Chapter 4: นกน้อยทำรังตามใจตัว [2/1]
เป็นแค่ลูกนกที่เพิ่งฟักจากไข่ ริอ่านจะออกบินยังท้องฟ้ากว้าง เจ้าของกรงทองจึงสั่งสอนให้รู้สึกนึกว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หมัดแรกที่ถูกนักสู้ประเคนเข้าซีกแก้มมาเต็มรักจนล้มฮวบไปกับพื้น ทวิชตระหนักได้ทันทีว่าความฝันของเขาไกลจากความเป็นจริงอยู่มากโข
หยดเลือดที่หลั่งรินออกมาจากปากและจมูก ความเจ็บปวดที่ร้าวรานเสียจนทำให้เขาต้องหลั่งน้ำตา สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นความจริง อิสระที่เขาใฝ่ฝันจะคว้ามันมาอยู่ในมือ...ช่างเป็นเรื่องไกลตัวจนแทบจะกลายเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ
ทาส...ไม่ว่าอย่างไรก็คือทาส ไม่สามารถเป็นไท ไม่สามารถปลดแอกตัวเองได้โดยยังมีลมหายใจ
ทวิชคิดว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว แต่เคราะห์ดีที่เพียงหมัดเดียว นักสู้ก็หยุดมือตามคำสั่งของนายใหญ่ที่กำชับมาว่าถ้าทวิชล้มลงเมื่อไร ก็จบทุกอย่างเมื่อนั้น มิหนำซ้ำธามที่มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยยังพาตัวส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลตามคำสั่งอีก สุดท้ายทวิชจึงตื่นขึ้นมาในห้องสีขาวที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยาเหม็นฉุน
แค่หมัดเดียว เขาถึงกับสลบไปเกือบสองวันเต็ม ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองแต่อย่างใด มีเพียงอาการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น แต่ก็เพราะหมัดเดียวนี่ล่ะที่ทำให้เขาเบลอๆ งงๆ ไปอยู่บ้าง กระนั้นก็ถือว่าดีแล้วที่กลับลงมาจากสังเวียนครบทั้งสามสิบสองประการ ด้วยไม่มีนักโทษคนไหนที่ก้าวเท้าขึ้นสังเวียนแล้วกลับลงมาครบองก์อย่างนี้มาก่อน
สำหรับทวิชไม่ได้เรียกว่าดวงแข็ง... แต่เรียกว่าโชคดีที่คุณท่านมีเมตตา
ทวิชเองก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี นึกขอบคุณเวหาด้วยที่เมตตาเขา ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะเหม่อลอยและปล่อยให้ตัวเองจมจ่อมอยู่กับความผิดหวัง
สู้กับนักสู้สิบยกเพื่อปลดแอกตัวเองเป็นไทอย่างนั้นหรือ?
แค่หมัดเดียว เขาก็หมอบราบคาบแก้วแล้ว ถ้าคุณท่านไม่มีเมตตา ป่านนี้เขาคงได้ไปนอนคุยกับรากต้นไม้ในหลุม...
ทวิชพอจะมองเห็นอนาคตของตัวเองเลยว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไรถ้าต้องขึ้นสังเวียนอีกครั้ง
เขาไม่มีวันที่จะปลดแอกตัวเองเป็นไทได้ถ้ามีลมหายใจ...
เด็กหนุ่มปลงกับความจริงนี้ แต่ก็ไม่สามารถสลัดความตั้งใจออกไปได้ ถึงจะต้องตาย ทว่าเขาก็อยากรู้เหลือเกินว่าความอิสระในการใช้ชีวิตของตัวเองมันเป็นอย่างไร มันจะหอมหวานแค่ไหน จะมีความสุขมากมายเพียงใด เขาอยากรู้จริงๆ
คิดฟุ้งซ่าน เหม่อมองเพดานห้องได้ไม่นาน หูก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ทวิชตะแคงหน้าไปมองก็พบว่าเป็นธามที่เปิดประตูเข้ามา ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ชายหนุ่มจะเข้ามาดูอาการแล้วนำไปรายงานผู้เป็นนายตามคำสั่ง ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ อีกฝ่ายก็ทำอย่างนั้นสม่ำเสมอ แต่วันนี้ดูจะแปลกไปจากทุกวัน เพราะไม่ใช่แค่ธามเท่านั้นที่ก้าวเข้ามาในห้อง ทางเบื้องหลังของเขายังมีชายร่างสูงในชุดสูทอีกคนก้าวตามเข้ามาด้วย
“คุณท่าน...”
