บทที่ 1
“ไอ้ดีทำไมไปนานจังวะ อาหารเย็นชืดหมดแล้วเนี่ย”
คนรัก หรือเจ่เจ้ของคนดี คือพี่สาวแท้ ๆ ที่เกิดคลานตามกันมาจากท้องแม่ ทั้งสองมีอายุห่างกันเพียงแค่สองปี คนรักจึงเป็นทั้งพี่สาวและเพื่อนของคนดีแต่ในบางครั้งเธอก็เป็นเหมืินแม่คนที่สองของน้องชายตัวแสบ เพราะน้องชายเป็นคนที่สร้างเรื่องสร้างอันแสนจะน่าปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน จึงไม่พ้นเธอที่จะต้องตามเก็บกวาดทุกครั้ง
คนรักล้วงมือถือขึ้นมากดโทรออกไปหาคนดีเมื่อเห็นว่าเขาออกไปนานเกินกว่าปกติ ถึงแม้ว่าเขาจะโตจนอายุยี่สิบแล้ว แต่ก็อดห่วงไม่ได้ เพราะเวลาที่เขาไปที่ร้านเค้กของจอยแล้วพบปะกับพนักงานในร้านจำนวนเยอะ เขาก็มักจะอดใจไม่ได้ที่จะเข้าไปเม้าท์กลางวงสนทนาจนไม่ยอมกลับ
ครืด
“ไอ้ดี มือถือก็ไม่เอาไปด้วย” คนรักวางสายอย่างหัวเสียเมื่อมือถือของคนดีสั่นขึ้นตรงโซฟา เมื่อเป็นแบบนั้นเธอจึงยกอาหารทั้งหมดเข้าไปเก็บไว้ในตู้เพื่อที่จะออกไปนำเจ้าน้องชายตัวแสบมากินข้าว ทว่าเขากลับมาเสียก่อน
“เจ่เจ้ ฮือ ๆ” เสียงร้องไห้แปดหลอดดังมาแต่ไกลพร้อมปรากฏตัวมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา อีกทั้งยังเนื้อตัวมอมแมมเปื้อนดินโคลน คนรักตาลุกวาวเมื่อเห็นสภาพของคนดี เธอไม่รอช้ารีบวิ่งไปประชิดตัวเขาทันที
“คนดี ปะ...เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
“ฮึก ฮือ”
“เป็นอะไร แล้วนี่ไปล้มที่ไหนมาเสื้อผ้าเปื้อนหมดแล้ว” เธอถามสองถือพลางปัดเศษดินเศษโคลนออกจากตัวเขา
“ผมเจอนักเลงอยู่หน้าซอยอ่า พวกมันจะฆ่าผม”
“ฮะ ถูกนักเลงขู่ฆ่าเนี่ยนะ นักเลงมาจากไหน”
“ม่ายรู้ รู้แค่ว่ามันใส่ชุดดำทั้งแก๊งเลย ฮือ ๆ”
“เฮ้ย อย่าร้อง งั้นเราไปแจ้งความกันนะ” หนุ่มน้อยพยักหน้ารับหงึก ๆ ทั้งน้ำตาโดยมีพี่สาวลูบศรีษะแผ่วเบา ธรรมชาติของคนดีเขาจะไม่ค่อยร้องไห้ออกมาแบบนี้ง่าย ๆ ด้วยความที่เขานั้นเป็นคนร่างเริง คิดบวก มีอินเนอร์จีมหาศาลเป็นทุนเดิม แต่ครั้งนี้คนรักมองเห็นความหวาดกลัวออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นได้อย่างชัดเจน เธอจึงไม่สามารถนิ่งนอนใจกับเรื่องนี้ได้
สถานีตำรวจ
“บ๊ะ ไอ้นี่ นักเลงบ้านพ่อมึงสิวิ่งเข้ามาจูบมึงแล้วขู่ฆ่า มึงหลอนหรือเปล่าวะไอ้หนู” เมื่อได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากปากของน้องชายแล้ว ผู้เป็นพี่สาวแทบแทรกแผ่นดินหนีให้ไกลด้วยความอาย รู้แบบนี้ควรจะสอบถามเรื่องราวให้ถี่ถ้วนกว่านี้ก่อน
“ผมไม่ได้หลอนนะครับคุณตำรวจ มันจูบผมจริง ๆ แล้วมันก็ขู่ฆ่าผมจริง ๆ เชื่อผมเถอะนะ”
“เอาจริงนะ มันทำร้ายร่างกายอะไรป้ะ”
“มะ..ไม่”
“หึ ชัดเลย คิดเองเออแบบนี้ระวังเจอข้อหาแจ้งความเท็จนะเว้ยไอ้หนู”
“อ้าว พูดแบบนี้เป็นตำรวจจริงป้ะเนี่ย ต้องรอให้น้องหนูมันโดนทำร้ายร่างกายก่อนเหรอถึงจะมาแจ้งความได้อะ ไหนว่าเป็นคนของประชาชนไงทำไมปัดความรับผิดชอบแบบนี้วะ”
