3 Boy Friends
วันรุ่งขึ้นฉันมาโรงเรียนแต่เช้าอีกครั้ง แต่วันนี้ฉันเพิ่งสังเกตว่าที่ข้างประตูทางเข้าอาคารมีกระดาษสี่ห้าแผ่นแปะติดผนังเอาไว้ และบนกระดาษระบุรายชื่อของนักศึกษาทั้งวิทยาลัยที่เข้าเรียนในเทอมนี้
ฉันนึกสนุกก็เลยไล่ดูชื่อและนามสกุลของนักศึกษาในชั้นปี แล้วก็เห็นว่ามีแต่นามสกุลต่างประเทศทั้งนั้น จริงอยู่พวกเขาเกือบทั้งหมดเป็นชาวคาเนเดียน แต่เพราะแคนาดามีคนจากทั่วทุกมุมโลกอพยพเข้ามาตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ทำให้ที่เป็นเหมือนเบ้าหลอมทางวัฒธรรมขนาดใหญ่ หลายครั้งเราก็เลยจะพบเห็นนามสกุลที่บอกได้ยากว่าพื้นเพเดิมมาจากที่ไหน แต่ไม่ว่าจะมาจากส่วนใดในโลกชาวคาเนเดียนก็มักจะต้อนรับคนต่างชาติอย่างตื่นเต้น พวกเราไม่กีดกันเรื่องสีผิวเลย
แล้วปลายนิ้วของฉันก็ลากไปสะดุดกับชื่อของเพื่อนคนแรก
“เซธ รัช”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้นามสกุลของเซธ นามสกุลสั้นๆ ของเขาให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยวดี มันเข้ากันอย่างลงตัวกับบุคลิกที่เข้มและนิ่งของเขา และที่จริงเขามีนามสกุลเดียวกับอัยการของเมืองนี้ที่ฉันเพิ่งอ่านเจอในข่าว เคนเน็ธ รัชเป็นชายผู้ร่ำรวย มีชื่อเสียง และเป็นที่เคารพของคนทั้งเมือง
สายตาของฉันลากวนไปถึงชื่อของเพื่อนคนอื่นในแก๊ง
“เคนตัน ฮิววิทท์
แซค แบรนดอน
นิกิต้า อิวานอฟ”
แล้วสายตาของฉันก็ลากต่อไปที่ชื่อของเพื่อนคนสุดท้าย
“แคเมรอน ลีเวนท์”
ฉันรู้สึกแปลกเมื่อได้รู้นามสกุลของแคเมรอน
“ลีเวนท์? “ นามสกุลนี้ไม่ใช่นามสกุลของซีกโลกตะวันตกเลย ทำให้ฉันเชื่อว่าบรรพบุรุษของเขาอาจเดินทางมาจากเส้นแบ่งที่สง่างามระหว่างยุโรปและเอเชีย จุดที่โลกทั้งสองฟากมาบรรจบกัน ช่องแคบบอสฟอร์รัสและทะเลมาร์มาร่าที่งดงาม จะเรียกโลกแถบนั้นว่ากึ่งกลางโลกก็ย่อมได้ และนี่อาจเป็นเหตุที่ทำให้แคเมรอนถูกสร้างให้มีนัยน์ตาสีฟ้าและเส้นผมสีดำสนิทราวกับของขวัญจากโลกทั้งสองฟากเอาไว้
กลางโลกหรือมิดเดิลเอิร์ธทำให้ฉันนึกถึงเรื่องลอร์ดออฟเดอะริงส์ขึ้นมาทันที สิ่งที่มาจากกลางโลกคือแหวน แหวนทองนั้นครอบงำทุกคนที่ได้พบเจอ และไม่ว่าใครก็จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา...ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน กอลลัมเป็นผู้หนึ่งที่หลงรักแหวนจนต้องสูญเสียจิตวิญญาณที่ดีงามไป ทุกค่ำคืนเขาคร่ำครวญหาแหวนและเรียกมันว่า “สิ่งล้ำค่าของข้า”
