1 ถล่มงานวิวาห์
1
ถล่มงานวิวาห์
สิบหกชั่วโมงก่อนหน้า
ตึก ตึก ตึก
รองเท้าส้นสูงสีดำสนิทมันวาวความสูงสี่นิ้ว ที่ฉันใส่มาให้เข้ากับเดรสสีเดียวกัน กระแทกลงบนพื้นหินอ่อนขัดมันจนเกิดเสียงดังก้อง ขณะกำลังก้าวเท้าเหยียบย่ำไปบนสถานที่จัดงานวิวาห์สุดหรูหรา ของอดีตแฟนเก่าหมาดๆ ที่พึ่งสะบั้นรักฉันทิ้งอย่างไม่ไยดีเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ทั้งๆ ที่อีกสามเดือนต่อจากนี้เรากำลังจะแต่งงานกันแล้วแท้ๆ
ฉันเข้าใจว่าการที่เขาต้องการยุติความรักร่วมแปดปีของเราลงนั้น เป็นเพราะเหตุผลที่เขาบอกกับฉัน ว่าต้องการไปทำตามความฝันอย่างเต็มที่
ทว่า...ฉันกลับได้ข่าวมา ว่าเขากำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน ที่ฉันเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นเธอคนนี้ และนี่คือเหตุผลจริงๆ ที่ฉันถูกเทก่อนวันงานแต่งของตัวเอง
วันนี้ฉันจึงมาปรากฏกายที่นี่ เพื่อทำลายงานวิวาห์เฮงซวยของคู่ชายโฉดหญิงชั่วให้พังพินาศ ในเมื่องานแต่งของฉันย่อยยับไปแล้ว พวกมันก็อย่าได้หวังจะมีความสุขบนความทุกข์ของฉันเลย
“เจ้าสาวพูดหน่อยไหมคะ ว่าวันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เสียงพิธีกรซึ่งถูกเชิญให้มาทำหน้าที่ในงานแต่งวันนี้ดังขึ้น พร้อมยื่นไมค์ลอยอีกตัวที่ถืออยู่ในมือให้เจ้าสาวแสนสวยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ
ถัดไปไม่ห่างมีร่างของเจ้าบ่าวกำลังยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข สายตาคู่นั้นทอดมองเจ้าสาวของตัวเองด้วยแววตารักใคร่ ซึ่งฉันเห็นแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียนกับความรักโสโครกที่แผ่ออกมาจนรู้สึกได้
ดวงหน้าสวยซึ่งถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเบาๆ สไตล์เจ้าสาวเกาหลีพยักหน้ารับเล็กน้อย และทำท่าจะยื่นมือไปรับไมค์มาถือไว้ แต่กลับต้องชะงักเพราะถูกฉันพูดแทรกขึ้นเสียก่อน
“ไม่ต้องพูดหรอกความในใจ พวกเธอสมควรสารภาพความระยำของตัวเอง และกล่าวคำขออโหสิกรรมกับฉันมากกว่า”
สายตาทุกคู่หันพรึ่บมามองทางฉันเป็นตาเดียว เป็นจังหวะที่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของคู่บ่าวสาวพอดี ระยะห่างเพียงแค่สองช่วงแขนเท่านั้น ฉันสามารถจิกหัวของพวกมันและจับโขกกันได้อย่างสบาย
แต่ตอนนี้ฉันจะยังไม่ลงมือทำอะไรทั้งสิ้น จะอดทนให้มากที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ เพราะยังหวังว่าจะได้รับคำอธิบายที่ดีพอ และคำขอโทษอย่างจริงใจจากพวกมัน
“นับเก้า! เธอ...มาได้ยังไง?”