“ไม่ใช่ไม่อยากช่วย แต่ทางกฎหมายมันไม่ได้ไง ฉันเป็นตำรวจนะอย่ามาเถียงสิวะ ไป ๆ กลับบ้านไปได้แล้ว”
และมันก็เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่า สิ่งที่ตำรวจพูดมันไม่ใช่ความจริง ในประเทศนี้กฎหมายมีช่องโหว่เล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ อีกทั้งหลักฐานของเขาก็มีไม่เพียงพอที่จะเอามายืนยันได้
“เดี๋ยวครับ”
“ตอนที่ไอ้นักเลงมันจูบผม มันแอบดันแหวนวงนี้เข้ามาที่ปากผม คุณตำรวจพอจะรู้ไหมว่ามันคือแหวนใคร มีใครมาแจ้งของหายบ้างหรือเปล่า” คนดียืนแหวนทองคำขาวพื้นผิวเรียบเงาให้แก่ตำรวจคนดังกล่าว เพราะเขากลัวว่าของชิ้นนี้จะเป็นของที่ถูกขโมยมาเกรงว่าจะโดนข้อหารับของโจรไว้ในครอบครอง
คุณตำรวจหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมาพิจารณาเพียงแค่สามวินาทีก็ลมแทบจับ เขารีบยัดใส่มือคืนให้กับคนดีทันทีเมื่อเห็นข้อความที่สลักไว้ข้างใน
“อะ...เอาคืนไป”
“ทำไม แหวนนี้คือแหวนอะไร ทำไมลุงหนวดกลัวขนาดนั้น”
“กะ...ก็แหวนใครก็ไม่รู้นี่หว่า อีกอย่างราคาก็แพงฉันไม่อยากแตะกลัวมันเสียหาย เอ็งเอากลับคืนไปเถอะ”
“เวอร์ละ ลุงเป็นตำรวจนะ ลุงก็เก็บไว้ให้เจ้าของมันสิ”
“เก็บไว้กูก็ตายสิวะ!” ตำรวจตะคอกใส่หน้าเขาราวกลับว่าเผลออุทานออกมาโดยมิได้ตั้งใจ หนุ่มน้อยหรี่ลงเพื่อจับปฏิกิริยาที่ดูแปลกตาของคนตรงหน้า จนเขาขาสั่นแถมดวงตายังล่อกแล่กไปมาส่อพิรุธ
“ทำไม ลุงรู้ว่าแหวนนี่เป็นของใครงั้นเหรอ”
“จะของใครก็ช่างเถอะ เดี๋ยวเจ้าของเขาก็มาเอาเองแหละน่า เอ็งเก็บไว้นั่นน่ะดีแล้ว เขาจะได้...ขอบคุณถูกคน”
“ถ้าแหวนมันมีราคาจริง เราเอาไปขายแล้วไปซื้อบัตรคอนกันดีกว่าเจ้”
“เจ้ว่าดีนะ”
“โอ้ย ไม่ได้โว้ย เดี๋ยวก็ตายห่ากันหมดหรอก!”
“พูดแบบนี้ หล่อนมีพิรุธนะ!”
“พิรุธอะไร ฉะ...ฉันไม่ได้มีพิรุธ”
“เหรอ?”
“งั้นเอางี้ เดี๋ยวอีกสามสิบนาทีจะส่งตำรวจไปคุ้มกันที่บ้านเอ็งให้ที่อยู่ตามนี้นะ ทีนี้ก็กลับไปได้แล้ว ไป ๆ”
“ง่ายจังวะ”
หลังจากตกลงกันเสร็จเรียบร้อยสองพี่น้องก็เดินกลับออกมาจากสถานีตำรวจ เพื่อนั่งรอวินมอเตอร์ไซค์เตรียมกลับบ้าน ถึงแม้ว่าเรื่องจะจบแต่ความอายยังไม่จบ
“แม่งเอ้ย กูตะหงิด ๆ ตั้งแต่แรกแล้ว นักเลงเข้ามาจูบเนี่ยนะมึงบ้าป้ะไอ้ดี”
“มันน่ากลัวมากเลยนะเจ้ สายตามันดุดันราวกับสายตาของเพชรฆาตและที่สำคัญมันมีปืนด้วยนะ”
“แล้วมึงเห็นหน้ามันป้ะ”
“หล่อ ขาว สูง ถึงผมจะเห็นแค่ตามันผมก็รู้ได้เลยเจ้”
“เจริญแล้วน้องกู ไปหมดแล้วสมอง แล้วมันเห็นหน้ามึงไหมเนี่ย”
“ไม่น่าเห็นนะ ตรงซอกนั้นมันมืด”
“เออ ๆ ช่างมันเถอะถือซะว่าฟาดเคราะห์ ความหน้าเจ้จะไปด้วย แล้วแหวนนั่นล่ะจะเอายังไงต่อ”
“หึ ก็ขายน่ะสิวะ”
“ขาย?”
“ใช่ ขายไปซื้อบัตรคอนเบบี้มอนสเตอร์”
“ถือซะว่าเป็นค่าทำขวัญละกันนะ หึ ๆ”
เปิดมาตอนแรกก็ปวดหัวเลย ตอนหน้าจะยิ่งทวีคูณเป็นภูเขาเลย คนดีที่ไม่ใช่คนดีสินะ ไอ้ดี๊!!!
