2.3
ขาฉันอ่อนยวบตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบลงบนพื้น เซไปซบแผ่นอกของ
คาวะอย่างอ่อนแรง เขาแก้เชือกที่มัดข้อมือฉันออกแล้วพามาที่ลิฟต์อย่างไม่คิดจะเห็นใจฉันแม้แต่น้อย ฉันร้องเรียกให้เขาหยุดตลอดทาง สิ่งที่เสือกแทงอยู่ข้างในทำให้เสียงที่เปล่งออกมาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
ฉันสั่นสะท้านในทุกย่างก้าวที่ขยับเดิน
“คาวะ ฉัน... ฉันอยากเอาออก”
ฉันรบเร้า เขย่าแขนขอร้องคนตรงหน้า แต่หมอนั่นกลับมองมาด้วยสายตานิ่งๆ
“ถ้าเอาออกตอนนี้เธอก็แพ้ ข้อตกลงของเราจะเป็นโมฆะทันที”
“ข้อตกลง?”
ฉันมองสบสายตาคมกล้าตรงหน้าหัวใจสั่น นึกไม่ออกว่าไปทำข้อตกลงตอนไหน อึก! หรือว่าที่เขาพูดตอนนั้น ความคิดในหัวฉันเกิดการปั่นป่วนขึ้นมาทันที
“พะพูดถึงอะไร อื้อ…ทำไมจู่ๆ มันสั่น”
ฉันคว้าแขนคาวะแน่นอย่างต้องการที่ยึดเหนี่ยว ยืนบิดตัวไปมาเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนด้านใน หัวใจสั่นระรัว ช่องท้องบีบรัดกะทันหัน
…ฉันเกือบเสร็จ!
ฉันกัดฟันแน่น พยายามต่อสู้กับสัญชาตญาณตัวเอง หลับตาข้างหนึ่ง มองรีโมตเครื่องเล็กจิ๋วที่คาวะล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง
นั่น! เข่าฉันแทบทรุด เมื่อรู้ว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา
“หยุดนะ! อืออื้อ คะคาวะ อ๊ะ ฉัน… ฉันจะ”
ติ้ง!
ยังไม่ทันได้เตรียมใจประตูลิฟต์ก็เปิดออก อารมณ์ที่กำลังเตลิดถึงวิมานฉิมพลีเป็นอันชะงักกึก ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศก่อนจะร่วงวูบ! เมื่อเห็นคนอื่นยืนอยู่หน้าลิฟต์ ฉันใจหายวาบ ปั้นหน้ายากอย่างทำอะไรไม่ถูก ผิวแก้มร้อนจัด อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาจะดูออกไหมว่าฉัน… ฉัน…
“อ๊ะ!” ฉันผวาร้องเสียงหวิวเพราะแรงฉุดที่แขน
คาวะดึงฉันที่ยืนเงอะงะออกจากลิฟต์อย่างไม่คิดจะเบามือให้ เท้าที่โดนบังคับให้ก้าวตามไปแบบรวดเร็วทำให้ขาพันกัน สะดุดเสียหลัก
“ว้าย!”
“ระวังครับ”
ผู้ชายที่มายืนรอลิฟต์รีบรั้งแขนฉันเอาไว้ไม่ให้ล้ม มีกลิ่นเหล้าอ่อนๆ ลอยออกมาจากตัว มองจากท่าทางแล้วน่าจะเพิ่งกลับจากไปเที่ยว ฉันมองแผงอกกำยำใต้เสื้อเชิ้ตที่กระดุมสองเม็ดบนหลุดของคนตรงหน้าอย่างหน้ามืดตาลาย ทำไมถึงรู้สึกอยากซบแบบนี้นะ
“เฮ้ย!”
เสียงยะเยือกของคาวะทำให้เขารีบปล่อยมือจากฉันทันที
“ขอโทษครับ”
“ขอบคุณ… อ๊ะ คาวะ เบา… อึกเดี๋ยว”
ฉันยังไม่ทันได้ขอบคุณเขา ก็ถูกคนสารเลวลากออกมาซะก่อน การสับขาเดินตามคาวะมาที่รถไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้ระยะทางจะไม่ไกลจากประตูลิฟต์ แต่สิ่งที่คอยทิ่มแทงอยู่ข้างในมันให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนหนามแหลมไม่มีผิด
พลั่ก!
