Chapter 4: นกน้อยทำรังตามใจตัว [2/2]
“ขอบคุณคุณท่านที่เป็นห่วงผมครับ”
แม้แต่เด็กตรงหน้ายังรู้เลยว่าเขาเป็นห่วง!
เวหาถึงกับคิ้วกระตุกไปครู่หนึ่ง นึกว่าตัวเองไปแสดงออกอะไรชัดเจนให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างนั้น แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากปั้นหน้านิ่งเป็นรูปปั้นหิน ที่ทวิชคิดว่าเขาเป็นห่วงก็คงเพราะเห็นเขามาเยี่ยมเท่านั้นล่ะ ซึ่งก็จริงอย่างนั้น ทวิชคนซื่อบื้อยกมือขึ้นไหว้ ปากพึมพำเบาๆ
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณท่านต้องมาเสียเวลากับทาสอย่างผมครับ”
นี่ไง เห็นนายมาหาก็เข้าใจว่านายเป็นห่วงตามสัญชาตญาณของคนเป็นทาส ไม่ใช่เพราะถูกเขาลูบศีรษะหรือบอกให้ล้มเลิกความตั้งใจบ้าๆ นั่นสักหน่อย
เวหาผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากนั้นก็คิดว่าตัวเองไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป ไม่อย่างนั้นจะเสียระบบนายกับทาสหมด
“ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย เธออยากได้อิสระ มันก็ต้องแลกมาด้วยชีวิต แต่ถ้าเธออยากมีลมหายใจอยู่ ก็ล้มเลิกความคิดบ้าๆ นี่ซะ นี่เป็นคำเตือนสุดท้ายจากฉัน”
พูดจบก็ผละออกจากห้องไป ปล่อยให้ทวิชพนมมือค้างพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาจากดวงตาคู่สวยอีกครั้ง
ถ้าอยากมีลมหายใจอยู่...ก็ล้มเลิกอย่างนั้นหรือ?
แน่ล่ะว่าทวิชอยากทั้งมีลมหายใจ ทั้งอยากได้อิสระ แต่ถ้าเขาจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งล่ะก็...
...เป็นการตัดสินใจที่ยากมากเลยทีเดียว
ผ่านไปร่วมสัปดาห์ เด็กทาสนั่นออกจากโรงพยาบาลมาทำงานตามปกติแล้ว เวหารู้เรื่องนี้จากการรายงานของธามเท่านั้น เพราะหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ไปพบหน้าของทวิชอีกเลย ไม่ใช่ว่าเพราะไม่อยากเจอ แต่เขาต้องการให้ทวิชได้ใช้เวลาคิดทบทวนการกระทำของตัวเองต่างหาก ถ้าเขาไปเจอกับทาสคนนั้นบ่อยๆ เวหาก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจว่าเขาเมตตา แล้วใช้ความเมตตาของเขานี้มาปีนเกลียวขึ้นหน้าขึ้นตาเขาอีก
และดูเหมือนว่าการกระทำของเขาจะได้ผลเสียด้วย เพราะเมื่อให้ธามสอบถามไปยังหัวหน้าทาสว่าทวิชยังคงพูดพร่ำถึงเรื่องปลดแอกอีกหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่า ‘ไม่’ อย่างชัดเจน มิหนำซ้ำยังมีท่าทางเซื่องซึมและสลดอย่างเห็นได้ชัด จากที่เป็นคนร่าเริง พูดเก่ง ก็กลายเป็นคนพูดน้อย สงบปากสงบคำไปฉับพลัน
ค่อยยังชั่ว... ไม่อย่างนั้นคงต้องสั่งสอนกันไม่จบไม่สิ้น
เวหาถอนหายใจออกมาด้วยความผ่อนคลาย คว้าบุหรี่มาจุดสูบ สายตาทอดมองออกไปยังสวนด้านนอก มองหาร่างผ่ายผอมของเด็กหนุ่มคนนั้นที่มักจะมาตัดตกแต่งสวนหน้าคฤหาสน์อาทิตย์จะครั้ง
แต่...วันนี้กลับไม่เห็นหน้า
บุหรี่หมดไปหลายมวนแล้ว ไม่ใช่เพราะสูบ แต่เป็นเพราะจุดทิ้งแล้วปล่อยให้มันเผาไหม้โดยคนจุดเอาแต่มองไปด้านนอกหน้าต่าง กระนั้นก็ยังไม่เห็นทวิชโผล่หน้ามาสักที เห็นแต่คนสวนคนอื่นๆ ทำเอาเวหาชักจะหัวเสีย ผุดลุกจากเก้าอี้โซฟาตัวโปรด เดินออกไปนอกคฤหาสน์ท่ามกลางความสงสัยของธามที่ยืนรอรับใช้อยู่
“คุณเวหาจะออกไปข้างนอกเหรอครับ”
เวหาไม่ตอบ เพียงเหลือบมามองเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวขาต่อ ปล่อยให้ธามต้องรีบไปคว้าเสื้อสูทของเจ้านายตัวเองเดินตามราวกับรู้ว่าคงได้เวลาที่เวหาจะไปนั่งรถเล่นอีกแล้ว