พอเห็นชัดเจนว่าเป็นใคร น้ำเสียงแห้งผากหลุดออกจากปากของเด็กหนุ่ม ทวิชดันตัวขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก คิดในใจว่าสายน้ำเกลือพะรุงพะรังนี่น่ารำคาญชะมัด
แต่...เขากลับไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าที่เห็นเขาในสภาพนี้กลับรำคาญใจกว่า
ใบหน้าบวมปูด โหนกคิ้วแตก หัวโน ริมฝีปากมีร่องรอยแตกจนเป็นแผลสีคล้ำ มิหนำซ้ำยังมีร่องรอยช้ำเป็นปื้นใหญ่อยู่บนซีกหน้า
สิ่งเหล่านี้ทำเวหารำคาญใจอย่างถึงที่สุด!
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าทวิชมีสภาพอย่างนี้จากการรายงานของธาม แต่พอมาเห็นกับตาตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะอารมณ์ไม่ดี ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ธามออกไปรอด้านนอก เมื่อเหลือเพียงเขากับทวิชสองคน ทวิชก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายไม่เอ่ยปากอะไรสักที
“คุณท่านมาเยี่ยมผมเหรอครับ”
เวหาไม่ตอบ ได้แต่ทอดสายตามอง ปล่อยให้ทวิชยกมือเกาท้ายทอยตัวเองแกรกๆ
“ดูไม่จืดเลยครับ แหะๆ...”
เด็กหนุ่มหัวเราะเจื่อนๆ ออกมาให้กับความโง่เขลาของตัวเองที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็หาเรื่องเจ็บตัว เวหาเองก็คิดเหมือนกันว่าอีกฝ่ายช่างโง่งม อยู่เป็นนกในกรงทองดีๆ กลับหาเรื่องใส่ตัวจนต้องโดนหักปีก ใจของเวหาเองไม่ได้อยากจะทำหรอก แต่เพื่อให้ตระหนักถึงสถานะของตน เขาจำต้องทำการสั่งสอนเพื่อให้สำนึกว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงทาสตรงหน้า ไม่ใช่เพราะสนใจ หากแต่เป็นเพราะเขาต้องรักษาสมดุลให้กับชนชั้นของตัวเอง ดังนั้นจึงต้องสั่งสอน ไม่อย่างนั้นถ้าเขายอมโอนอ่อนให้กับทาสหนึ่งคน ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรือมองข้ามใครสักคนที่กล้ามาขึ้นหน้าขึ้นตาเขา ทาสทั้งหมดก็จะลุกฮือขึ้นมาเพราะเห็นว่าเขาอ่อนแอก็เป็นได้
ทว่า...ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกขุ่นใจนักที่เห็นทวิชในสภาพนี้ ยิ่งเห็นแววตาเศร้าสลดของอีกฝ่ายที่พยายามฝืนยิ้มให้เขาอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหลุบสายตามองไปทางอื่นเล็กน้อยเพื่อรวบรวมสติ เมื่อกลับคืนสู่ปกติก็เหลือบมาจับจ้องคนที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเตียงอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วหรือยังว่าการปลดแอกไม่ใช่เรื่องง่าย”
ทวิชพยักหน้า ใช่...มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยากกว่าที่เขาจินตนาการไว้อยู่โข นักสู้ของสังกัดจันทรานิรันดร์ไม่ใช่มือสมัครเล่น เรียกว่านักฆ่าแทนนักสู้ได้เลยด้วยซ้ำ
และเพราะพยักหน้าไปอย่างนั้น เวหาก็อดที่จะพูดต่อไม่ได้
“ทุกอย่างไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ เธออยากจะได้อิสระ มันก็ต้องแลกด้วยชีวิต เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นความคิดโง่ๆ ของคนที่อยากฆ่าตัวตายเท่านั้น”
คำพูดตรงๆ ทำให้ทวิชยิ่งสลดลงกว่าเดิม
“การเดิมพันมันมีของที่ต้องแลกเปลี่ยนสูง ในเมื่อเธอต้องการอิสระ เธอก็ต้องพร้อมที่จะแลก”
เรื่องนั้นทวิชรู้ เขาพยักหน้า เม้มริมฝีปากที่มีแผลบวมเจ่อ ปล่อยให้ผู้เป็นนายพูดขึ้นอีกครั้ง
“ในเมื่อเธอพร้อมจะแลกมัน ฉันเลยทำให้เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอคิดมันเป็นแค่เทพนิยาย ตอนนี้เธอคงจะรู้แล้วว่าโลกแห่งความจริงมันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด”
“...”
