บท
ตั้งค่า

Chapter 3: เด็กซื่อบื้อ

นายแห่งสังกัดจันทรานิรันดร์เป็นนายที่ใจดีที่สุด ไม่ว่านายของสังกัดอื่นจะมีระบบการปกครองพวกทาสด้วยความโหดร้ายทารุณอย่างไร แต่สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นที่จันทรานิรันดร์ และแน่นอนว่าไม่มีทางเกิดขึ้นด้วยคำสั่งของเวหาซึ่งเป็นนายใหญ่ในตอนนี้ด้วย

ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนแอหรือไม่สนใจไยดี แต่เป็นเพราะเวหาเชื่อว่าทุกระบบย่อมมีชนชั้น เขาเป็นนายใหญ่ มีพวกไทเป็นแขนขา ต่อจากพวกไทก็ยังมีพวกทาสด้วยกันเองที่คอยรับคำสั่งไปดูแลกันและกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่เขาจะต้องออกคำสั่งเพื่อลงโทษทาสคนไหนสักคน  เพราะสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นตามกระบวนการและวิถีของมันด้วยกฎระเบียบที่บรรพบุรุษเขาวางไว้อยู่แล้ว เขามีหน้าที่เป็นแค่นายใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือเท่านั้น

แต่สำหรับเจ้าทาสเด็กที่อาจหาญบุกเข้ามาขอของขวัญวันเกิดถึงงานเลี้ยงของเขาอย่างนั้น เวหาไม่สามารถสลัดความสนใจออกจากหัวตัวเองได้เลย ทั้งที่คิดว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นทวิชโผล่หน้ามาทำสวนที่หน้าคฤหาสน์ ก็กลายเป็นว่าเขาต้องหาเรื่องออกไปข้างนอกเพื่อให้ได้พบหน้าเด็กคนนั้นอยู่เสมอ บางครั้งถึงกับลงทุนออกไปข้างนอกเสียหลายชั่วโมงเพียงเพื่อจะได้เห็นหน้าและรอยยิ้มของทวิชแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น

น่าหงุดหงิด!

น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าเมื่อยานวดหลอดนั้นที่เขาแกล้งทำหล่นเพื่อให้ทวิชเก็บไปใช้ถูกส่งกลับมาในสภาพเหมือนเดิมทุกประการ

เด็กนั่นมันซื่อบื้อจนน่ากลัว!

แต่ที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าก็คือวันนี้ดันเป็นอีกวันที่เวหาต้องออกไปนั่งรถเล่นรอบอาณาเขตตัวเองอย่างไร้จุดหมายสายตาคมทอดมองออกไปด้านนอกหน้าต่างรถ เขาให้คำตอบตัวเองไม่ได้ว่าเขาออกมานอกคฤหาสน์ทั้งที่ไม่มีธุระทำไม แต่เมื่อนึกถึงรอยยิ้มของทวิชขณะที่ยกมือไหว้เขาตอนเจอหน้าแล้ว เขาก็ค้นพบคำตอบทันที

น่าหงุดหงิดจริงๆ นั่นล่ะ

หงุดหงิดเสียจนหัวคิ้วย่นยู่ไปหมด ทำเอาธามที่นั่งอยู่ข้างคนขับถึงกับอดพูดขึ้นมาไม่ได้

“ครั้งหน้าให้ผมเรียกตัวเด็กนั่นมาหาดีไหมครับ คุณเวหาจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”

...ออกมานั่งรถเล่นทั้งที่ไม่อยากอย่างที่ทำอยู่แบบนี้

แต่ประโยคหลังไม่กล้าพูดหรอก ได้แต่คิดในใจเท่านั้น และคำพูดนั้นก็ทำเอาเวหาขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม

“นายคิดว่าฉันสนใจเด็กนั่นมากขนาดนั้นเลยหรือไง”

ธามไม่กล้าตอบโต้หรอก แต่ถ้าหากเขากล้าพูด เขาจะบอกว่า ‘ใช่’ ทว่าสิ่งที่ทำได้คือการนิ่งเงียบให้ผู้เป็นนายได้บ่นต่อไป

“ฉันอยากออกมาของฉันเอง ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้น”

ธามยอมแล้ว ในเมื่อเวหาไม่พูด เขาก็จะไม่ไปกวนใจให้เสียอารมณ์มากกว่าเดิม ทว่านั่งเงียบไปได้สักพัก เสียงของผู้เป็นนายก็ดังขึ้นมา

