอะ ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่าของแท้หรือเปล่า” คนดีควักของที่ว่าออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้กับคนตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น ต้นกล้าหยิบแหวนที่ทำด้วยไทเทเนียมฝังเพชรล้อมวงเป็นจำนวนหลักร้อยขึ้นมาเพ่งพิจารณา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้เครื่องมือเลยก็ทราบได้ว่าหลายวงนี้มีราคาแพง อีกทั้งเพชรที่ใช้ตกแต่งก็น้ำงาม หายากมากในเมืองไทย
“ไปเอามาจากไหนวะ ของดีเลยนะเนี่ย”
“ผู้ชายให้มา”
“บ๊ะ เสน่ห์แรงนะเอ็ง จะขายป้ะพี่ให้ได้สองแสน”
“สองแสนเลยเหรอพี่ มันแพงมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อืม เพชรน้ำงามอยู่นะ จะขายไหมล่ะเดี๋ยวพี่โอนให้เลย” คนดีหรี่ตามองก็พอจะจับพิรุธได้ว่าคนตรงหน้ามีทีถ้าอยากได้แหวนวงนี้มากเป็นพิเศษ เช่นนี้เขาก็คาดการณ์ได้เลยว่าแหวนวงนี้อาจจะมีค่ามากกว่านั้น
“ฝากทำความสะอาดก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวตอนเย็นค่อยให้คำตอบ”
“ได้ เดี๋ยวพี่เก็บไว้ให้”
@มหาวิทยาลัย
อะแฮ่ม! หวัดดีครับพี่ ๆ ทุกคน ผมชื่อว่า คนดี อายุ 20 ปี ลูกครึ่งไทย-จีน มีพี่สาวคนเดียวคือเจ่เจ้ คนรัก สถานะโสดแฟนไม่มีเพราะว่าไม่มีใครเอา ทั้งชีวิตมีแค่หมาไซบีเรียนฮัสกี้ 2 ตัวชื่อว่า คนเก่งและคนเก๋า นิสัยส่วนตัวของผมก็เหมือนวัยรุ่นปกติทั่วไปไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่เจ่เจ้กับพี่จอยมักจะบอกว่าผมเป็นคนหัวหมอ ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองฉลาดถึงขั้นเป็นหมอได้หรอกนะ ฮ่า ๆ ๆ ตอนเด็ก ๆ ผมกับพี่สาวซนมากและชอบเอาแต่ใจ อยากได้อะไรพ่อกับแม่ก็หามาให้ทุกอย่าง พออายุสิบแปดจบมอปลาย ป๊ากับม๊าก็ตัดสินใจตัดหางปล่อยวัดผมกับพี่สาวให้อยู่เมืองไทยกันสอง คนของพ่อกับแม่ก็กลับไปดูแลธุรกิจที่ประเทศจีน ลำพังพวกผมก็ใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบากแล้ว ป๊ากับม๊ายังซื้อเจ้าคนเก่งและคนเก๋าทิ้งไว้ให้พวกผมดูแลอีก ยื่นฉันขาดว่าถ้าดูแลพวกมันไว้ไม่ดีพ่อกับแม่จะไม่ส่งเงินให้ใช้ตลอดชีวิต ผมกับเจ่เจ้เลยต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ตอนนี้ก็ผ่านมาสองปีแล้วมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย แถมยังมีอิสระในการใช้ชีวิตไม่มีป๊ากับม๊ามาคุม
ผมเดินฮัมเพลงมาอยากมีความสุข สงสัยผมจะแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไป ไอ้ดลกับไอ้วา ถึงกับมองหน้ากันพร้อมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ก็แหงแหละถ้ามันรู้ว่าผมเพิ่งได้ลาภลอยมาจากนักเลงถึงสองแสน พวกมันก็คงไม่ทำหน้างงวยเหมือนส้นตีนแบบนี้
“เฮ้ยไอ้ดี วันนี้ถูกหวยแต่เช้าเหรอวะ ยิ้มแป้นมาเชียว” ไอ้วาเอ่ยถามด้วยความอยากรู้เมื่อผมหย่อนก้นลงไปนั่งบนเก้าอี้ ผมเอียงใบหน้าเล็กน้อยพร้อมยักคิ้วสองที
“ประมาณนั้น”
“แล้วแขนมึงไปโดนอะไรมา ถลอกปอกเปิกหมด ไปฟัดกับนักเลงที่ไหนมารึ” ไอ้ดลทักซะผมขนลุกซู่แหนะ ถ้ามันไม่ใช่เพื่อนผมมาสองปีจนรู้นิสัยใจคอมาหมดผมคงคิดว่ามันเป็นหมอดู
“ล้มเมื่อคืนอะดิ ถนนลื่นชิบหาย ฝนตกบ่อยด้วยแหละ”
“เหรอ? กูว่าไม่น่าใช่” ผมเลือกที่จะหลบตามันแล้วทำคอเลื้อยไปมาเพื่อเบี่ยงดบนคำตอบ ไอ้เหี้ยนี่หูตาอย่างกะสับปะรดเป็นวิสัยของพวกคนใหญ่คนโต ประเดี่ยวผมจะถูกมันจับได้ซะก่อน
“ใครอะ/งานดีเวอร์/นักศึกษาใหม่ป้ะ” เสียงฮือฮาของเหล่านักศึกษารอบข้างดังขึ้น ส่วนมากเจ้าของเสียงจะเป็นเสียงของสาว ๆ มากกว่า ชมว่าหล่อแบบนั้นงานดีแบบนี้ หึ! ทั้งมอนี้ยังมีคนหน้าตาดีกว่าพี่ทิวอีกเหรอ พี่ทิวคือรุ่นพี่ที่ผมแอบชอบ เขาทั้งหล่อ รวย ใจดี เป็นมิตร เรียนก็เก่งกีฬาก็เริ่ด!
