2 รักแรก แรกรัก
2
รักแรก แรกรัก
“ไปไหนต่อเหรอเก้า?”
เสียงทุ้มต่ำที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้ฉันซึ่งกำลังยืนมองหารถแท็กซี่อยู่บริเวณหน้าโรงแรม ต้องหันกลับไปมองเจ้าของประโยคคำถาม
ร่างสูงสมส่วนในชุดสูทสั่งตัดเนื้อดีกำลังสาวเท้ายาวๆ เข้ามาหา ใบหน้าคุ้นตาที่ดูหล่อกว่าแต่ก่อนคลี่ยิ้มเล็กๆ มาให้ ดวงตาสีดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามรัตติกาลไร้ซึ่งแสงเดือนดารา ไม่ว่าจะมองสบครั้งไหนก็ทำให้ใจสั่นไหวได้เสมอ
วินสาวเท้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ กันก่อนยกมือทั้งสองข้างเท้าเอวเอาไว้ สีหน้าเขาดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย คล้ายผ่านการทำอะไรบางอย่างที่ต้องออกแรงมา
คงไม่ได้วิ่งตามฉันมาหรอกนะ?
“นายตามฉันออกมาเหรอ?”
แทนที่จะตอบคำถาม แต่ฉันเลือกที่จะถามเขากลับด้วยความสงสัย
“อ่าห๊ะ หมดธุระพอดี ไม่รู้จะอยู่ต่อทำไม”
“แล้วตามฉันมาทำไม?”
“ฉันไม่ใจดำขนาดปล่อยเพื่อนให้เศร้าอยู่คนเดียวหรอกนะ ดูก็รู้แล้วว่าวันนี้เธอฉายเดี่ยว หรือว่าเอาใครมาด้วย?”
ใบหน้าคมคายหันมองรอบข้างอย่างสำรวจ แต่เมื่อไม่พบใครที่เข้าเค้าว่าเป็นคนรู้จักฉัน วินจึงหันกลับมามองกันอีกครั้ง
“ฉันมาคนเดียว”
“ว่าแล้วเชียว เธอมันเจ้าแม่สายสตรองของจริง”
“แล้วทำไมไม่อยู่ดูแลเพื่อนรักนายล่ะ เลือดอาบขนาดนั้นไม่ห่วงหน่อยเหรอ?”
ฉันนึกถึงภาพไมลล์ที่หัวแตกเลือดไหลโชก เพราะถูกขวดไวน์ฟาดอย่างเต็มแรงก็นึกสะใจอีกครั้ง จึงคลี่ยิ้มขบขันกับตัวเองออกมาอย่างไม่ปิดบัง จนคนตรงหน้าระบายยิ้มตาม
“มันสมควรโดนแล้วล่ะ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะทำกับเธอแบบนี้”
จู่ๆ รอยยิ้มบนริมฝีปากหยักก็จางหายไป และความรู้สึกคล้ายโกรธเคืองก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาแทน
“นายไม่รู้เรื่องเลยเหรอ เป็นเพื่อนสนิทกันนี่ ไมลล์ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลยหรือไง?”
“ฉันพึ่งกลับมาไทยได้แค่ 3 วันเอง ไอ้ไมลล์มันโทรไปบอกให้มางานแต่ง ตอนแรกเข้าใจว่ามันแต่งกับเธอ แต่พอมาถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ จะเข้าไปถามก็ไม่ค่อยสะดวกเพราะมันยุ่งอยู่กับการรับแขก ก็เลยว่าจะรอคุยตอนจบงาน พอดีเธอมาไขความกระจ่างให้ซะก่อน”
“อ่อ...”
ฉันรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่วินดูไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ก็พอเข้าใจได้เพราะเขาไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่จบมัธยมปลาย ทำให้เกิดระยะห่างระหว่างเรา จนการติดต่อสื่อสารก็ขาดช่วงไปโดยปริยาย
แต่หลักๆ แล้วสาเหตุของความห่างเหิน ไม่ได้มาจากการที่เขาหนีไปเรียนเมืองนอกหรอก มันเป็นเพราะเรื่องไร้สาระที่เกิดขึ้นก่อนเขาจะไปต่างหาก และเรื่องนั้นก็ทำให้ฉันตัดสินใจคบกับไมลล์ด้วย
เรื่องไร้สาระที่ว่าก็คือ...ความรักระหว่างเพื่อนสนิท แถมยังเป็นรักสามเส้าอีกต่างหาก
ไมลล์ชอบฉันแต่ฉันดันชอบวิน ส่วนวิน...ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกันแน่ เขาปฏิบัติกับฉันพิเศษกว่าผู้หญิงคนอื่น อาจเพราะเราเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันด้วยหรือเปล่า เขาเลยดูแลใส่ใจฉันมากกว่าใคร
และเพราะได้รับอะไรที่มันมากกว่าคนอื่น จึงทำให้เผลอคิดไปเองว่าเขาก็คิดแบบเดียวกัน แต่สุดท้ายแล้วมันก็มีเพียงฉันที่คิดไปเองฝ่ายเดียว เพราะวันที่นัดเขามาเจอเพื่อขอคำตอบในความสัมพันธ์ เขากลับส่งไมลล์มาแทน
หลังจากนั้นไม่ถึงสามวัน วินก็บินไปต่างประเทศโดยไม่ลากันสักคำ มันเป็นอะไรที่รู้สึกแย่มากๆ ฉันคิดว่าเขาคงรังเกียจที่รู้ว่าฉันคิดกับเขาเกินเพื่อน เพราะไม่งั้นทำไมแค่คำบอกลาแค่คำเดียว ถึงไม่มีให้กันสักหน่อยล่ะ จริงไหม?
“แล้วเธอ...เป็นไงบ้างล่ะ?”
วินคงเห็นว่าฉันเงียบไปและดูเหม่อๆ จึงพยายามจะชวนคุยต่อเพื่อให้บรรยากาศดูไม่อึดอัด
“ก็ตามสไตล์คนโดนหักหลังนั่นแหละ แต่อาจจะหนักกว่าคนอื่นหน่อย เพราะฉันโดนทิ้งก่อนถึงวันแต่งงานของตัวเอง ทั้งๆ ที่เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว แม้กระทั่งการ์ดก็แจกแล้วจนหมด”
นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็เครียด ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ฉันกลับไม่กล้าบอกใครเลยแม้กระทั่งแม่ของตัวเอง วินคือคนแรกที่รู้เรื่องงานแต่งของฉันล่ม อีกแค่สามเดือนจะถึงวันงาน ฉันจะจัดการปัญหานี้ยังไงดี?
ดีนะที่ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าบ่าวของฉันคือใคร ตอนแรกก็น้อยใจนะที่ไมลล์ไม่ยอมให้เล่าให้ใครฟังว่าเราคบกัน เพราะเขาเป็นนักร้องมีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ ยิ่งช่วงหลังๆ มานี้ทุกเพลงที่ถูกปล่อยออกมาเป็นกระแสจนฮิตติดชาร์ต ความสัมพันธ์ของเราก็เลยเป็นความลับมาตลอด
แม้กระทั่งครอบครัวของทั้งสองฝ่ายยังไม่เคยถูกพาไปทำความรู้จัก บนการ์ดแต่งงานก็มีเพียงอักษรย่อของชื่อเล่นบ่าวสาวเท่านั้น ดูลึกลับสุดๆ พรีเวดดิ้งก็ถูกถ่ายแบบเบลอๆ ให้เดากันเอาเองว่าเป็นใคร มีชัดอยู่รูปเดียวแถมยังไม่ให้ฉันเอาไปอวดใครอีกนะ
