CHAPTER 1
นักศึกษาใหม่คนนั้น
วันนี้ยูกิสะอยู่ในชุดนักศึกษาสถาบันเดียวกับฉันและกำลังเดินตามฉันมา
เรือนร่างที่สูงกว่าชายญี่ปุ่นมาตรฐานทั่วไปและผิวที่ขาวโดดเด่นตัดกับเส้นผมสีดำสนิททำให้เขาดูสะดุดตาจนถูกทั้งชายและหญิงมองตามตลอดทาง
นัยน์ตาของเขามีสีเทาเยือกเย็นราวกับท้องฟ้าที่ครึ้มด้วยละอองหิมะอันหนาวเหน็บ
เรื่องของเรื่องก็คือในเมื่อเขาบอกว่าเพิ่งย้ายมาจากต่างประเทศและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นสักอย่างฉันจึงต้องเป็นเหมือนไกด์ให้เขาไปโดยปริยาย
คือเขาเป็นคนญี่ปุ่นแต่อยู่ยุโรปมาตลอดจนถึงเดือนที่แล้วน่ะนะ
ที่อยู่ฉันก็หาให้เขา มหาวิทยาลัยที่จะเข้าเรียนฉันก็หาให้เขาเหมือนกัน ฉันคิดง่ายๆ จึงพาเขามาเรียนที่เดียวกับตัวเองในเมื่อฉันเองก็ไม่ได้รู้จักมหาวิทยาลัยอื่นดีเท่าไหร่นัก
“ที่นี่คือมหาวิทยาลัยอากิซาวะซึ่งนับว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดซึ่งปีที่แล้วเพิ่งฉลองครบรอบหนึ่งร้อยยี่สิบปี” ฉันอธิบายสบายๆ ขณะเดินพายูกิสะออกทำความรู้จักกับมุมต่างๆ ของที่เรียนใหม่
ฉันสมัครให้เขาเข้าเรียนโปรแกรมเด็กพิเศษเหมือนกับฉันซึ่งนับว่าเป็นโปรแกรมที่โหดหินมาก มีแต่คนไอคิวระดับสูงที่สุดเท่านั้นถึงจะเข้าเรียนได้ ค่าเรียนก็แสนแพงและเพราะเป็นโปรแกรมพิเศษจึงมีอาจารย์ดูแลโดยเฉพาะและแตกต่างจากชั้นเรียนภาคปกติทั่วไป
ในโปรแกรมนี้นักศึกษากลุ่มเล็กๆ จะเรียนด้วยกันหมดทำให้บรรยากาศการเรียนออกจะเหมือนไฮสคูลที่พบเจอเพื่อนร่วมคลาสตลอดและมีอาจารย์ประจำคลาสคอยเอาใจใส่
ฉันออกจะแปลกใจที่ยูกิสะสอบเข้าที่นี่ได้ซึ่งแน่นอนว่าไม่ง่ายเลยสักนิด
“นั่นใครอ่ะ?”
“นักศึกษาใหม่งั้นเหรอ?”
ตลอดทางได้ยินเสียงฮือฮาด้วยความทึ่งในตัวยูกิสะจากนักศึกษารอบข้าง จะว่าไปนั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกินเลยความคาดหมายนักเพราะเขาโดดเด่นกว่าใคร โครงหน้าและทุกส่วนประกอบของยูกิสะคมคายอย่างประหลาดโดยเฉพาะเวลานี้ที่ร่างสูงสง่าผ่าเผยเดินอยู่ข้างฉันโดยเยื้องหน้านิดๆ
ฉันเผลอมองเขาไปหลายรอบเหมือนกัน แต่นั่นไม่ทำให้ฉันดูผิดสังเกตหรอกเพราะเกือบทุกคนที่ผ่านไปมาก็ทำแบบเดียวกัน
ที่วิทยาลัยเราไม่เคยมีใครเป็นจุดสนใจขนาดนี้มาก่อนเลย
“ส่วนที่เราเพิ่งเดินผ่านมาเป็นอาคารบริหาร ตรงนี้เป็นห้องพยาบาล ส่วนตรงนั้นเป็นห้องอาหารอาจารย์”
ฉันอธิบายทุกอย่างเพราะรู้สึกว่าในเมื่อฉันเป็นคนหาที่เรียนหรือแม้แต่ที่พักให้เขาฉันก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อเขาด้วยเหมือนกัน มันเหมือนว่าฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนในความดูแล
แค่คนในความดูแลนะ...ไม่ใช่สามี นั่นมันคนละเรื่องกัน!
อย่างที่บอกว่าฉันตกลงแต่งงานกับเขาแต่ในนาม อย่าลืมข้อนี้เสียล่ะ!