แต่...ทุกอย่างไม่ได้เหมือนกับทุกวัน เพราะทันทีที่เวหาออกมาหน้าคฤหาสน์ เขากลับยืนกวาดตามองไปรอบๆ สวนเพื่อมองหาใครบางคน ตอนนี้เองที่ธามรู้ว่าเจ้านายของตนออกมาด้านนอกเพื่ออะไร
“เด็กนั่นถูกย้ายไปทำงานอื่นครับ”
คนสนิทกระซิบบอกอย่างรู้ใจ แต่ไม่ได้ทำให้เวหายินดี เขาขมวดคิ้ว หันไปมองหน้าคนพูดด้วยความหัวเสีย
“ทำงานอะไร”
“เห็นหัวหน้าทาสบอกว่าถูกย้ายไปช่วยงานที่โรงครัวของทาส”
ยิ่งไม่พอใจเข้าไปอีก...โรงครัวอย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็เป็นคำตอบล่ะสินะว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นหน้าเด็กนั่นมาหลายวันแล้ว
“ไปถามหัวหน้าทาสว่ามีสิทธิ์อะไรโยกย้ายคนตามใจชอบ”
น้ำเสียงถึงกับดุดันเลยทีเดียว และแน่นอนว่าธามไปถามมาก่อนหน้านั้นแล้ว และก็ได้คำตอบว่า...
“หัวหน้าทาสไม่ได้เป็นคนย้ายเองครับ แต่เด็กนั่นเป็นคนไปขอร้อง”
“...”
“อ้างเหตุผลว่าทำให้คุณเวหาขุ่นใจ เลยขอไปทำงานที่พ้นหูพ้นตาคุณเวหา คุณเวหาจะได้ไม่อารมณ์ไม่ดีเวลาเห็นหน้า”
ใครบอกว่าเขาอารมณ์ไม่ดีเวลาเห็นหน้าทวิชกัน!?
อยากจะจับมาตีให้ก้นลายจริงๆ แหละ อุตส่าห์คิดว่าคงจะไม่ดื้อดึงแล้วเชียว สุดท้ายก็ดื้ออีกจนได้
“ไปลากตัวมาให้ฉัน...เดี๋ยวนี้”
เวหาถึงกับโกรธขึ้นมาเลยทีเดียว กล้าดีอย่างไรมาตัดสินใจแทนเขา อะไรไม่ว่า การไปขอร้องหัวหน้าทาสให้โยกย้ายตัวเองอย่างนั้น มันเท่ากับการพยายามหนีหน้าเขาไม่ใช่หรือ?
เจ้านกตัวดื้อ! ถูกหักปีกก็แล้ว ยังจะดื้อรั้นไม่หยุดอีก!
ธามอยากจะพูดปรามเหลือเกินว่าเวหาไม่ควรจะหัวเสียกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ แต่เห็นสีหน้าดุดันของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ออกปากสั่งให้ไทคนหนึ่งไปตามตัวทวิชมาให้อย่างเร่งด่วน
ไม่นานหลังจากนั้น ทวิชก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจนได้ เวหายังคงยืนอยู่หน้าคฤหาสน์เช่นเดิม ไม่เข้าไปนั่งรอข้างในเพราะหงุดหงิดใจเกินกว่าจะทำใจให้เย็นได้ พอคนที่ต้องการพบหน้ามายืนจ๋องในแนวสายตา น้ำเสียงเข้มก็ดังขึ้นถามทันที
“ใครใช้ให้เธอตัดสินใจอะไรเองตามใจชอบ”
ทวิชถึงกับสะดุ้ง เขารู้ว่าความผิดของเขาคือการขอโยกย้ายหน้าที่จากทำสวนไปช่วยงานโรงครัวทุกวัน แต่การไปทำงานโรงครัวมันเป็นงานหนักกว่าทำสวนอีกด้วยซ้ำ เขาเสนอตัวทำงานหนัก ทำไมคุณท่านถึงได้โกรธกันนะ
“ผมขอโทษครับ”
แต่จะอะไรก็ช่าง ในเมื่อเป็นความผิด เขาก็ต้องสำนึกผิดไว้ก่อน แต่คำขอโทษไม่ได้ทำให้เวหาคลายรอยย่นยู่ที่หัวคิ้วได้เลย เขาดึงมือไปไพล่หลัง เชิดหน้าขึ้นอย่างวางอำนาจ
“เธอจงใจหลบหน้าฉัน”
พูดออกมาตามตรงทันใด ทวิชสะดุ้งไปอีกครั้ง คราวนี้ถึงกับหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเม้มแน่นทันที
“หลบทำไม”
เด็กหนุ่มตอบไม่ได้ เขารู้เพียงแต่ว่าเขาละอายกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น เวหาใจดีกับเขาถึงขนาดนี้ แต่เขากลับไม่สามารถตัดใจจากความต้องการอิสระในชีวิตของตนได้เลยแม้แต่น้อย
...ไม่เลย ตัดใจไม่ได้เลย เขายังคงอยากได้อยู่เหมือนเดิมแม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
“ฉันถามก็ตอบมา”
น้ำเสียงดุขึ้นอีกแล้ว ทวิชคิดคำตอบโดยเร็วเมื่อเห็นสายตาคมจับจ้อง ก่อนจะรีบตอบออกไปเมื่อเวหาเริ่มชักสีหน้าดุกว่าเดิม
“ผมแค่อยากเปลี่ยนหน้าที่ครับ ไม่ได้อยากหลบหน้าคุณท่าน”
โกหก...