“เด็กนั่นมีแฟ้มระเบียนทาสใช่ไหม”

แฟ้มระเบียนทาสเป็นแฟ้มประวัติและข้อมูลต่างๆ ของทาสที่ทางรัฐมอบให้กับผู้เป็นนายหลังจากการมอบสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของทาสแต่ละคน ธามชะงักไปเล็กน้อยเมื่อถูกถาม

“มีครับ”

จากนั้นก็ต้องพยักหน้ารับเมื่อถูกสั่งงานมา

“เอามาให้ฉันด้วย”

เป็นอันเข้าใจกันโดยถ้วนหน้าว่าเป็นสิ่งที่เขาจะต้องรีบจัดการให้กับเวหาทันทีที่กลับถึงคฤหาสน์ และชัดเจนอย่างแจ่มแจ้งทีเดียวว่าเจ้านายของเขา...สนใจเด็กทาสนั่นจริงๆ ด้วย

 

แฟ้มระเบียนทาสของทวิชถูกส่งมาถึงมือทันทีที่กลับถึงคฤหาสน์ เวหาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงาน ทอดสายตามองแฟ้มที่ตนเพิ่งจะเปิดอ่านและปิดมันลงไปเมื่อครู่นี้ ข้อมูลในนั้นเป็นสิ่งที่ธามเล่าให้เขาฟังทั้งหมดแล้ว ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีอะไรผิดแปลก หรือไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่ได้รู้นอกเหนือจากการเล่าของธาม

ประวัติของเด็กนี่ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจสักนิด แต่...เขาก็ไม่สามารถละความสนใจจากเด็กคนนั้นได้

อาจเป็นเพราะทวิขเป็นทาสคนแรกที่ใจกล้าถึงขนาดมาร้องขอการปลดแอกจากเขา ความสนใจในตัวคนที่ไม่น่าสนใจถึงได้ผุดพรายขึ้นในอกเขามากถึงขนาดนี้…

สนใจจนทนไม่ไหว ยิ่งกว่าความสนใจคือความอยากเห็นหน้า พลันก็ออกคำสั่งให้ธามเรียกตัวทวิชมาด้วยข้ออ้างว่า…

“ฉันมีเรื่องจะถามเด็กนั่นมากกว่าข้อมูลในแฟ้มประวัตินี้”

ดังนั้นทวิชจึงมาปรากฏตัวให้เห็นในอีกไม่กี่นาทีให้หลัง

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทวิชได้เข้ามาในคฤหาสน์ของผู้เป็นนาย เขามักเข้ามาช่วยทาสคนอื่นๆ ทำความสะอาดหรือจัดตกแต่งสถานที่เวลามีงานสำคัญๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในห้องทำงานของเวหา แน่นอนว่าบรรยากาศในห้องทำงานหรูหรานี่ทำให้เขาหายใจไม่คล่อง ยิ่งต้องมายืนสำรวมต่อหน้าชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์แล้ว ทวิชก็แทบจะหยุดหายใจเลยทีเดียว

“คะ...คือผม...ทำอะไรผิดเหรอครับ”

พูดไปก็บิดมือตัวเองไปด้วยความวิตก เขายังไม่รู้ถึงเหตุผลที่ถูกเรียกตัวมา รู้แต่ว่าถูกเรียกตัวด่วน ทำเอาเขาเลิ่กลั่ก คิดวุ่นวายไปหมดว่าตนไปทำอะไรให้เวหาไม่พอใจ ขณะที่เวหาไม่พูด ได้แต่อัดบุหรี่เข้าปอด ปล่อยให้เด็กหนุ่มรอด้วยความกระสับกระส่ายกระทั่งเขาสูบหมดมวนถึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา

“ฉันมีอะไรจะถาม”

“ครับ…”

“เกี่ยวกับเรื่องของนาย”

ยิ่งได้ยิน ทวิชก็ยิ่งออกอาการหลุกหลิกอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็โล่งใจอยู่ไม่น้อยที่ถูกเรียกมาเพราะเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไปเหยียบตาปลาของเวหาเข้า

“อยากถามอะไรผมเหรอครับ”

“เล่าให้ฉันฟังซิว่าเธอมาเป็นทาสในสังกัดฉันได้ยังไง”

เวหาพูดด้วยท่าทางสบายๆ มือทั้งสองข้างกระสานกันที่หน้าท้องแกร่ง ขณะที่แผ่นหลังเอนพิงพนักเก้าอี้ เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลิ่กลั่กไปเล็กน้อย ก่อนว่าเสียงอุบอิบ

“คือ...”