สิ่งล้ำค่าเดินมาแล้ว! เปล่าเลย แคเมรอนต่างหาก เขากำลังเดินมาทางฉันพร้อมกับเซธ
“อรุณสวัสดิ์” แคมม์กับเซธทัก แล้วแคมม์หันมาพูดกับฉัน “ฉันเห็นบางอย่างวางอยู่ในห้องเรียน มีโน๊ตถึงเธอด้วย เธอน่าจะลองไปดูนะ”
แล้วแคมม์ยิ้มบางก่อนที่เขากับเซธจะเดินผ่านหน้าฉันไป พวกเขามีเรียนด้วยกัน ฉันเดินไปดูสิ่งที่แคมม์พูดถึง ห้องเรียนยังไม่ทันเปิดไฟ ฉันเห็นสิ่งหนึ่งที่ดูสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ดวงโตวางอยู่บนโต๊ะที่ฉันนั่งเมื่อวาน มันคือดอกทานตะวันดอกใหญ่ และที่ก้านอวบและยาวมีกระดาษโน๊ตผูกเอาไว้
“สำหรับวิคกี้” ในโน้ตเขียนไว้แค่นั้นด้วยตัวหนังสือที่ไม่สวยเท่าไหร่
“อะไรกันเนี่ย” ฉันพึมพำกับตัวเองและมองไปรอบห้อง ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย คนที่ให้ดอกไม้กับฉันไม่ยอมแสดงตัว ฉันได้แต่สงสัยว่าใครเป็นคนให้ดอกไม้นี้กับฉัน อาจเป็นนักศึกษาชายบางคน ฉันนึกถึงเจ้าของดวงตาสีฟ้าที่เพิ่งบอกความลับนี้กับฉัน เผลอนึกไปว่าอาจเป็นแคเมรอนเองแต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิด เขาอาจจะแค่ผ่านมาเห็นก็เลยบอกเท่านั้น
ฉันได้แต่จ้องมองดอกทานตะวันที่แสงสดใสนั้น และได้แต่สงสัยว่าคนที่มอบมันให้กับฉันเป็นใครกัน
วันที่สามของการเรียนเริ่มต้นขึ้นอย่างดีเยี่ยม ทันทีที่ฉันก้าวเท้าเข้ามาในวิทยาลัยและเจอพวกเขา พวกเขาก็ทักทายทันที
“สวัสดี วิคกี้“
“สวัสดี”
เพื่อนใหม่ห้าคนของฉันนอกจากจะนิสัยดีแล้วยังดูแลฉันอย่างเอาจริงเอาจังด้วย ทุกครั้งที่เจอกันพวกเขาจะเข้ามาทัก ถามไถ่และให้กำลังใจ และถึงจะผ่านมาแล้วสามวันก็เหมือนพวกเขาจะยังกลัวว่าฉันอาจจะลาออกโดยไม่บอกกล่าวก็ได้ และบางทีฉันอาจจะหนีกลับบ้านไปแล้วตั้งแต่วันแรกถ้าพวกเขาไม่ช่วยเอาไว้
ด้วยความที่เป็นวิทยาลัยขนาดเล็กพวกเราก็เลยเจอกันบ่อยครั้งทั้งในชั้นเรียนและตามทางเดิน บางวิชาฉันก็ได้เรียนกับพวกเขา บางวิชาก็ไม่ แต่ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับฉันอีกแล้ว ฉันไม่เหงาเลย และไม่กลัวที่จะต้องเป็นนักศึกษาหญิงคนเดียวอีกต่อไป เพื่อนๆ ที่แสนดีทำให้ฉันอุ่นใจและรักที่นี่