‘ไมลล์’ เพื่อนในวัยเด็กที่ผันตัวมาเป็นแฟนหนุ่มผู้แสนดี แม้ตอนนี้เขาจะเป็นเพียงแค่อดีตไปแล้ว แถมเปลี่ยนจากแสนดีเป็นแสนเลวอีกต่างหาก
ทำหน้าตาตื่นตกใจแบบขีดสุด และละล่ำละลักเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต่างจากเจ้าสาวของเขาที่ตอนนี้หน้าซีดเป็นไก่ต้ม เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตาเมื่อได้เห็นหน้าฉัน
“ทำไม ไม่คิดจะเชิญอดีตแฟน มาร่วมเป็นสักขีพยานในความรักเหม็นคาวเน่าเฟะของพวกเธอหน่อยเหรอ?”
ฉันกดเสียงต่ำข่มอารมณ์ถามกลับด้วยประโยคสุดแสนจะเชือดเฉือน ถึงจะแสดงออกเพียงความเคร่งขรึมสงบนิ่ง และจิกกัดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่อีกฝ่ายก็น่าจะเดาได้ว่าฉันกำลังรู้สึกเช่นไร
“ขอร้องล่ะนะ เธอช่วยกลับไปก่อนได้ไหม มีอะไรเดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีหลัง”
ไมลล์ปรี่เข้ามาประชิดและยกมือข้างหนึ่งแตะต้นแขนฉันเบาๆ พร้อมทั้งกระซิบพอให้ได้ยินเพียงแค่เราสองคน ฉันจึงเบี่ยงตัวออกเล็กน้อยเพื่อให้หลุดจากสัมผัสอันน่าขยะแขยง
“อย่าเอามือสกปรกของนายมาแตะตัวฉัน!”
ฉันตวาดเสียงดังลั่นและจ้องอีกฝ่ายกลับตาเขม็งอย่างโกรธจัด ก่อนพูดขึ้นต่อโดยไม่ปล่อยให้คนซึ่งทำท่าจะอ้าปากปราม ได้มีโอกาสได้เอ่ยอะไรออกมา
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับผู้ชายสารเลวอย่างนายแล้วไมลล์ ฉันเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว เข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยด้วย”
“...”
“ที่มาในวันนี้ คือมาเสนอทางเลือกให้พวกเธอ 2 ทาง”
“…”
“1. สารภาพความเลวของพวกเธอออกมาให้หมด ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่นี่ และขอโทษฉันซะ หรือ...”
“...”
“2. ให้ฉันพังงานแต่งงานของพวกเธอให้สมใจอยาก และบอกไว้เลยนะ ไม่ว่าจะขยันจัดกันอีกสักกี่งาน ฉันก็จะตามไปพังให้มันพินาศไม่ให้เหลือซาก”
“…!!”
“มันจะเกินไปแล้วนะพี่นับเก้า!”
คนที่เอาแต่ยืนเงียบไม่กล้าเงยหน้ามองตั้งแต่ต้น จู่ๆ ก็เกิดอาการอดรนทนต่อไปไม่ได้ ปรี่เข้ามาหาพร้อมกับตะคอกใส่ฉันอย่างไม่ละอายแก่ใจ
“หุบปาก!! ผู้หญิงหน้าด้านที่แย่งแฟนชาวบ้านอย่างเธอ ไม่มีสิทธิ์มาตวาดใส่ฉัน แม้แต่การที่เธอยืนอยู่ตรงนี้ต่อหน้าฉัน เธอยังไม่สมควรทำเลยด้วยซ้ำ”
“...!!”
“เธอควรจะรีบไสหัวออกไปจากตรงนี้นะ เพราะต่อจากนี้อีกไม่นานหน้าเธออาจแหกได้!!”
ฉันสวนกลับทันควันอย่างเริ่มเหลืออด ในที่สุดการปะทะก็ได้เกิดขึ้น แม้จะไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือมีแค่ฝีปากที่สาดใส่กันไปมา แต่กลับไม่มีใครหน้าไหนกล้าที่จะเข้ามายุ่ง
ทุกคนยืนทำหน้าตกอกตกใจมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นอยู่กับที่เงียบๆ แม้กระทั่งพ่อแม่บ่าวสาว ที่สมควรเข้ามาลากฉันออกไปจากงานแต่งของลูกพวกเขา แต่พวกนั้นกลับไม่ทำ ก็คงจะอยากรู้เรื่องราวเน่าเฟะที่ฉันกำลังจะแฉนั่นแหละ
“พี่นั่นแหละที่ควรออกไป ในเมื่อพี่ไมลล์บอกเลิกไปแล้วก็ควรเลิกยุ่งกับเขาได้แล้วไหม จะมาวุ่นวายอะไรกับพวกเราอีก?”