“ไอ้หน้าหล่อนี่ใครวะ ไม่เคยเห็นเลย”
“อ๋อ ไอ้นายท่าน เพื่อนสมัยมอปลายกูเอง เพิ่งย้ายมาวันนี้วันแรก” ฮ่า ๆ หน้าขัน คนบ้าอะไรชื่อนายท่าน ไหนกูขอดูหนังหน้ามันซิ
พรึ่บ
“อึก”
โฮ้ นี่มันเทพบุตรเดินดินชัด ๆ ผมขาวอมชมพูเหมือนผิวสาวเกาหลีในวงเคป๊อบที่ผมติ่งเลย จมูกโด่งสันคมชัดราวกับใช้กระดูกอ่อนหลังหูสองอันวางซ้อนกัน ดวงตาเรียวคมดำขลับ ริวฝีปากอวบอิ่มอย่างกะฉีดฟิลเลอร์ โครงหน้านี่อย่างกะฉีดโบท็อกซ์ทุกวัน สูงโปร่งหุ่นดี นี่มันคือผู้ชายที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีเลยนะเนี่ย ตัดภาพมาที่กูสิทีนี้ เศร้าจุย...
“พ่อแม่มันต้องสปอยล์ขนาดไหนวะ ถึงตั้งชื่อลูกว่านายท่าน” ผมออกตัวต่อว่าคนที่เดินเข้ามาด้วยความอิจฉาตาร้อน
“แหม ทีมึงยังชื่อคนดีเลย ไม่สมกับชื่อเลยสักนิด”
“เอ้า ไอ้เวรดล”
“ว่าแต่ทำไมเพื่อนมึงถึงย้ายมากลางเทอมแบบนี้ล่ะ” ไอ้วาถามในสิ่งที่ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน เข้ามากลางเทอมแบบนี้อีกทั้งยังเป็นเพื่อนไอ้ดลซะด้วย แบบนี้คงเป็นอีจำพวกลูกคนรวยที่สร้างแต่ปัญหาแน่ ๆ
“ก็คงจะทำเหี้ยจนไล่ออกจากที่เก่ามาล่ะสิ”
“มันเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ไอ้ดีปากมึงนี่แม่ง”
ปั่ก
“นั่งด้วย”
ปัดโธ๊ะ! ไอ้ห่านี่พอมาถึงมันก็โยนกระเป๋าลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ ผมเลย แล้วหน้าตาเบื่อหน่ายที่มองผมนี่มันอะไรกัน ไร้มารยาทสิ้นดีไม่เคยรู้จักกันเสียหน่อย เอาล่ะผมไม่ชอบไอ้นี่!
“เฮ้ยไอ้นาย มาถึงก็กร่างเลยเหรอว่ะ” ไอ้ดลพูดแซวเพื่อนของมันแล้วส่งสายตามามองผมสลับกับมัน
“นาย เราชื่อชีวานะ เรียกวาก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จัก” หึ รีบแนะนำตัวเลยนะมึงไอ้วา ไม่เห็นที่มันปฏิบัติใส่หรือไงยังจะพูดดีกับมันอีก
“อื้ม แทนสรรพนามว่ากูมึงก็ได้นะ ไม่ติด”
“หึ ก็คนเขามีมารยาทอะเนอะ จะให้พูดจาถ่อย ๆ ได้ยังไงล่ะ” เป็นงะ! เป็นไง แบบมึงต้องเจอคนแบบไอ้ดี
“ใคร”
“อะไร?”
“ใคร”
“จะบอกว่าใครถามใช่ไหมล่ะ รู้ทันเถอะ”
“เป็นใครถึงเสือกมิทราบ!”
“อ้าว ไอ้เวรนี่”
“เฮ้ย ๆ หยุดเถียงกันได้แล้ว อาจารย์มาแล้วเนี่ย หยุดได้แล้วไอ้ดี” ไอ้วารีบดึงผมนั่งลงทันทีในขณะที่ผมกำลังจะใส่เดี่ยวกับคนข้าง ๆ ไอ้นายท่านคนนี้มันยังคงจ้องเขม็งไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย หื้ม! มันน่าโดนนัก
พุทธโธ ธรรมโม สังโฆ ฟู่ว~ รอบนี้ฝากไว้ก่อนเถอะมึง
