ตอนที่ 9 บทสรุปการประชุม
หลังจากที่ร่วมการประชุมมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน บทสรุปจึงได้ออกมาเป็นอย่างนี้ นั่นก็คือ ต้องแยกกันไปสืบข่าวตามแต่พื้นของตนเอง พื้นที่ไหนที่ยังไม่มีการเข้าไปสำรวจก็ให้แบ่งทีมกันไปรวมกลุ่มอยู่กับชาวบ้านคนธรรมดา โดยต้องมีพวกนักล่าร่วมกลุ่มด้วยอย่างน้อยหนึ่งถึงสองคนเป็นอย่างต่ำ
“ตกลงตามนี้ เพราะแต่ละคนเองก็มีพื้นที่ที่ต้องดูแลเป็นของตัวเองอยู่แล้วเพราะฉะนั้น ตามสืบข่าวรังใหญ่ของพวกมันมา แต่ถ้าเจอตามรายทางก็จัดการมันซะอย่าให้เจ้าพวกนั้นก่อเรื่องอีก” ราชาแวมไพร์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ตกลงตามนี้”ลาเฟ่ตอบตกลงโดยไม่เอ่ยขัดค้านอะไร
“พวกเจ้าพึ่งเดินทางมาถึงก็พักสักคืนก่อนแล้วค่อยเดินทางก็แล้วกัน”
“ขอบพระทัยราชาแวมไพร์มากพ่ะย่ะค่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกกระหม่อมขอตัวก่อน” ลาเฟ่ตอบออกมาก่อนจะเดินออกจากห้องโถงไป โดยมีคนนำทางไปยังที่พักตามไปด้วย
ส่วนคริสตัลนั้นก็ต้องมีส่วนร่วมในเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยความที่ว่าตัวเขาเองเป็น นัสเจสนิค ซานดร้า หรือที่เรียกว่าเป็นทายาทแห่งจันทราที่อยู่ในเรื่องเล่าหรือตำนานพันปีที่ตอนนี้กลายเป็นจริงของเหล่าแวมไพร์ไปแล้วนั้น ก็ต้องมีชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
เขาคิดมาตลอดว่าเรื่องเล่าที่ลูคัสเล่าให้ฟังรวมกับเรื่องเล่าที่ราชาแวมไพร์เล่าให้ฟังนั้นมันฟังดูอบอุ่นแปลกๆในความรู้สึก พลางคิดว่าตัวเองคงไม่ใช่ทายาทแห่งจันทราคนแรกแน่ๆ มันต้องมีมาก่อนหน้านั้นแล้วอย่างแน่นอน เพียงแต่พวกเขาอาจจะไม่เคยรู้ตัว
หรือไม่ก็คนพวกนั้นอาจจะตายไปก่อนที่พวกแวมไพร์จะเจอตัวก็ได้ ไม่ก็กลายไปเป็นอาหารของพวกยูเปียร์…
พอเถอะ อย่าคิดให้ปวดสมองเลย
แค่นี้ก็ปรับตัวแทบจะไม่ทันอยู่แล้ว
ในตอนนั้นเองที่คริสตัลกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเนื่องจากคนข้างๆที่เดินเงียบๆมาด้วยกันหยุดเท้าลงแล้วดึงเขาให้ไปหลบอยู่ด้านหลังของร่างสูงแทน
อะไร? จู่ๆก็หยุด ในตอนที่คริสตัลกำลังจะเปิดปากถาม ก็ปรากฏเสียงปริศนาดังแทรกขึ้นมาซะก่อน
“อะไรกันลูคัส”
“เจ้ามาขวางทางทำไม”
“ข้าแค่จะมาดูว่าที่สะใภ้ชายคนแรกของราชวงศ์แวมไพร์ของเราหน่อยไม่ได้หรือไงกัน”
“ถอยไปซะเอรีน่า”
คริสตัลจ้องมองแวมไพร์สองตนที่กำลังจ้องตากัน ตนแรกคือลูคัส แต่อีกตนคือใครกัน? จู่ๆก็รู้สึกร้อนที่อกขึ้นมาพอก้มหน้ามองดูก็เห็นสร้อยคอมันเรืองแสงอ่อนๆออกมา
หรือว่า!!
แวมไพร์หญิงตนนี้คือตัวอันตราย!?
“อะไรกันลูคัสเซียส ข้ามีศักดิ์เป็นแม่ของเจ้านะ ข้าจะมาดูหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ไม่ได้เลยหรือไงกัน”
“หึ ยอมรับแล้วหรือไงว่าเป็นแม่…”
หมับ!