เวหาเลิกคิ้วสูง รอฟังอย่างตั้งใจ แต่อีกฝ่ายก็ไม่เปิดปากออกมาสักที เอาแต่ตะกุกตะกักจนเขาต้องถามซ้ำ

“ตกลงจะเล่าหรือไม่เล่า”

ทวิชเม้มริมฝีปาก สบตากับคนตรงหน้า ยอมว่าออกมาจนได้

“ไม่ใช่ว่าคุณท่านรู้อยู่แล้วเหรอครับ”

คำพูดนั้นทำให้เวหาหน้าตึงไปชั่วครู่ แต่ก็แสร้งทำเป็นนิ่ง

“ถ้าฉันรู้ ฉันจะเรียกเธอมาถามทำไม”

“ผมก็คิดว่าคุณธามจะเล่าให้คุณท่านฟังแล้วซะอีก”

เด็กหนุ่มว่าอีกครั้ง ทำเอาคนที่ยืนรอรับใช้อยู่ในห้องนี้ด้วยต้องส่งสายตาดุๆ ไปให้เป็นสัญญาณว่าควรหยุดพูด แต่ทวิชซื่อบื้อเกินกว่าจะเข้าใจ มิหนำซ้ำยังพยักพเยิดไปยังแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ

“แถมมีแฟ้มระเบียนประวัติของผมด้วย ผมก็นึกว่าคุณท่านรู้แล้ว”

ตอนนี้เองที่เวหาตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองเผลอปล่อยไก่ ทว่าก็ยังแสร้งทำเป็นนิ่งเพราะรู้ว่าพวกทาสนั้น น้อยคนนักที่ได้รับการศึกษา อย่างเด็กตรงหน้าที่ถูกจำหน่ายตั้งแต่เล็กๆ คงจะไม่ได้รับการศึกษาอะไรมา แน่นอนว่าอ่านหนังสือไม่ออก

“เธอมั่นใจได้ยังไงว่าแฟ้มนี้เป็นประวัติของเธอ”

“ก็...”

“อ่านหนังสือออก?”

ทวิชส่ายหน้า ก่อนจะชี้นิ้วไปยังแฟ้มบนโต๊ะตรงหน้า

“พอดีผมเห็นว่าที่ปกแฟ้มมันมีรูปผมแปะอยู่น่ะครับ”

ตอนนี้ล่ะที่เวหาปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ เขาเหลือบมองไปทางอื่นเล็กน้อยด้วยรำคาญใจเพราะเสียหน้า

ไหนใครบอกว่าเด็กนี่ซื่อบื้อกัน!

แต่ลืมฉุกคิดไปว่าคนซื่อบื้อไม่ได้แปลว่าเป็นคนโง่ เวหาหน้าม้านเลยทีเดียว ขณะที่ธามต้องออกปากเอ็ดไม่ให้ทวิชยอกย้อนถามไปมา

“คุณเวหาถามอะไรก็ตอบไป นายไม่มีสิทธิ์ยอกย้อน”

ทวิชพึมพำว่า ‘ขอโทษครับ’ พลางยกมือไหว้ ก่อนจะออกปากเล่า

“ผมเป็นเด็กที่เกิดจากทาส แรกเริ่มเป็นทาสของนายเหมืองทางภาคเหนือ พอสักสิบขวบก็ถูกจำหน่ายไปอยู่กับนายคนก่อน จนถูกเขาเอามาเป็นตั๋วเบี้ยเดิมพันในคาสิโน แล้วก็ได้มาอยู่กับคุณท่านตอบอายุสิบห้าครับ”

เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เวหารู้อยู่แล้ว สิ่งที่เด็กหนุ่มเล่ามาก็ไม่มีส่วนไหนผิดเพี้ยนไปจากที่ธามเล่าหรืออ่านมาเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไร ทวิชถึงได้อยากจะปลดแอกตัวเองถึงขนาดมาร้องขอกับเขาทั้งที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์อย่างนั้น

“นายคนเก่าของเธอทำอะไรกับเธอไว้หรือไง เธอถึงอยากได้อิสระขนาดนี้”

ดูเหมือนจะถามจี้ใจดำเข้าอย่างจัง ทวิชเม้มริมฝีปากไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับ

“ก็...มีบ้างครับ”

“ยังไง”

“...”