“โอ๊ย!” คาวะผลักฉันเข้ามาในรถอย่างไม่ปรานีปราศรัยก่อนจะจับแก้มฉันไปบีบแน่น ฉันพยายามสะบัดออกแต่ไม่สำเร็จ จ้องตอบสายเหยียดหยันของเขาด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง
“สงบสติอารมณ์หน่อย ไปโปรยตาหวานใส่ผู้ชายแบบนั้น ไม่สมกับเป็นเจ้าหญิงแห่งซูซาคุเลยนะ เก็บสีหน้าน่ารักๆ แบบนี้ไว้ให้พวกลูกน้องของเธอดูดีกว่า”
แววตาฉันลุกโชนขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น มองรอยยิ้มยะเยือกของ
คาวะอย่างขยะแขยง ความรู้สึกเคียดแค้นก่อตัวแน่นในจิตใจ ไม่ถุยน้ำลายใส่หน้าก็นับว่าบุญแค่ไหนแล้ว
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะเอานายไว้งั้นเหรอ”
ตอนนี้ในหัวฉันมีแต่ความรู้สึกที่อยากจะฆ่าแกงคาวะ ลืมเรื่องอัยย์ไปเสียสนิท ทว่าคาวะกลับยิ้มเย็น ไม่ยี่หระต่อคำขู่ของฉันแม้แต่น้อย
“ถ้าอยากให้คนอื่นรู้ก็แล้วแต่…”
คาวะยกรีโมตจิ๋วในมือขึ้นแล้วกดปุ่ม ของที่อยู่ด้านในสั่นจี๊ดทันที
ฉันกรีดร้องเสียงหลง ยิ่งนั่งทับแบบนี้ความรู้สึกที่ได้รับยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก
“…อ๊า หยุด! บอกให้ยุ้ดดด!”
“….”
คาวะปล่อยปุ่ม มองฉันใบหน้าเคร่งขรึม
ฉันกัดริมฝีปากแน่น ลมหายใจหอบหนัก มองสบสายตายะเยือกของ
คาวะแววตาสั่นระริก ทั้งโกรธทั้งกลัวในเวลาเดียวกัน
“บางทีความตายก็ง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่ว่าไหม”
ฉันไม่มีอะไรจะพูดนอกจากกล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ ฝืนกลั้นไม่ให้น้ำตาแห่งความอดสูไหลออกมา
ดวงตาคมกริบเพ่งมองสีหน้ารวดร้าวของฉันนานพอสมควร จนฉันเริ่มรู้สึกอึดอัด ลมหายใจปั่นป่วน เบือนหน้าหนีอย่างนึกรังเกียจ
หมอนั่นทำราวกับว่ากำลังพิจารณาอะไรบางอย่างบนใบหน้าสวยๆ ของฉันทำให้รู้สึกว่าน่าขนลุก!
“ถ้าทนได้ ฉันจะยอมรับในตัวเธอ ปกป้องเธอ ไม่ให้ใครมาฆ่าได้ง่ายๆ สัญญาเลย” คาวะใช้สันนิ้วลูบไล้แก้มฉันเบาๆ ฉันเบือนหนีแต่เขาก็ตามมาไม่เลิก
“...แต่ถ้าทนไม่ไหว จะบอกลูกน้องเธอให้มาเด็ดหัวฉันก็ได้ แต่ฉันคงไม่ยืนเฉยๆ ให้โดนฆ่า เผลอๆ คนที่จะตายก่อนอาจเป็นท่านซายูริแห่งซูซาคุ”
ฉันกัดฟันกรอด โกรธจนแทบลุกเป็นไฟ มองร่างสูงเดินอ้อมมาขึ้นประตูรถอีกฝั่ง ตลอดทางที่นั่งมาในรถความรู้สึกนึกคิดของฉันถูกรบกวนด้วยเครื่องที่ฝังอยู่ข้างใน แต่ถึงร่างกายจะสั่นไหวสักแค่ไหน สมองฉันก็ไม่ถึงกับเป็นอัมพาต ฉันเข้าใจที่เขาบอกแล้ว หมอนั่นให้ฉันเลือกระหว่างชีวิตกับความอับอาย
ถ้าฉันทนได้เขาก็จะยอมรับข้อเสนอ... แต่ถ้าฉันไม่ทนศักดิ์ศรีของฉันก็จะโดนย่ำยีไปด้วย
บ้าชะมัด!