เจ้านกน้อยตัวนี้โกหก
ระวังเถอะ จะถูกตัดลิ้นให้พูดไม่ได้!
แต่เวหาไม่ทำหรอก รอยฟกช้ำบนใบหน้าของเด็กหนุ่มยังไม่จางหายไปสักเท่าไรเลย ขืนทำ มีหวังเจ้านกตัวนี้ได้บอบช้ำยิ่งกว่าเดิมแน่ จึงได้แต่ขู่ออกไป
“จำเอาไว้ว่าถ้าฉันไม่ได้สั่ง ใครก็ตามในสังกัดนี้ก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้”
ทวิชพยักหน้า ปากพึมพำเสียงเบา “ขอโทษจริงๆ ครับ”
ยิ่งมอง ไหล่ก็ยิ่งห่อลีบน่าสงสาร ดูร่างเล็กๆ ที่สวมผ้ากันเปื้อนมอซอ ศีรษะมีหมวกโพกหัวกันเส้นผมร่วงลงในหม้ออาหารนั่นสิ น่าสงสารชะมัด
เวหากลอกตา ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ในความสลดนี้ จากนั้นก็เอ่ยปากอีกครั้ง
“มองหน้าฉัน”
คำสั่งนี้ทำให้ทวิชรีบทำตามอย่างรวดเร็ว พอสายตาสบกับใบหน้าคร้ามคม ทวิชก็แทบลืมหายใจเมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดุดันเพียงใด
“ฉันเคยบอกว่าถ้าเธออยากจะขอสิทธิ์ในการปลดแอกตัวเองเมื่ออายุถึงเกณฑ์ มันต้องมีเงื่อนไข จำได้ไหม”
ทวิชพยักหน้า พลันเวหาก็เอ่ย
“ฉันจะให้สิทธิ์เธอ และจะให้นักสู้ของฉันฝึกฝนการต่อสู้ของเธอให้ด้วยถ้าเธอทำตามเงื่อนไขที่ฉันวางไว้ได้”
พูดมาแค่นี้ ทวิชก็เบิกตาโตทันใด
“คะ...คุณท่านพูดจริงเหรอครับ”
ไม่มีประโยคไหนที่หลุดออกจากปากของเวหาแล้วเป็นเรื่องล้อเล่น เขาไม่ตอบ ได้แต่พูดต่อ
“เงื่อนไขของฉันก็คือ...”
ทวิชแทบหยุดหายใจ จากนั้นก็ค้นพบว่าตัวเองแทบจะช็อกตายไปแล้วเมื่อเวหาปริปากออกมา
“มาเป็นคนดูแลฉันทุกเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ฉันจะให้เธอมาเป็นทาสส่วนตัว ถ้าทำให้ฉันพอใจได้เมื่อไร ฉันจะมีคำสั่งออกไปว่าให้นักสู้ฝึกการต่อสู้ให้เธอได้”
“!”
“แต่ถ้าทำให้ฉันพอใจไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะได้อะไรแลกเปลี่ยน”
ทวิชพูดไม่ออกแล้ว ไม่ใช่ว่ารู้ว่าสิ่งที่เวหาพูดนั้นเป็นการลงโทษที่เขาบังอาจหลบหน้า แต่เป็นเพราะดีใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรต่างหาก ฉับพลันก็มีรอยยิ้มประดับพรายที่ใบหน้า พอถูกถามว่า...
“หน้าที่ง่ายๆ แค่นี้ ทำได้ใช่ไหม”
ทวิชก็รีบร้องตอบรับอย่างรวดเร็ว
“ทำได้ครับ! ผมทำได้! ขอบคุณคุณท่านมากเลยครับ! ขอบคุณ!”
มือยกขึ้นพนมที่หน้าอก ปากร้องด้วยความดีใจ แววตาประกายเต็มไปด้วยความหวังอีกครั้งตามประสาคนโง่งม
คนโง่...ก็ยังเป็นคนโง่อยู่วันยังค่ำ
แต่ทวิชกลับเป็นคนโง่ที่น่าเอ็นดูที่สุด...
เวหาถอนหายใจออกมา เห็นแล้วก็รู้เลยว่าทวิชไม่เข้าใจอะไรเลย การที่เขาเรียกให้มาเป็นทาสส่วนตัว ดูแลทั้งเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอนทุกวัน มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาหมายถึงจะให้ดูแลอะไร แม้แต่คนอื่นๆ ที่ยืนมองเหตุการณ์นั้นอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดกันอย่างพร้อมเพรียงว่าทวิชช่างซื่อบื้อและโง่งมจนน่ากลัว
ดูแลทุกเวลาอย่างนั้น เป็นทาสส่วนตัว มันหมายถึงเป็นทาสในห้องนอนของนาย!
ไม่เคยมีใครเห็นว่าทาสที่ถูกเลือกไปปรนนิบัติรับใช้นายในห้องนอนจะดีใจสักคน มีแต่หวาดกลัวจนอกสั่นขวัญแขวนเพราะไม่รู้ว่าตัวจะถูกทำอะไรบ้าง แม้ว่าจะรู้ดีว่านี่คือโอกาสได้เป็นคนโปรดของนาย แต่มีทาสที่ไหนบ้างล่ะที่อยากจะใกล้ชิดกับนายจนเกินไป ความแตกต่างระหว่างชนชั้นมันสร้างความหวาดกลัวเสมือนหุบเหวลึกที่ไม่มีทาสคนไหนกล้าข้ามผ่าน จะมีก็แต่เจ้านกน้อยตัวนี้กลับตีปีกพั่บๆ ด้วยความดีใจ อีกทั้งยังกระตือรือร้นถามอีก
“คุณท่านจะให้ผมไปปรนนิบัติตั้งแต่เมื่อไรดีครับ ผมจะได้ไปเตรียมตัว”
เวหามองดวงหน้านวลนิ่งๆ ตอนแรกเขากะว่าจะให้เวลาอีกฝ่ายไปเตรียมใจก่อนสักหนึ่งอาทิตย์ แต่เห็นอย่างนี้แล้วก็...
“ดูแลจัดการให้เรียบร้อย คืนนี้ฉันจะต้องเห็นเด็กนี่อยู่ในห้อง”
...หันไปสั่งกับธามเสียอย่างนั้น สิ้นเสียงก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ ปล่อยให้ธามได้ยืนมองใบหน้าเปื้อนยิ้มระคนงุนงงของเด็กหนุ่มด้วยความระอาใจ ขณะที่ทวิชเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงได้มองเขาอย่างนั้น
“น่ากลัวจริงๆ”
มิหนำซ้ำธามยังพูดกับเขาด้วยประโยคนี้ ตามมาด้วยส่ายหน้าน้อยๆ อีก
“อะไรน่ากลัวเหรอครับ”
ซื่อบื้อจนน่ากลัว...
ไม่พูดแล้ว ไม่สนใจแล้วด้วย เขาทำตามคำสั่งของเจ้านายก็พอ ส่วนเรื่องที่เหลือจะเป็นอย่างไร ปล่อยให้เจ้านายของเขาเป็นคนจัดการก็แล้วกัน
“คืนนี้นายจะย้ายห้องนอน นายมีเวลาแค่หนึ่งชั่วโมง ไปเตรียมตัวซะ เอามาแต่ของที่จำเป็น”
“ครับ!”
ทวิชพยักหน้ารับ กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังเรือนนอนของทาส ธามมองแล้วก็ไม่ไว้ใจแปลกๆ สุดท้ายก็ต้องเดินตามไปกำกับถึงที่ด้วยกลัวว่าเด็กนั่นจะเอาฟูกกับผ้าห่มเน่าๆ เข้าห้องนอนเจ้านายตัวเองด้วย
ซื่อบื้อจนน่ากลัวอย่างนี้ เขาขอกำกับทุกฝีก้าวเลยแล้วกัน...