มือเล็กๆ ข้างหนึ่งยกขึ้นดันไหล่ฉันด้วยแรงที่เธอมี ทำให้ร่างฉันเซถลาถอยหลังไปครึ่งก้าว ดีที่มีใครบางคนยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง และประคองให้ฉันกลับมายืนได้ต่ออย่างมั่นคง
ด้วยความที่เป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน ทำให้รู้สึกเดือดดาลจนไม่คิดจะหันกลับไปสนใจ คนที่ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย แต่เลือกที่จะโต้ตอบคนตรงหน้ากลับแทน
เพี๊ยะ!!
ทันทีที่ตั้งหลักได้ ฉันจึงง้างฝ่ามือฟาดลงบนแก้มเนียนใสอย่างสุดแรง จนใบหน้าสวยหันไปตามแรงตบ พร้อมกับร่างเล็กล้มลงนั่งกองกับพื้น
“เหมียว!!”
ไมลล์รีบถลาเข้าไปประคองเจ้าสาวของตัวเองด้วยความเป็นห่วง ภาพตรงหน้าและอาการที่เขาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยกันทำให้ฉันยิ่งหงุดหงิด
“หัดสำนึกในความเลวที่พวกเธอทำกับฉันหน่อยนะ”
“…”
“เธอ! ฉันมองเธอเป็นน้องสาวที่ไว้ใจได้มาตลอด มีอะไรก็บอกก็เล่าให้ฟังแทบทุกอย่าง ฉันไว้ใจเธอมาก ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าน้องสาวแสนน่ารักที่เคยไว้เนื้อเชื่อใจ จะแทงข้างหลังกันได้ลึกขนาดนี้”
“...”
“ส่วนนาย! ผู้ชายที่ฉันมอบความรักความซื่อสัตย์และกำลังจะมอบชีวิตให้ กลับตอบแทนสิ่งพวกนั้นด้วยการหักหลังฉันอย่างเจ็บแสบ”
“…”
“ถามจริง พวกเธอทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง? ไมลล์ อีกแค่ 3 เดือนเรากำลังจะแต่งงานกันแล้วแท้ๆ ทำไมนายถึงทิ้งฉันมาแต่งกับเหมียว?”
ฉันยืนกำมือแน่นจนเล็บที่ไว้ยาวจิกเข้าไปในเนื้อ ความรู้สึกเจ็บบนฝ่ามือยังไม่เทียบเท่ากับความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจเลยด้วยซ้ำ
ดวงตาสองคู่ที่ดูคล้ายจะสำนึกผิดมองมา แต่สุดท้ายกลับเบนหนีไปทางอื่น และไม่มีแม้แต่คำตอบหรือคำขอโทษใดๆ หลุดออกมาจากปาก
“สรุปทางเลือกที่เสนอให้ พวกเธอเลือกทางที่ 2 สินะ?”
เมื่อเอาแต่อมพะนำไม่ยอมพูดอะไรกันออกมา ฉันจึงถามซ้ำถึงสิ่งที่ยื่นข้อเสนอไปให้เมื่อตอนต้น
“พอเถอะเก้า...”
ไมลล์ลุกขึ้นยืนประชันหน้ากับฉันเต็มความสูง สีหน้าดูเหลืออดเต็มที่ เขากวาดสายตามองรอบๆ ข้าง ที่ตอนนี้กำลังมีแขกเหรื่อยืนจ้องพวกเราตาไม่กะพริบ และสุดท้ายก็มาหยุดสายตาที่ฉันอีกครั้ง
“พอ?”