“นั่นเป็นห้องน้ำ มีตรงนี้จุดหนึ่งแล้วก็อีกจุดหนึ่งตรงสุดทางอีกฟาก” ฉันบอกเรื่องที่ควรบอกเกี่ยวกับวิทยาลัยของเราให้นักศึกษาใหม่รู้
“อืม” ร่างสูงตอบรับเพียงครางสั้นๆ ในลำคอเท่านั้น
ดูเขาจะพูดน้อยทีเดียว...จะว่าไปก็เหมือนกับผู้ชายหน้าตาดีในญี่ปุ่นทั่วไปที่มักซึนและน่าค้นหา
“อ้อ นั่นอาคารกีฬาที่ใช้จัดโอลิมปิกได้และกำลังเสนอตัวอยู่ แล้วก็...” ฉันหันมายิ้มน้อยๆ ให้ยูกิสะ “นายเรียนชั้นเดียวกับฉันแต่แน่นอนว่าเราไม่ต้องนั่งข้างกันก็ได้”
กึก
เงียบ...
เป็นอย่างที่คาด…ในวินาทีเดียวความสง่างามที่ยากจะอธิบายของเขาได้ดึงดูดทุกคนให้ลากสายตามาจ้องมองร่างสูงด้วยความตะลึงงัน
“โอ นั่นใครน่ะ?”
“อย่าบอกนะว่าผู้ชายที่โดดเด่นขนาดนั้นจะมาเรียนกับเรา?”
“ฉันแอบเห็นใบสมัครของเขาเขียนว่าเขามาจากโรมาเนียล่ะ!”
ยูกิสะเงียบสงบกับเสียงที่ไม่เชิงเป็นคำทักทายเขาโดยตรงเหล่านั้น ทว่าเสียงฮือฮาไม่ได้หยุดลงง่ายๆ เพราะความที่เขาโดดเด่นจนน่าขนลุก
ฉันแนะนำชื่อเขาให้เพื่อนๆ รู้จัก “ทุกคน นี่คือยูกิสะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
ยูกิสะเป็นคนแบบไหนนะ? ปรับตัวง่ายหรือยาก? เข้ากับคนง่ายหรือชอบอยู่คนเดียว?
ก็นั่นล่ะ...ฉันแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาสักอย่างเพราะเราไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ นี่นะ
“ยูกิสะนี่คือคลาสของนายและเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมด เอ้าเพื่อนๆ แนะนำตัวกันหน่อย” ฉันขอให้เพื่อนๆ แนะนำตัวเป็นรายคน
ที่ทำขนาดนี้ก็เพราะฉันนึกถึงตัวเองเหมือนกันว่าหากฉันเป็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาเรียนเป็นวันแรกจะเกร็งแค่ไหน แน่นอนว่าฉันต้องอยากได้รับความเป็นมิตรและการดูแลเป็นพิเศษ
ถ้าเขาไม่เครียดและปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้ก็คงดีฉันจะได้ลอยตัวและหมดภาระ
“ยูกิสะมานั่งข้างเราเร็ว” พวกผู้ชายชวน
“นั่งข้างพวกฉันก็ได้น้า” พวกผู้หญิงแย่งชวนด้วยแก้มแดงเรื่อดูน่ารัก
อย่างไรก็ตามยูกิสะเพียงลากสายตาไปตามเก้าอี้ด้วยสีหน้านิ่ง
ต่อให้ฉันเป็นคนพาเขามาแต่เขาเล่นเอาแต่เงียบก็ทำเอาฉันอึดอัดเหมือนกัน ใบหน้าคมเข้มดูผิวเผินแล้วทั้งเยือกเย็น นิ่ง ยโสและรั้น
ทั้งห้องเงียบกริบราวกับรอลุ้นว่ายูกิสะจะนั่งข้างใคร
ฉันนั่งลงบนที่นั่งของตัวเองตามปกติก่อนจะพบว่าเขาเดินตามมานั่งด้วยตรงเก้าอี้ว่างข้างๆ
“นายนั่งห่างๆ ฉันก็ได้” ฉันบอกอีกฝ่าย
“แต่ตรงนี้ก็นั่งได้นี่นะ”
จบ…
สรุปเขานั่งข้างฉัน
นี่ฉันคงต้องดูแลเขาจริงๆ ทั้งที่ดูแลมามากแล้ว
เอาเหอะ ถือว่าทำความดีเพื่อโลกก็แล้วกัน
ชั้นเรียนแรกของวันเริ่มขึ้น โปรแกรมของเราเป็นโปรแกรมที่ยากและต้องเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นเท่านั้นที่จะผ่านมาถึงจุดนี้