“นายคนเก่าทำอะไรเธอ เล่ามา”

รู้ว่าทวิชไม่อยากเล่า แต่เวหาอยากรู้จึงจำต้องออกคำสั่ง เด็กหนุ่มทำใจยากมากทีเดียวกว่าจะเปิดปากเล่าได้ แต่ในเมื่อถูกบีบบังคับมาอย่างนี้ อย่างไรเขาก็ต้องพูด

“ตอนอยู่กับนายเหมืองยังไม่มีอะไรหนักหนาเท่าไรครับ ถึงนายเหมืองจะเป็นคนดุ แต่เพราะผมยังเด็กมาก เขาเลยไม่ได้สนใจเพราะทำงานไม่ได้ ได้แต่รอให้ผมโตกว่านี้อีกสักนิดแล้วก็ขายต่อไปให้นายคนใหม่”

เวหาเหลือบตามอง ฟังอย่างตั้งใจ ขณะเดียวกันก็สังเกตสีหน้าของเด็กหนุ่มไปด้วย

“แต่พอถูกจำหน่ายต่อมาที่นายอีกคน ช่วงนั้นค่อนข้างลำบากครับเพราะผมมักถูกใช้ทำงานหนักเกินกำลัง ถูกดุด่าบ้าง ทุบตีบ้าง บางครั้งก็โดนหนักจนทนไม่ไหว ป่วยจนทำงานไม่ได้ แต่ก็ต้องทำเพราะไม่อย่างนั้นจะถูกปล่อยให้อดจนตายไปเอง ผมอยากมีชีวิตอยู่ก็เลยต้องฝืน แต่นั่นมันก็...เป็นเรื่องปกติของทาสใช่ไหมล่ะครับ”

พูดไป สีหน้าก็เริ่มแย่ลง ทว่าใบหน้าก็ยังฝืนยิ้ม เวหามองจ้องก็พอจะเข้าใจได้ว่าเพราะอะไร คนตรงหน้าถึงได้อยากปลดแอกนัก ที่แท้ก็เป็นเพราะไม่ได้รับการดูแลที่ดีจากนายคนเก่านี่เอง

“เธอก็เลยอยากจะมีอิสระ”

พอพูดออกมา ทวิชก็พยักหน้ารับรัว การตอบรับนั้นค่อนข้างขัดใจเวหามากทีเดียว

“ฉันเป็นนายที่ไม่ใจดีกับเธอพอหรือยังไง เธอถึงได้อยากมีอิสระขนาดนั้น”

คราวนี้ทวิชส่ายหน้าพรืด “ไม่ครับ คุณท่านใจดีมาก”

“แล้วทำไมถึงอยากไปจากฉัน”

น้ำเสียงไม่ได้บ่งบอกว่าไม่พอใจหรือไม่ ราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้คนฟังเสียวต้นคอวาบเหลือเกิน

“ว่ายังไง ทำไมถึงอยากไปจากฉัน”

เน้นย้ำว่า ‘อยากไปจากฉัน’ เป็นการแสดงอำนาจในความเป็นเจ้าของโดยนัย เรื่องนี้ธามรู้ แต่ดูเหมือนเจ้าเด็กซื่อบื้อนี่จะดูไม่ออกเพราะยังคงตอบกลับมา

“ก็ผม...อยากมีอิสระ”

อิสระ...เอะอะก็อิสระ คำสองคำก็อิสระ มันหอมหวนจนอยากไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาขนาดนั้นเลยหรือไง

“แต่เธอก็รู้ใช่ไหมว่าต้องเจอกับอะไรบ้างถึงจะปลดแอกได้”

ทวิชรู้ เขาพยักหน้า กระนั้นเวหาก็ยังพูด

“เธอจะต้องสู้กับนักสู้ของฉันและต้องชนะให้ได้ทั้งหมดสิบยก ถ้าแพ้แม้แต่ครั้งเดียว ถือว่าทุกอย่างเป็นโมฆะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีทาสคนไหนในสังกัดจันทรานิรันดร์ปลดแอกตัวเองออกไปได้ ไม่พิการ...ก็ตาย มีคนบอกเธอเรื่องนี้หรือยัง”

ทวิชพยักหน้ารับไปอีก เรื่องนี้เขารู้แล้ว ทั้งหัวหน้าทาส ทั้งทาสด้วยกัน หรือแม้แต่พวกไทก็กรอกหูเขาอยู่ทุกวัน เขาเห็นกับตาตัวเองด้วย ทำไมเขาจะไม่รู้

“แต่เธอก็ยังจะอยากปลดแอก?”