“แล้วเธอยังคิดที่จะปลดแอกตัวเองอีกไหม”
เด็กหนุ่มไม่ตอบในทันที ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง เวหามองภาพนั้นแล้วก็ได้แต่ภาวนาในใจว่าให้ทวิชล้มเลิกความคิดนั้นเสีย
ไม่ใช่ว่าเป็นห่วง...ย้ำ! ว่าไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นห่วง เขาแค่หงุดหงิดใจที่เห็นทวิชในสภาพนี้ต่างหาก แล้วก็...โมโห ใช่! โมโหด้วยที่นักสู้ของเขาไม่ออมมือเลยทั้งที่เห็นเด็กหนุ่มตัวเล็กขนาดนี้แม้ว่านักสู้จะซัดไปแค่หมัดเดียวก็เถอะ พานจะโกรธธามด้วยที่ไม่รู้จักปรามนักสู้ไว้ตั้งแต่ทีแรก เขาหัวเสียไปหมดแล้วเนี่ย!
และดูท่าทางจะต้องหัวเสียยิ่งกว่าเดิมด้วยเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาเล็กน้อย พูดงึมงำพอจับใจความได้ว่า...
“แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังอยากได้อิสระครับ ผมอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง”
ยังไม่เข็ดสินะ!
เวหาขมวดคิ้วมุ่นทีเดียว ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงจะส่งทาสคนนี้ไปขึ้นสังเวียนอีกครั้งแล้ว แต่เพราะเป็นทวิช เขาเลยได้แต่กำมือเพื่อระบายโทสะกับหายใจเข้าออกเพื่อระงับอารมณ์ในคราวเดียวกัน ก่อนจะก้าวมาหยุดตรงหน้า
ทวิชเหลือบมองร่างสูงที่มายืนจังก้าอยู่หน้าเตียงด้วยสายตาพรั่นพรึง เมื่อเห็นสีหน้าของคุณท่านที่ดูดุดันเป็นพิเศษแล้ว เขาก็เลิ่กลั่กขึ้นมาเสียจนใบหน้าซีดขาวก็ซีดมากกว่าเดิมอีก
“ไม่เข็ดหลาบ”
เวหาว่าเสียงเรียบ พลันยื่นมือไปเชยคางของเด็กหนุ่มให้สบตาตรงๆ
“ไม่รู้จักเจ็บจักจำ”
คำพูดนั้น...ดุ
เขากำลังดุคนตรงหน้าจริงๆ ทวิชหนีไม่ได้ จึงได้แต่หลุบสายตาหนี มือทั้งสองข้างกำผ้าห่มแน่น ปากพึมพำแผ่วเบา
“ผม...ขอโทษครับ”
เวหาพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ขัดใจกับความดื้อรั้นของเด็กคนนี้เป็นที่สุด จนหลุดปากพูดออกมา
“ไม่กลัวตายหรือไง”
เขาหวังว่าจะได้ยินคำตอบว่า ‘กลัว’ จากทวิช ซึ่งทวิชก็พยักหน้ารับอย่างที่เขาต้องการ แต่ทว่า...
“แต่...ผมอยากมีอิสระ”
“...”
“ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้วครับ ถึงรู้ดีว่าสุดท้ายต้องตาย ผมก็คงจะอยากปลดแอกอยู่ดี”
ทั้งดื้อ ทั้งรั้น ทั้งโง่เขลา มิหนำซ้ำยังความตั้งใจแน่วแน่จนเวหาอยากเป็นคนจับมาฟาดก้นด้วยไม้เรียวด้วยตัวเอง แต่ที่ทำได้คือการละมือออกจากใบหน้านั้น เชิดหน้าขึ้นแล้วว่าเสียงเข้ม
“โง่”
ปากดุออกมาอีกครั้ง ทวิชห่อไหล่เสียจนตัวลีบเชียว จากนั้นก็ถูกถามอีก
“ที่โดนมามันไม่เจ็บหรือไง”
ทวิชพยักหน้ารับเร็วๆ ก่อนที่ขอบตาซึ่งร้อนผะผ่าวจากการถูกดุเมื่อครู่จะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสาย พร้อมกับปากที่ละล่ำละลักบอก
“จะ...เจ็บครับ... เจ็บมากเลย...ฮึก...”