พอถึงเวลาพักเที่ยงเพื่อนๆ ก็ชวนฉันไปดาวน์ทาวน์เพื่อสั่งพิซซ่ามากินด้วยกัน ฉันหลงรักเมืองอาร์เธอร์ที่น่ารักและเงียบสงบแห่งนี้เข้าแล้ว ตลอดสองข้างทางเดินเข้าเมืองขนาบด้วยบ้านหลังเล็กใหญ่ที่น่ารักและสดใสเหมือนบ้านตุ๊กตา หน้าบ้านตกแต่งดอกไม้และของประดับสวนหลากชนิด คั่นด้วยต้นเมเปิ้ลใหญ่สีเขียวครึ้มที่มีหลากหลายพันธุ์ ใบหยักๆ หลายแบบที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใครของมันทำให้คนที่นี่รักต้นเมเปิ้ลมากพอที่จะวาดมันไว้บนธงชาติ และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่ธงชาติดูจริงจังและเคร่งขรึม ธงของแคนาดาที่มีใบเมเปิ้ลสีแดงตรงกลางกลับดูน่ารักและเป็นมิตรกว่าธงของชาติอื่นเป็นไหนๆ และคนคาเนเดียนก็มีนิสัยเป็นมิตรและดูร่าเริงแบบนั้นเหมือนกัน ฉันรักวิทยาลัยใหม่ เมืองใหม่ และเพื่อนใหม่ของฉันจริงๆ
ในที่สุดฉันก็ผ่านการเรียนวิชาสุดท้ายของวันที่สามไปได้ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วก็ถึงเวลาที่ฉันจะได้เจอกับเพื่อนๆ เป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้ง เพราะทุกเย็นเราจะนัดกันที่สนามหญ้าหลังวิทยาลัย
ฉันสูดหายใจลึกรับอากาศเย็นโล่งเมื่อเดินมาถึง สนามหญ้าเขียวสดกำลังบอกรักกับสายลมเย็น กิ่งก้านเมเปิ้ลโบกไกวราวกับเริงระบำให้ท้องฟ้าสดใส หากแต่ทั้งที่คิดว่าตนเองมาถึงที่นี่เป็นคนแรกกลับไม่ใช่ เพราะเมื่อมองเลยไปอีกนิดฉันก็เห็นว่ามีใครมาคนมาถึงก่อนฉันแล้ว
ฉันหายใจสะดุดเมื่อสายตาลากไปบรรจบกับร่างสูงที่เห็น แคเมรอนกำลังนั่งอยู่ที่ราวบันได และในชั่วขณะนี้ก็ไม่ต่างจากวันแรกที่ฉันเห็นเขา แคเมรอนดูหล่อเหลาจนยากจะละสายตาไปได้ดังเช่นวันแรกนั้น ดวงตาสีน้ำเงินอมฟ้าราวกับห้วงน้ำลึกของเขาทอดมองออกไปไกล ปล่อยสายลมเย็นไล้เส้นผมราวกับหยอกล้อกับความงดงามของตัวเอง สำหรับฉันเขาดูราวกับเจ้าชายปริศนาที่ห่างไกลจนเอื้อมคว้าไว้ไม่ได้ และฉันจะไม่มีวันยอมให้เขาล่วงรู้ว่ามีเพื่อนใหม่คนหนึ่งชอบแอบมองเขาอย่างลืมเวลา
ใบหน้าคมคายราวกับรูปสลักหันมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของฉัน
“ไฮ” เขาทักฉันก่อนเหมือนทุกครั้ง
“หวัดดีแคมม์ นายมาเป็นคนแรกบ่อยๆเหรอ? ”
“เปล่าหรอก แค่บางครั้ง” เขายิ้มบาง “เธอเป็นอย่างไรบ้าง? ”
ทั้งที่ถูกถามด้วยคำถามธรรมดาฉันกลับเกร็งอย่างช่วยไม่ได้ คงเพราะดวงตาที่งดงามเกินไปคู่นั้น…
“สบายดี ขอบใจ”
“เพื่อนทุกคนดีกับเธอหรือเปล่า? ” คำถามที่ไม่ได้พิเศษมากไปกว่าคำถามแรกทำให้หัวใจของฉันเต้นผิดจังหวะไป
“ทุกคนดีกับฉันมาก ขอบคุณนะที่ช่วยฉันไว้ ไม่อย่างนั้นการเป็นนักเรียนหญิงคนเดียวที่นี่คงจะเหมือนฝันร้ายเลยล่ะ”
“เธอควรจะขอบคุณเซธมากกว่า” เสียงของแคมม์อ่อนโยน
“จริงสินะ”
แล้วแคมม์ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเปิดที่ว่างเหนือราวบันไดให้ฉัน “นั่งสิ”
