บทที่ 3
มือทั้งสองข้างของพิษณุก็ยังทำหน้าที่สำรวจร่างกายเต่งตึงของวัยสาวบนตักอย่างไม่หยุดหย่อน เขาลูบไล้ขึ้นลงตามเนินขาอ่อนขาวๆ ญาดาเคลิบเคลิ้มกับรสจูบและสัมผัสที่ชายหนุ่มมอบให้ เธอหลับตาพริ้ม มือเรียวลูบเส้นผมดกหนาของชายหนุ่มไปมาเพื่อระบายความรู้สึก เธอจูบตอบเขากลับเช่นกัน ก่อนจะตัดใจถอนจูบออก
“อย่าซนน่ะเพลง ไปหาอะไรกินก่อน คืนนี้เพลงจะกินญาดากี่รอบก็ได้” หญิงสาวมองตาชายหนุ่มด้วยแววตาหยาดเยิ้มชวนหลงใหลในเสน่หาสตรีล้านเล่มเกวียน
“เช้า” ชายหนุ่มเอ่ยบอกแค่นั้นญาดาก็ยิ่มกริ่ม พิษณุจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่เพราะความแนบชิดให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเดินจูงมือพริตตี้คู่รถคู่กายไปยังรถสปอร์ทราคาหลายสิบล้านซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล เพื่อจะพาเธอไปกินข้าวเย็น และต่อด้วยการกินของหวานที่เป็นเธอตบท้าย
คนทั้งคู่เดินสวนกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งสวมหมวกกันน็อคปิดหน้าอยู่ แต่เพียงแค่นี้ทั้งสองฝ่ายก็มองออกว่าใครเป็นใคร เพราะคนนี้คือรณภูมิ นักแข่งรถจากทีมซุปเปอร์คาร์ เรซซิ่ง คู่แข่งคนสำคัญของพิษณุที่ไล่ทุบสถิติของเขาเป็นว่าเล่น แต่มันก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มกังวลนัก อีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาในสนามฝึกซ้อม แม้จะอยู่คนละทีมแต่บางครั้งก็โคจรมาเจอหันในสนามฝึกซ้อมบ้าง เหมือนที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ทั้งสองทีมผลัดเปลี่ยนไปใช้สนามของกันและกันค่อนข้างบ่อย แต่ที่สนามแข่งจริงจะมีน้อยทีมมากที่ได้อภิสิทธิ์เข้าไปฝึกซ้อมเพราะเก็บไว้สำหรับแข่งเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากได้แต่พยักหน้าให้ตอนเดินสวนทางกันเท่านั้น ซึ่งสายตาของญาดาเองก็ลอบมองรณภูมิอย่างสนอกสนใจเช่นกัน เธอเคยเห็นใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคนี้มาแล้ว เขาช่างหล่อเหลาและมีเสน่ห์ไม่ต่างไปจากพิษณุ แต่สิ่งที่ต่างคือคำว่าผู้ชนะ เพราะพิษณุนั้นเป็นนักแข่งที่ชนะมาเกือบทุกสนาม แต่รณภูมิคือนักแข่งหน้าใหม่แต่ก็ไฟแรงไม่เบา เพราะตอนนี้ชายหนุ่มกำลังมือขึ้น แต่พิษณุก็ประมาทอีกฝ่ายไม่ได้
เกือบตีหนึ่ง ภายในห้องหนังสือ มีคนๆ หนึ่งกำลังหลับทั้งๆ ที่มีหนังสืออ่านเพื่อเตรียมสอบยังเปิดอยู่ ตรงหน้า ชุติพรที่ลงมาดื่มน้ำเห็นแสงไฟลอดออกมาจากประตูห้องที่ปิดไม่สนิท ทำให้เธอก้าวเข้ามาดูก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นลูกสาวคนเดียวของเธอ ผู้เป็นมารดาส่ายหน้าให้ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ
“พริม พริมลูก” มืออุ่นๆ วางทาบลงไปบนไหล่มน ก่อนจะเขย่าให้ลูกสาวรู้ตัว แพรธิมาสะลึมสะลือลืมตามองมารดา แล้วยิ้มแห้งๆ ให้
“แม่จ๋า ยังไม่นอนหรือ” หญิงสาวขยี้ตา ก่อนจะเพ่งมองเวลาบนนาฬิกาตรงหน้าพร้อมกับอุทานอย่างตกใจ
“อุ้ย ตีหนึ่ง”
“จ้ะ ตีหนึ่งแล้ว ถ้าง่วงจนอ่านหนังสือไม่ไหว นอนก่อนไหมลูกพรุ่งนี้ค่อยอ่านใหม่” ชุติพรลูบศีรษะได้รูปที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมยาวสยายของลูกสาว
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ พริมแค่เผลอหลับไปเท่านั้นเอง ขออ่านอีกนิดนะ แม่ไปนอนเถอะค่ะ” แพรธิมาส่งยิ้มให้มารดาว่าเธอไหว ที่ได้นอนหลับไปเมื่อครู่ก็สดชื่นขึ้นมากแล้ว
“ไม่ต้องฝืนก็ได้นะลูก ถ้าหนูไม่ไหวก็บอกพ่อเขาไปว่าไม่ชอบคณะที่เรียน” ชุติพรเองก็สงสารลูกสาวเหมือนกัน เธอรู้ว่าแพรธิมาต้องการเรียนนิเทศศาสตร์มากกว่าเรียนบริหารธุรกิจกับบัญชี แต่ที่ทำแบบนี้ก็เพราะขัดคำสั่งคนเป็นบิดาไม่ได้ ชีวิตของลูกสาวเธอจึงจมอยู่บนกองหนังสือเรียนพวกนี้ตั้งแต่เรียนปริญญาตรี
“ไหวค่ะแม่ แค่นี้เรื่องเล็กมาก จิ๊บๆ” หญิงสาวส่งยิ้มให้ เธอพยายามบอกมารดาทุกครั้งที่ถามว่าเรื่องเรียนบริหารนั้นเล็กมากสำหรับเธอ แต่ใครจะไปรู้ว่ามันไม่เข้ากับเธอเลยแม้แต่น้อย ชีวิตเธอชอบขีดๆ เขียนๆ ชอบจินตนาการ ออกแบบบ้าน ตกแต่งนั่นนี่มากกว่าที่จะมานั่งจำจุดแข็งจุดอ่อน โอกาสและอุปสรรคของสินค้าหรือคู่แข่ง ไหนจะมีเรื่องบัญชีเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
อย่างว่า ทางใครทางมัน คนที่เรียนบริหารกับบัญชีอาจจะมองว่าง่าย แต่คนไม่ชอบอย่างเธอให้มาเรียนเรื่องง่ายก็มองเป็นเรื่องยากไปหมด อ่านอะไรก็ไม่เข้าสมอง เธอถึงต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอ่านหนังสือก่อนสอบอยู่แบบนี้
“พริม ลูกตามใจพ่อมากไปหรือเปล่า” ชุติพรถอนหายใจออกมาหนักๆ ตั้งแต่เด็กแพรธิมาไม่เคยขัดใจเธอกับสามีเลย บอกให้ทำอะไรก็ทำจนบางครั้งเธอมองว่าลูกสาวไม่มีความสุข เป็นเหมือนตุ๊กตาไขลานที่สั่งให้เดินซ้ายขวา ไม่มีชีวิตจิตใจ
“ก็พริมมีพ่อแค่คนเดียว ไม่ตามใจพ่อกับแม่จะให้ตามใจใครคะ” แพรธิมาเอ่ยขึ้นจากหัวใจจริงๆ แต่ภายในก็ยังแฝงไปด้วยความน้อยใจบิดาอยู่ด้วย เพราะในสายตาบิดาดูจะมีเพียงพี่ชายเธอเท่านั้น บิดาคอยสนับสนุนพิษณุทุกอย่างให้ทำตามสิ่งที่ต้องการ แม้จะดรอฟเรียนไว้ก็ตาม แต่เธอบิดากลับเจาะจงให้เธอเรียนก็คือต้องเรียน ขัดคำสั่งไม่ได้
“จ้า...ลูกสาวแม่น่ารักที่สุด” ชุติพรคว้าลูกสาวเข้ามากอดเพื่อถ่ายทอดความรักให้ มีหรือที่เธอจะดูไม่ออกว่าแพรธิมาแอบน้อยใจบิดา
“รักมากก็กอดแน่นๆ หน่อยนะคะแม่” ว่าแล้วลูกสาวรั้งมารดาเข้ามากอดแน่น รวมทั้งชุติพรก็กอดตอบแพรธิมาแน่นเช่นเดียวกัน
“อ๊ากกกก แน่นเกินไปแล้วค่ะแม่” เมื่อหายใจไม่ค่อยออก แพรธิมาจึงขยับตัวยุกยิกไปมา
“นั่นไง แม่ว่าแล้ว” ชุติพรหัวเราะให้กับความน่ารักนี้ เธอเองก็พอจะมองออกว่าลึกๆ แพรธิมาคงน้อยใจบิดา เธอจึงให้เวลากับลูกสาวคนนี้มากหน่อย คอยเป็นทั้งมารดา เพื่อน และบิดาในยามที่ลูกต้องการ ลึกๆ เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจสามีเหมือนกันว่าทำไมถึงเลี้ยงลูกได้แตกต่างแบบนี้
ลูกชายสนันสนุนให้ทำกิจกรรมทุกอย่างโดยเฉพาะการแข่งรถโดยที่ไม่ห้ามอะไรเลย แต่ลูกสาวกลับเข้มงวดเรื่องการเรียน บังคับให้เรียนนั่นนี่ตั้งแต่เด็กๆ ให้เรียนอย่างที่เขาอยากให้เรียนโดยไม่ถามว่าแพรธิมาว่าต้องการสิ่งนั่นหรือเปล่า ลูกสาวเธอไม่เป็นคนเก็บตัวเงียบก็ดีเท่าไหร่แล้ว