“ครับ”

ทวิชตอบรับเสียงแผ่ว ท่าทางเซื่องๆ ใต้ความตั้งใจแน่วแน่ทำให้เวหารำคาญใจอย่างถึงที่สุด

“แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าจะเอาชนะนักสู้ของฉันได้ยังไง”

“...”

“นักสู้ของฉันเป็นนักสู้เดิมพันในสังเวียน ฝีมือไม่เป็นรองใคร ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ชนะแล้วได้เธอมาเป็นตั๋วเบี้ย พอจะประมาณได้แล้วใช่ไหมว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย”

“ผมรู้ครับ”

“ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอยากจะสู้?”

ทวิชไม่ตอบ เม้มปาก พยักหน้า ความตั้งใจของเขามีมากเกินไปจนไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ เวหาเห็นความแน่วแน่แล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นเหตุให้เด็กหนุ่มมีความกล้า แต่ความกล้าของคนตรงหน้า มองในมุมของเขาหรือใครๆ ก็เห็นว่ามันเป็นความกล้าที่โง่งมทั้งนั้น เขาอุตส่าห์ไม่ทำโทษหนักหนาที่บังอาจไปบุกรุกงานเลี้ยงของเขา มิหนำซ้ำยังสั่งให้ธามไปเตือนให้หัวหน้าทาสอย่าทำอะไรเกินกว่าคำสั่งเขาก็เพราะไม่อยากเห็นร่องรอยฟกช้ำบนหน้าของเด็กหนุ่มอย่างเคย แต่ดูเหมือนทวิชจะไม่สนเลย

ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้ เดินตรงมาหยุดตรงหน้า ความสูงใหญ่ของชายหนุ่มทำให้ทวิชต้องห่อไหล่ลีบลงไปกว่าเดิม ขณะที่อีกฝ่ายทอดสายตามองแล้วว่าออกมาช้าๆ

“ถ้าเธออยากจะปลดแอกขนาดนั้น อยากจะลองดูไหมล่ะว่าจะรับมือกับนักสู้ของฉันได้ไหวไหม”

คำพูดที่ไม่คาดคิดหลุดออกจากปาก ทวิชถึงกับเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูดทันที

“ฉันจะให้เธอได้ไปลองสู้กับนักสู้ของฉันดูสักครั้ง ถ้าเธอสู้ไหว ฉันจะให้เธอสู้เลย ไม่ต้องรอให้อายุถึงเกณฑ์ ชนะตามกติกา เธอจะได้ปลดแอกทันที”

“พะ...พูดจริงเหรอครับ”

ทวิชถามย้อนอย่างไม่เชื่อหู ไม่ใช่แค่ทวิชเท่านั้นที่ไม่เชื่อ แม้แต่ธามเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่เขาไม่ได้คิดว่าเจ้านายของตนจะยอมให้ทาสคนนี้ได้สิทธิพิเศษ แต่ไม่เชื่อว่าเขาจะหักปีกปักษาด้วยการใช้วิธีนี้ต่างหาก

ใช้วิธีให้สำนึกในสถานะของตัวเองด้วยการสร้างบทเรียนให้ จะได้ล้มเลิกความคิดที่จะเป็นกบฏ…

ความคิดของเจ้านายเขาล้ำลึกเกินกว่าที่จะเข้าถึงเสียแล้ว

“หรือเธอคิดว่าคำพูดของฉันไม่ศักดิ์สิทธิ์?”

แน่นอนละว่าคำพูดของนายใหญ่ต้องศักดิ์สิทธิ์แน่ เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเวหาพูดประโยคนี้มากกว่า

“สู้...แลกกับอิสระ ฉันรู้ว่าเธออยากจะถอดปลอกคอนี่ออกใจจะขาด”

พูดไปก็ยื่นมือไปจับจี้รูปพระจันทร์เสี้ยวบนปลอกคอของทวิช ทวิชพยักหน้า เขาอยากได้อิสระใจจะขาดจริงๆ แต่ก็ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“คุณท่านจะอนุญาตผมจริงๆ เหรอครับ”

“ถ้าเธอต้องการ คำสั่งของฉันจะออกไปทันที”

เท่านั้นทวิชก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับน้ำเสียงเริงรื่น

“อยากครับ ผมอยากลอง”