ฉันนั่งลงข้างแคมม์ ลอบมองดวงตาสีฟ้าคมคายที่ลากกลับไปทาบขอบฟ้าไกล “ฉันยังไม่ค่อยรู้จักเธอเลย เล่าเรื่องของเธอให้ฟังบ้างสิ”
ดวงตางดงามที่ลากกลับมามองฉันชั่วครู่ทำให้ฉันหายใจสะดุดอีกครั้ง แต่แล้วฉันตั้งหลักตอบออกไปจนได้
“ฉันมาจากโทรอนโต บ้านอยู่ใกล้ๆ ปราสาทคาซาโลม่า พ่อของฉันเป็นนายธนาคารที่เกษียณอายุแล้ว ส่วนคุณแม่เป็นอดีตบรรณาธิการนิตยสารแอลแคนาดา หลังจากทั้งคู่เกษียณก็เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกเหมือนฮันนีมูนตลอดเวลา หลายครั้งพวกท่านไปประเทศยากจนในแอฟริกา อเมริกาใต้ และเอเชียเพื่อเป็นอาสาสมัครให้เอ็นจีโอช่วยเหลือเด็กๆ ที่ด้อยโอกาส ก่อนเปิดเทอมพ่อแม่บอกฉันว่าจะไปทริปยาวเกือบหนึ่งปีที่มองโกเลีย แต่เพราะพวกท่านรู้ว่าฉันเป็นคนติดที่ ไม่ค่อยชอบออกนอกประเทศสักเท่าไหร่จนถูกแซวว่าคงจะตายอยู่บนแผ่นดินแคนาดาในฐานะผู้รักชาติ พวกท่านก็เลยให้ฉันหาที่เรียนใหม่ตามใจหากการเรียนที่วิทยาลัยในโทรอนโตเหมือนเดิมจะทำให้เหงาและคิดถึงพวกท่านมากเกินไป อีกอย่างก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศเอาสนุกด้วย ฉันก็เลยหลับตาจิ้มแล้วเจอกับเข้าเมืองนี้ พอค้นหาวิทยาลัยที่มีอยู่ในเมืองก็เห็นว่าสวยดี สุดท้ายฉันก็มาอยู่ที่นี่...กับพวกนาย”
“น่าสนุกดีนะ” แคมม์ราวกับทึ่งในวิธีเลือกหาที่เรียนอันแปลกประหลาดของฉัน “แล้วก็กล้าหาญทีเดียว ต่างกับฉันที่มักจะอยู่เฉยๆ ฉันชอบที่จะอยู่กับสิ่งเดิมๆ และบางทีก็ฝันว่าโลกจะไม่มีวันเปลี่ยนไป”
“งั้นเหรอ...” ฉันคิดว่าแคเมรอนเป็นผู้ชายที่แปลกเหลือเกิน
“ฉันไม่เคยเจอใครแบบเธอเลย” แคมม์ลากสายตามามองฉันอีกครั้ง “ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ฉันมันใจว่าตัวเองกำลังหน้าแดง และฉันต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อกลบเกลื่อน
“นายดื่มอะไรอยู่น่ะ? ” ฉันหาเรื่องคุยสำเร็จแล้ว
“ลองไหม? ” แทนคำตอบแคมม์กลับยื่นแก้วในมือเรียวยาวให้ฉัน
“มันคืออะไรล่ะ? “
“กาแฟธรรมดา ไม่ต้องกลัว” เขาคงพูดแบบนั้นเพราะเห็นฉันเกร็ง ทั้งที่ฉันเกร็งเรื่องอื่น หาใช่เรื่องกาแฟสักนิด ฉันมองแก้วกาแฟ รู้สึกว่าแก้วและหลอดนั้นโชคดีอะไรอย่างนี้ที่ได้อยู่ในมือของเขา และหลอดนั้น...ฉันกำลังจะได้ใช้ร่วมกับเขา...ราวกับจูบทางอ้อม
ฉันเกร็งเต็มที่เมื่อดูดหลอดนั้น และไม่แปลกที่แคมม์จะนึกว่าฉันกลัวหรือเกลียดกาแฟ
“ชอบไหม? ” เขาถามราวกับลังเล