ระหว่างเรียนอาจารย์มีคำถามโยนให้พวกเราตอบและถกตลอดเวลา เมื่อคำถามมาถึงยูกิสะฉันต้องแปลกใจที่เขาตอบได้ดีทีเดียว ถึงจะตอบสั้นทว่าชัดเจนและถูกต้องจนน่าทึ่ง หลายคำตอบของเขาทำให้เพื่อนๆ รวมทั้งฉันอ้าปากค้างด้วยความอัศจรรย์ใจ
“หมอนี่อัจฉริยะชัดๆ” พวกผู้ชายพูดกัน
“ฉันรักยูกิสะ เขาคือว่าที่สามีของฉัน” พวกนักศึกษาหญิงเคลิ้มฝัน
อย่าบอกนะว่าปีนี้เขาจะได้คะแนนแซงหน้าฉันที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะในเมื่อตลอดมาฉันพยายามสุดความสามารถแล้ว ถ้าจะมีคนมาแย่งที่หนึ่งของฉันก็แล้วแต่พระผู้เป็นเจ้าแล้วล่ะ
เมื่อถึงพักเที่ยงฉันพายูกิสะมาส่งให้นั่งกับพวกผู้ชายในโรงอาหารส่วนฉันแยกไปนั่งกับพวกผู้หญิง
ที่ทำแบบนั้นเพราะตลอดครึ่งเช้าที่เขาอยู่ข้างๆ ฉันทำให้คนอื่นเอาแต่จ้องมองฉันจนประหม่า ถึงฉันจะถูกโหวตให้เป็นดาวของวิทยาลัยแต่ก็ใช่ว่าฉันชอบตกเป็นเป้าสายตาเพราะงั้นอยู่ให้ห่างจากเขาน่ะดีแล้ว
ที่จริงฉันก็เป็นห่วงนิดๆ ที่ปล่อยเขาไว้ไกลๆ
หวังว่าคงไม่เป็นไรหรอกนะ...ผู้ชายตัวใหญ่และสมองดีขนาดนั้น บางทีฉันควรเป็นห่วงตัวเองมากกว่าจะเป็นห่วงเขา
แต่แล้ว...
“ยูกิสะนายไม่ได้กินข้าวเที่ยงเหรอ?” ฉันถามเขาเมื่อเห็นว่าไม่กี่นาทีหลังจากที่นั่งโต๊ะนั้นเขาก็เดินหายไปและขึ้นไปบนดาดฟ้าจนฉันต้องเดินตามขึ้นไปหา ดูเหมือนเขาจะสนใจอาหารในแคนทีนแต่ก็เปลี่ยนใจฝืนตัวเองไม่กินเสียงั้นและตอนนี้แค่รื่นรมย์กับสายลมและบรรยากาศของดาดฟ้าสูง “ฉันไม่เห็นนายกินอะไรสักอย่าง”
“ฉันยังไม่หิว ขอบคุณ” ร่างสูงบอกแค่นั้น
น่าแปลกจัง...ตอนแรกเขาก็ดูสนใจจะกินนี่นา
ใครๆ ก็รู้ว่าอาหารแคนทีนนี้อร่อยขนาดรายการชวนชิมมาท้าพิสูจน์จนได้ดาวไปหลายร้าน ถ้ายูกิสะเห็นว่าไม่อร่อยก็ไม่มีอะไรอร่อยในโลกแล้วล่ะ
“จะดีเหรอ? นายไม่ควรข้ามมื้ออาหารนะ เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะเอา หรืออาหารญี่ปุ่นไม่ถูกปากนาย?” ฉันถามตามนิสัยเห็นคนอื่นเดือดร้อนไม่ได้
คนตัวสูงที่เวลายืนบนดาดฟ้าเปิดโล่งแบบนี้ดูเข้ากับสายลมอย่างประหลาดแค่จ้องมองฉันกลับ
“จะว่าไปอาหารฝรั่งก็มีนะ นายมาจากโรมาเนียเพราะงั้นคงชอบอาหารแนวนั้นมากกว่า ลงไปดูที่แคนทีนอีกทีแล้วเลือกสั่งอย่างอื่นดีมั้ย?”
“ขอบคุณที่ใจดีกับฉัน”
เฮ้อ...ทำไมเขาถึงไม่ตอบให้ตรงคำถามนะ
ถึงงั้นมันก็เป็นคำตอบที่ไม่ยั่วโมโหอีกฝ่าย ฉันรู้สึกว่ายูกิสะเป็นคนดีถึงแม้ว่าหากมองเผินๆ แล้วอาจดูเยือกเย็น หยิ่ง หรือแม้แต่รั้น
ส่วนเรื่องอาหารที่เขาไม่ยอมกิน...
“อย่าบอกนะว่านายไฮโซขนาดรังเกียจอาหารวิทยาลัยที่เป็นทั้งอันดับหนึ่งด้านวิชาการและอาหารน่ะ?”
“เปล่า”
“หรือว่านายกำลังถือศีลอด?”
“ไม่หรอกน่า” เรียวปากได้รูปกระจับยกยิ้มให้ฉันบางๆ “ฉันดีใจนะที่เธอเป็นห่วงฉัน”
สุดท้ายเขาก็ไม่ตอบคำถามฉันอยู่ดีสินะ