ลองเพื่อให้ได้รู้ว่าตัวเองไหวหรือไม่ ดีไม่ดีถ้าเขาไหวก็จะได้ปลดแอกเป็นอิสระก่อนถึงเกณฑ์ด้วย โดยหารู้ไม่ว่าเขากำลังทำเวหาหงุดหงิด

แล้วจะได้รู้ว่าทาสที่ตั้งตัวเป็นกบฏ จุดจบจะเป็นอย่างไร

เวหาไม่พูดอะไรต่อจากนั้น ได้แต่เดินกลับไปนั่งที่เดิม จากนั้นก็บอกกับธามที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่

“ไปจัดการให้พร้อม แล้วเรียกทวิชไปได้เลย ส่วนเธอ...ไปเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอแล้ว”

“ขอบคุณครับ”

ทวิชยังคงยิ้มเริงรื่น ยกมือไหว้และออกจากห้องไปเมื่อหมดธุระ ได้แต่ปล่อยให้เวหามองตามพลางอดคิดในใจไม่ได้ว่าบางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นรอยยิ้มนั่น

อยากไปจากเขาอย่างนั้นหรือ? เขาก็บอกอยู่ว่าเป็นคนของเขา อะไรที่เป็นของเขา ถ้าเขาไม่ยินดีให้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเอาไปได้ แม้แต่อิสระก็ตาม

คล้อยหลังของเด็กหนุ่มไป ธามที่ยืนฟังอยู่นานก็อดไม่ได้ที่จะแทรกขึ้นมา

“คุณเวหาตัดสินใจดีแล้วเหรอครับ”

แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เขาออกคำสั่งไปเมื่อครู่ เวหาเหลือบมองพร้อมกับจุดบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาสูบ

“ถ้าไม่ ฉันจะไม่พูด”

ก็รู้อยู่ว่าเวหาเป็นคนอย่างนี้ แต่ว่า…

“มันทำให้เด็กนั่นพิการหรือตายได้เลยนะครับ”

เรื่องนี้ล่ะที่เป็นห่วง ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงทวิชด้วย แต่เป็นห่วงคนตรงหน้าต่างหาก ก็เห็นอยู่ว่าเวหาสนใจทวิชมากแค่ไหน การที่เขาตัดสินใจอย่างนี้ ถ้าเด็กหนุ่มเป็นอะไรขึ้นมา จะมีก็แต่เวหานี่ล่ะที่จะกินไม่ได้นอนไม่หลับเอา

แต่เวหาคงไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนั้น เด็กนั่นก็แค่ทาส นายใหญ่แห่งสังกัดที่มีอาณาเจตกว้างใหญ่ มีคนใต้อำนาจมากมาย ทำไมเขาจะต้องไปสนใจเพียงทาสคนเดียวกัน ที่สนใจมันก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นล่ะ อีกเดี๋ยวก็เลิกให้ความสนใจแล้ว

ชายหนุ่มอัดบุหรี่เข้าปอด ทำท่าเมินเฉยจนธามยอมแพ้ที่จะพูดอะไรแล้ว ได้แต่ออกปาก

“ถ้าอย่างนั้นผมดำเนินการเลยนะครับ”

พูดจบก็ค้อมตัวทำท่าจะออกไปจากห้อง ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ เวหาก็โพล่งออกมา

“ก็อย่าเอาให้ถึงตาย แค่สั่งสอนให้รู้สำนึกก็พอว่าอะไรเป็นอะไร”

สุดท้ายก็อดคิดถึงเรื่องของเด็กนั่นไม่ได้อยู่ดี

ธามรับคำ ผละออกจากห้องไป ทิ้งให้ผู้เป็นนายจมกับความคิดของตัวเองตามลำพัง

อิสระอย่างนั้นเหรอ…

ถ้าเขาไม่มอบให้ ไม่ว่าใครก็เอาไปไม่ได้ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม

หักปีกปักษาครั้งนี้หวังว่าจะทำให้พวกทาสทั้งหลายเลิกคิดเรื่องปลดแอกเสียที โดยเฉพาะเด็กซื่อบื้อคนนั้น

ยิ่งคิดจะไปจากเขา เขาก็จะยิ่งล้อมรั้วให้หนา

ท้องฟ้าที่นกตัวนั้นจะโบยบินได้มีเพียงท้องฟ้าของเวหา จันทรานิรันดร์คนนี้คนเดียวเท่านั้น!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel