นาทีที่ 1 หึงจนเป็นบ้า
นาทีที่ 1
หึงจนเป็นบ้า
@โรงพยาบาล
ภายในห้องพักผู้ป่วยที่เต็มไปด้วยของเยี่ยมมากมายไม่ว่าจะเป็นช่อดอกไม้หอม ๆ ผลไม้หลากหลายสายพันธ์ุ ทว่าบรรยากาศรอบข้างนั้นกลับมีแต่ความตึงเครียด สาวร่างบางร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำอีกทั้งอวัยวะยังเกิดการเสียหายหลายจุด
“เป็นยังไงบ้างครับ”
“หนู...ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาเยี่ยม”
“ถ้าน้องต้องการอะไรก็บอกพี่ได้เลยนะ แต่ขออย่างเดียวอย่าให้มันเป็นเรื่องใหญ่”
“...”
“นะคะ?”
“ค...ค่ะ”
ความเจ็บปวดแสนทรมานมันจุกอยู่ที่อกแทบจะหายใจไม่ออกและอยากจะเบิดออกมาทันทีที่ออกมาจากห้องพิเศษ ผู้ที่เป็นเด็กในสังกัดพุ่งเข้าไปกระชากแขนของคนที่เพิ่งออกมาจากห้องนั้นด้วยกันด้วยสีหน้าท่าทางที่โกรธจัดจนอยากจะขย้ำผู้จัดการสาวให้แหลกครมือ
“พี่มิน”
“ว่า”
“ที่ยูพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความตามที่ไอพูดนั่นแหละ”
“นี่ยูจะปกป้องมันเหรอ”
“ที พี่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ”
“ไม่ครับ ผมไม่รู้เรื่อง ทำไมพี่ต้องปกป้องมัน ยูไม่เห็นสภาพน้องเขาเหรอ” นาทีตะคอกใส่หน้าของมินไม่ยั้งโดยไม่สนเหตุผลร้อยแปดอะไรเพราะเขาเชื่อว่าคนอย่างผู้จัดการคนนี้คงไม่เคยมี เพราะถ้ามีเรื่องที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น
“ทำไม ยูชอบมันเหรอ”
“พี่มิน”
“มีคนอื่นมายุ่งกับคนของตัวเอง ก็ไม่แปลกที่เจ้าของเขาจะหึงป้ะ” คำพูดที่แสนจะเห็นแก่ตัวหลุดออกมาจากปากของคนที่นาทีไว้ใจและเชื่อใจมากที่สุด ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองว่าคนที่เขาเคารพนับถือเหมือนเป็นแม่คนที่สองจะเป็นคนที่ใจดำอมหิตได้ขนาดนี้ ไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องยังไม่พอ ยังปกป้องคนทำผิดอีก
“พวกยูแม่งบ้าไปแล้วเว้ย บ้าจนไม่เหลือความเป็นคน!”
“เหอะ พี่ว่าทีควรกลับไปพักผ่อนได้แล้วนะ อย่าพูดมากกว่านี้เลย เดี๋ยวไอจะโกรธเอานะเข้าใจไหม” แววตาเลือดเย็นคู่นั้นกำลังมองมาที่เขาราวกับกำลังมองลูกเจี๊ยบตัวน้อยที่กำลังงอแงอยากจะออกจากกำมือเมื่อคนเลี้ยงบีบมันแน่นแค่นิดเดียว นาทียังคงมองแผ่นหลังของคนที่เดินจากไปอย่างเคียดแค้น มือหมากำหมัดแน่นเเลือดนูนชัด กรอบหน้าเป็นสันคมเสียงกัดฟันดังกรอดเพราะขบกราม เขารับไม่ได้กับความไม่ยุติธรรมนี้เพราะมันเลวเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะพึงปฏิบัติ นาทีมีแฟนคลับมากมายที่มอบความรักความอบอุ่นให้กับเขา แฟนคลับทำให้เขามาอยู่จุดสูงสุดได้เขาก็ต้องสู้เพื่อคนที่มีพระคุณได้เช่นกัน
นาทีสูดหายใจลึกเข้าปอดเพื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ก่อนที่จะตัดสินใจเดินกลับไปที่ห้องพิเศษห้องนั้น
“น้องครับ พี่จะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นเอง พี่สัญญาว่าจะทวงความยุติธรรมมาคืนให้น้องให้ได้ ช่วยอดทนรออีกสักนิดนะครับ”
“ฮึก...ฮือ ๆ ๆ”
@มหาวิทยาลัย
“ที่รักกินนี่หน่อยสิ อ้ามมม”
“ครับลัน เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วพี่ไปรับนะ”
ฉีดยาให้ฉันตายไปเถอะหมอ นี่คือคำขอของคนไข้~
นี่คือเพลงประจำตัวของผมที่อยากจะร้องในแต่ละวันหลังจากที่เพื่อนของผมทุกคนในกลุ่มนั้นมันมีแฟนหมดแล้วยกเว้นผมแค่คนเดียว เฮ้อ นี่สินะที่เขาเรียกว่าแข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แต่แข่งบนแข่งวาสนามันไม่ได้จริง ๆ ที่ผมบ่นอยู่นี่ไม่ใช่ว่าผมอยากมีแฟนหรือว่าอะไรหรอกนะ เพียงแต่ว่าผมดูไม่ค่อยสำคัญกับพวกมันเท่าไหร่ในตอนนี้ก็แค่นั้นเอง หลังจากที่พวกเพื่อนมีผัวมีเมียกันหมดไอ้วาคนนี้ก็ไร้ประโยชน์ทันที
“พวกมึง”
“...” เงียบ แถมยังเป็นความเงียบที่ดังที่สุดอีก มันช่างน่าตดกลางวงให้พวกมันดมจริง ๆ เลย
“พวกมึง สนใจกูหน่อยดิวะ”
“น่ารำคาญน่าไอ้วา ก้มหน้าเขียนฟิคมึงต่อไปเลย” นี่ไม่ใช่ประโยคจากใครอื่นไกลหรอกนะ แต่มันคือประโยคที่ออกมาจากปากไอ้คนดี คนที่ผมคิดว่ามันจะรักผมมากที่สุด
“กูจะกลับแล้ว ไม่สนใจพวกมึงแล้ว!”
“อ้าว คาบบ่ายล่ะ”
“กูโดด!”
@ 3 she Caffe
เอาล่ะ ชีวิตของไอ้ชีวามันไม่มีสีสันเหมือนเดิมแล้วเหรอวะ ขนาดสถานที่ที่จะไปหลบเพื่อดามใจยังไม่มีเลยสุดท้ายก็ต้องกลับมาตายที่บ้านเหมือนเช่นเคยสินะ เฮ้อ หลังจากที่แต่งแฟนฟิคเรื่องของนาทีกับจินจบ ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ถ้าจะให้แต่งเรื่องต่อไปก็ยังไม่มี passion หรือแรงบันดาลใจเลย เพราะว่าผมแต่งเรื่องของนาทีและจินมาเป็นร้อยเรื่องได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ความรักในวัยเรียน วัยทำงาน วัยเด็ก เป็นหนุ่มมาเฟียกับเด็กชายผู้ยากไร้ เป็นคุณหมอและคุณครู เป็นโจรกับเหยื่อ เป็นพ่อครูกับผี เป็นตำรวจกับผู้ร้าย เป็นควายที่กลางคืนแปลงร่างเป็นคนแล้วมาอยู่กับเสือที่แปลงร่างเป็นคนอีกทีนึง หรือว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่รักกับมนุษย์ ผมก็แต่งมาหมดแล้วจนไม่รู้ว่าจะแต่งยังไง โอ้ย เครียดว้อยยยย!
“กลับแล้วเหรอวา ทำไมวันนี้กลับไวจังอะ”
นี่อะ พี่วี ชื่อเต็มชื่อว่า ชีวี เป็นพี่สาวที่ผมสนิทด้วยที่สุดแล้วเพราะว่าเราห่างกันแค่สองปีเป็นตัวตั้งตัวตีด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่บางครั้งเราก็จับมือกันเป็นมิตรเพื่อแกล้งพี่สาวคนโตอีกทีนึง
“เบื่อนิดหน่อยอะพี่วี แล้วนี่พี่วันไปไหนอะ”
ส่วนคนที่พวกเรากำลังพูดถึง คือ พี่วัน ชื่อเต็มชื่อว่า ชีวัน คนนี้พวกเราไม่ได้เห็นว่าเธอเป็นพี่สาวหรอกนะ แต่เห็นเป็นแม่บังเกิดเกล้าเลยล่ะ เพราะพี่วันนั้นทั้งดุ ทั้งด่า ทั้งว่า และอบรมสั่งสอนเราในทุกเรื่องยิ่งกว่าแม่แท้ ๆ เสียอีก ผมกับพี่วีเลยยกให้พี่วันขึ้นไปนอนบนหิ้งเลยจ้า
“อบเค้กในครัวนู่น ยุ่งเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“ยุ่งอะไรกัน ปกติลูกค้าก็น้อยอยู่แล้วป้ะ”
“แหม ไปเรียนทุกวันจะรู้อะไรล่ะ”
“แหม ตัวเองก็ไปเรียนเหมือนกันเนอะ”
“ก็พี่วันพูดให้ฟังว่าช่วงนี้ลูกค้าเยอะมาก พอดีว่ามีดาราเขาถ่ายร้านเราลงสตอรี่น่ะ”
ดารา! ดารางั้นเหรอ
“ใครอะพี่วี ดังมากป้ะ แล้วแสดงซีรี่ส์วายหรือเปล่า”
“ไม่รู้จ้า ถามพี่วันนู่น”
“พี่วันจ๋า!!”
พอได้ยินคำว่าดาราเท่านั้นแหละ สาววายอย่างผมจำต้องรีบวิ่งแจ้นไปหาพี่สาวคนโตที่หลังครัวทันที
“บ้าดาราจริง ๆ เลยน้องฉัน”
และนี่ก็เป็นสีสันของครอบครัวของเราสามพี่น้อง หลังจากที่พ่อและแม่ตัดหางปล่อยวัดเราไว้แล้วซื้อบ้านให้อาศัยอยู่ร่วมกันหนึ่งหลัง แถมยังขีดเส้นตายไว้ว่าพวกเราต้องหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนให้ได้ เพราะพ่อและแม่ของผมนั้นท่านก็เป็นคนที่ดิ้นรนด้วยตัวเองจนมั่งมีศรีสุขอย่างทุกวันนี้ ท่านก็เลยอยากเลี้ยงลูกให้เหมือนกับชาวต่างชาติเพราะเด็กที่ต่างประเทศเขาก็หาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย
เมื่อความจนมันไม่อนุญาตให้เราอ่อนแอ พวกเราทั้งสามชีเลยตัดสินใจเปิดคาเฟ่เล็ก ๆ ที่บ้าน และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิด 3 She Caffe ขึ้นมา...