ฉันทวนคำซ้ำอย่างไม่เข้าใจ ว่าที่เขาบอกให้พอนี่คือพอเรื่องอะไร ในเมื่อฉันยังไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง
“ในเมื่อฉันหมดรักเธอแล้ว ถึงเธอจะดื้อดึงหรือพยายามทำอะไรต่อไป ฉันก็คงกลับไปรักเธอเหมือนเดิมไม่ได้อีก”
“…!!”
“ยอมรับความจริงแล้วกลับไปซะ อย่าทำตัวเองให้มันดูน่าสมเพชไปมากกว่านี้เลย”
“...!!!”
ทุกถ้อยคำที่สาดใส่หน้าฉันรุนแรงยิ่งกว่าการถูกตบฉาดใหญ่ หน้าฉันชาดิก ปลายมือเท้าเย็นเฉียบ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จากปากผู้ชายที่เคยรัก
ผ่านไปชั่วหนึ่งอึดใจที่ฉันยืนสตั้นนิ่ง ความรู้สึกช็อกค่อยๆ จางหายไป และแทนที่ด้วยความโมโหซึ่งพุ่งทะยานสูงจนแตะเพดานอารมณ์
ฉันง้างฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง และตั้งท่าจะตบร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าให้หัวทิ่มไปกับพื้น ทว่า...กลับมีมือใหญ่ของใครบางคน ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมาคว้าและรั้งข้อมือของฉันเอาไว้
เมื่อหันหน้ากลับไปมองด้วยอารมณ์ขุ่นมัวก็ต้องรู้สึกตกใจแทน เมื่อเจ้าของมือที่จับฉันไว้ คือผู้ชายอีกคนซึ่งฉันรู้จักดีมากกว่าที่รู้จักไมลล์เสียอีก เพราะเราสองคนโตมาด้วยกันไงล่ะ
“วิน...”
น้ำเสียงเบาหวิวหลุดออกมาจากลำคอฉัน ขณะเปล่งเสียงเรียกชื่อของคนที่ยืนขนาบข้าง พร้อมจ้องมองใบหน้าหล่อเหลา ซึ่งยังคงมีเค้าโครงเดิมที่คุ้นเคยด้วยสายตาเลื่อนลอย
ราวกับทุกอย่างรอบตัวมีเพียงเราสอง ความรู้สึกโมโห โกรธ เกลียด และเสียใจ มลายหายไปสิ้นเมื่อได้พบหน้าเขาอีกครั้ง
“มือบอบบางของเธอ ไม่ควรจะกระทบกับหน้าด้านๆ ของมัน เอานี่ดีกว่า”
วินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม พร้อมกับยัดขวดไวน์ที่ด้านในมีของเหลวเหลือไม่ถึงครึ่งใส่มือฉัน ฉันเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร จึงไม่รอช้าที่จะทำตามอีกฝ่ายแนะนำ
เพล้ง!
“โอ๊ย!!”
“พี่ไมลล์!!”
ฉันฟาดขวดไวน์ลงบนศีรษะของไมลล์เต็มแรง ด้วยเชื้อความโกรธที่ยังคงมีอยู่ในหัวใจ จนเขาเซถลาและล้มลงไปนั่งกองบนพื้นอย่างหมดท่า
เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจนเปื้อนปกเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดเต็มไปหมด เหมียวที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น จึงรีบโผเข้าไปดูอาการเจ้าบ่าวตัวเองอย่างร้อนรน ทุกคนในงานเริ่มแตกตื่นเมื่อเหตุการณ์ดูรุนแรงขึ้น
“จะไปโรงพักหรือโรงพยาบาลก่อนดีล่ะ? ยังไงก็โทรบอกด้วยละกันนะ ฉันจะรอรับสาย”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินกรีดกรายออกจากพื้นที่ตรงนั้น ด้วยท่วงท่าเชิดหยิ่งและรอยยิ้มเหยียดอย่างพึงพอใจ
ไม่เคยรู้สึกสะใจขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ !!