แล้วพอเห็นภาพนั้น ความดุดันของเวหาก็มลายหายไปสิ้นจนแทบไม่เหลือหลอ
เขา...ไม่ได้สงสาร ไม่ได้เห็นใจ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนอกจากความรู้สึกเดียว
ไม่อยากให้เด็กคนนี้ร้องไห้...
แต่จะให้ไปปลอบใจว่าอย่าร้องหรืออะไร มันก็ไม่ใช่เรื่อง เขาเป็นนายใหญ่แห่งสังกัดจันทรานิรันดร์ มีลูกน้องและทาสใต้อาณัติมากมาย ทำไมเขาจะต้องมาโอ๋ทาสเด็กโง่งมคนเดียวที่พูดไม่เชื่อฟังด้วย
ดังนั้นเวหาจึงได้แต่ยืนมองด้วยสายตานิ่งเรียบ ปล่อยให้ทวิชพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา
“เจ็บมากเลยครับคุณท่าน...ฮือ...ผมเจ็บ...”
หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยวไปหมด ร้องไห้ได้ไม่น่าดูเลยแม้แต่น้อย ทว่า...เวหากลับละสายตาจากคนตรงหน้าไม่ได้
ใจเขาอยากจะเอื้อมมือไปหยิบทิชชูส่งให้ อยากจะเช็ดน้ำตา หรือบอกออกมาสักประโยคว่า ‘ไม่ต้องร้อง’ หากแต่ริมฝีปากกลับหนักอึ้งจนพูดอะไรออกมาไม่ได้สักคำ ได้แต่ยืนมองจ้องด้วยแววตาวูบไหวไปชั่วครู่ กระทั่งถึงจุดที่ทนไม่ไหว เขาจึงเผลอตัวยื่นมือไปวางไว้บนเรือนผมนุ่มของเด็กหนุ่ม ทวิชเหลือบมองหน้าก็เห็นอีกฝ่ายจ้องมองนิ่งๆ อยู่
ไร้ซึ่งคำพูด ไร้ซึ่งคำปลอบโยน มีเพียงฝ่ามืออบอุ่นเท่านั้นที่ปลอบเขา ทวิชยกมือขึ้นพนมที่หน้าอก ร้องไห้ออกมาไม่ขาดสาย
“คะ...คุณท่าน...”
อบอุ่น...
ฝ่ามือนี้อบอุ่นที่สุด...
คุณท่านของเขาใจดีที่สุดเลย
ทวิชมองหน้าผู้เป็นนายด้วยความซาบซึ้ง ขณะที่เวหาทนมองสายตาที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มใจและมีน้ำตาคลอหน่วยของทวิชได้ไม่นานนัก ใจเขาสั่นมากเกินไปที่จะสบดวงตาคู่นี้ พลันก็ดึงมือออก ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้เช็ดน้ำหูน้ำตาตัวเอง
“ล้มเลิกความคิดนี้ซะ แล้วกลับไปใช้ชีวิตตามปกติถ้าเธอยังอยากมีลมหายใจต่อ”
“...”
“เป็นนกก็ควรทำรังแต่พอตัว ไม่ใช่ทำรังตามใจตัว จันทรานิรันดร์เป็นท้องฟ้าของฉัน ไม่ใช่ท้องฟ้าของเธอ”
หวังอีกครั้งว่าจะเห็นเด็กหนุ่มตอบรับ ทว่าทวิชกลับเอาแต่เช็ดน้ำตานิ่งๆ ทำให้เวหาต้องย้ำอีกถามอีกครั้ง
“ที่ฉันพูด เธอเข้าใจไหม”
น้ำเสียงดุมากเลย ทวิชสะดุ้งน้อยๆ พลันพยักหน้ารับ
“เข้า...ฮึก...เข้าใจครับ”
เข้าใจก็ดี เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง...
เป็นห่วง...
เวหาส่งพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงทันทีเมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกอย่างนั้น เขาอยากจะตีเด็กคนนี้ให้ก้นลายนัก กล้าดีอย่างไรมาทำให้นายอย่างเขาต้องมาเสียเวลาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้!
ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยืนมองจนทวิชเป็นฝ่ายพูดออกมา