ไมลล์บอกว่าจะจัดงานแถลงก่อนถึงวันแต่งงานของเรา แต่ดูท่าแล้วน่าจะได้จัดแถลงข่าว โดนแฟนเก่าตีหัวกลางงานแต่งที่จัดขึ้นกับแฟนใหม่ซะมากกว่า
นึกแล้วก็งงตัวเองเหมือนกัน ว่าฉันทนคบกับไอ้ผู้ชายเฮงซวยจอมเห็นแก่ตัวคนนี้มานานตั้งแปดปีได้ยังไง
อย่างว่าแหละเนอะ แฟนคนแรก อะไรก็ดูหน้ามืดตามัวไปหมด พอถูกทิ้งถึงจะมาได้สติ ว่าที่ผ่านมามีแต่ฉันที่อินอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนมาสารภาพรักและขอคบก่อนแท้ๆ
ไอ้ประโยคที่ว่าผู้หญิงเริ่มจากศูนย์ ส่วนผู้ชายเริ่มจากร้อยนี่ไม่เกินจริงจริงๆ ด้วย
ไม่รู้ว่าในงานมีใครถ่ายรูปหรือวิดีโอไว้หรือเปล่า บางทีอาจมีนักข่าวอยู่ในงานก็เป็นได้ ฉันก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย อารมณ์ตอนนั้นมันโมโหเกินกว่าจะไตร่ตรองอะไรให้ดีก่อน ถ้าเรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมาทุกคนได้รู้แน่ๆ ว่างานแต่งฉันพังพินาศไปแล้ว
อินับเก้าโดนเทก่อนงานวิวาห์ แถมอดีตเจ้าบ่าวก็ชิ่งหนีไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
โอ๊ย! เครียด!!
“เธอจะเอายังไงต่อ?”
“ตอนนี้ยังคิดอะไรไม่ออก ฉันเหนื่อยมาก แล้วก็เครียดมากด้วย อยากพัก อยากปลดปล่อย และก็อยากระบาย”
ฉันหลับตาลงพร้อมถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจเต็มพิกัด ก่อนยกมือขึ้นคลึงขมับตัวเองเบาๆ
“งั้นไปกันเถอะ”
ยังไม่ทันได้ตั้งหลักอะไร จู่ๆ วินก็คว้าข้อมือข้างที่ฉันกำลังนวดศีรษะตัวเอง และฉุดรั้งให้เดินตามเขาเสียอย่างนั้น
“ปะ ไปไหน?”
ฉันละล่ำละลักถามด้วยอาการเหวอๆ เพราะกำลังตื่นตกใจ แต่สองขาก็เดินตามแรงจูงไปอย่างไม่คิดต่อต้าน
“ไปสนุกกัน”
ดวงหน้าหล่อไร้ที่ติเอี้ยวกลับมาตอบคำถาม พร้อมยิ้มจนตาหยีให้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สิ่งที่กำลังสงสัยกระจ่างขึ้นแม้แต่น้อย
“ไปสนุก?”
“วันนี้ฉันจะทำให้เธอมีความสุข จนลืมความทุกข์ที่ผ่านมาเลย”
“...”
“เชิญขึ้นรถม้าได้ครับ เจ้าหญิง”
เป็นจังหวะที่เราทั้งคู่เดินมาถึงรถสปอร์ตคันหนึ่งพอดี เดาว่ามันน่าจะเป็นของผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า เพราะเขากำลังเปิดประตูและผายมือเชื้อเชิญให้ฉันขึ้นไปนั่งทางฝั่งข้างคนขับ
“ขอบคุณค่ะ”
แม้ไม่รู้ว่าวินจะพาฉันไปไหนและจะทำอะไรต่อหลังจากนี้ ทว่าฉันกลับเลือกที่จะทิ้งความสงสัยทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง และปล่อยตัวปล่อยใจตามเขาไปอย่างว่าง่าย
ตอนนี้ฉันกำลังสับสนและไร้ที่พึ่ง หันไปทางไหนก็มืดแปดด้านและไม่ต้องการจะคิดอะไรอีกแล้ว สมองมันล้าและหัวใจก็อ่อนแอเกินกว่าจะออกไปต่อสู้กับอะไรได้อีก
ขอแค่ช่วงนี้ให้ฉันได้มีความสุขเล็กๆ บ้างก็พอ หวังว่าเขาจะเข้ามาเติมความสุขให้ได้ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็เกินพอแล้ว
รบกวนหน่อยนะ...วิน