เขาตัดสินใจคว้ามือของลูคัสมาจับแล้วสอดประสานมือเข้าหากัน มืออีกข้างกอบกุมสร้อยคอเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นตัวสร้อยที่เรืองแสงอ่อนๆออกมาได้
ส่วนลูคัสนั้นหลังจากที่ถูกคริสตัลจับมือไว้ เขาก็หยุดพูดแล้วหันไปมองหน้าร่างบางแทน
“กลับห้องกันเถอะครับ เราต้องเตรียมตัวนี่น่า” แต่ไม่รู้ว่าทำไมคริสตัลถึงได้พูดประโยคนั้นออกไปพร้อมรอยยิ้ม
แล้วคริสตัลก็ดึงมือลูคัสให้เดินตามตัวเองออกมาจากตรงนั้น ไม่รู้หรอกว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์อะไรแบบไหน แต่เห็นแบบนั้นรู้สึกไม่ชอบใจเอาซะเลย หรือจะเป็นเพราะการทำพันธะในคราวนั้น เขาเลยรู้สึกไม่ชอบใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น?
ไม่ใช่สิ มันคงไม่เกี่ยวกันหรอก
….
หลังจากที่ลูคัสโดนลากตัวผ่านไปต่อหน้าต่อตา ปล่อยให้หญิงสาวผมสีแดงยืนตัวสั่นด้วยความโกรธที่โดนมนุษย์นั่นลากคนของเธอเดินจากไป
“หน็อย! ข้าจะจัดการเจ้าไม่ให้เหลือแม้แต่เลือดที่ไหลเวียนในกายเลยคอยดูสิ!!”
“เลือดใครอย่างนั้นหรือ” เอรีน่าพลันสะดุ้งแล้วหันขวับกลับไปมองที่มาของเสียงที่มาอยู่ด้านหลังขอเธอตอนไหนก็ไม่รู้
“ท่าน!?”
“เป็นเมียข้าแล้ว ยังคิดจะไปยุ่งกับลูกชายข้าอีกงั้นหรือ เอรีน่า” เลโอเซียสกล่าวพลางก้าวเข้าไปหาสนมคนสุดท้ายของตนเองในทันที
“คิดว่าข้าเต็มใจเป็นเมียท่านมากอย่างนั้นหรือ เลโอเซียส”
“อย่าลำพองให้มันมากนัก ข้าขอเตือน”
….
หลังจากที่โดนคริสตัลลากตัวมาจนกระทั่งถึงห้องลูคัสก็ได้แต่เงียบ พลางก้มมองมือที่ยังคงรับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นจากฝ่ามือที่เพิ่งปล่อยออกไปไม่นานมานี้
“เธอคนนั้นเป็นใครเหรอครับ”
ลูคัสหลุดออกมาจากความรู้สึกนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของคริสตัล
“เธอคนนั้นเป็นคนอันตรายงั้นเหรอครับ”
“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น” ลูคัสถามพลางเดินไปทิ้งตัวนอนบนเตียง โดยมีร่างของคริสตัลตามมานั่งอยู่ข้างๆ
“ก็สร้อยมันเรืองแสงออกมา แล้วผมก็รู้สึกร้อนด้วยในตอนนั้น”
ลูคัสเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ถ้าสร้อยมันเรืองแสงจริง แต่ทำไมเขาถึงไม่เห็นล่ะว่ามันเรืองแสง คิดพลางผุดลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองหน้าเจ้าตัวทันที
“ทำไมฉันไม่เห็นว่ามันเรืองแสง?”
“ผมไม่รู้หรอกครับ แต่คราวก่อนตอนที่มันเรืองแสงเพราะคุณนั้นมันไม่ได้ร้อนเหมือนกับตอนที่เจอเธอคนนั้นเมื่อกี้…”
“ดูเหมือนเจ้าสร้อยนี้สามารถรับรู้ถึงอันตรายได้สินะ?”
ลูคัสพูดพลางจ้องเจ้าสร้อยนั้นที่ตอนนี้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย จะว่าไปตอนแรกที่จับมันก็ไม่ร้อนเหมือนกัน หรือว่าเขาจะเป็นข้อยกเว้น เพราะคือคนที่สร้อยกำหนดให้เป็นคู่ของเจ้าของมันกันนะ?
“ยังไงก็เถอะ ถ้ารู้แบบนี้ก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” เพราะซาลัมเอง ก็มาเตือนเขาให้ระวังเอรีน่าไว้เหมือนกัน
“แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั่งครับ อีกอย่าง พวกเราก็จะออกไปจากที่นี่แล้วนี่น่า”
ลูคัสนิ่งคิดก่อนจะถอนหายใจ เมื่อมันเป็นอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ ก่อนที่จะนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ แล้วหันไปมองคริสตัลที่ยังคงก้มหน้าแล้วพลิกตัวสร้อยไปมาก่อนจะเอ่ยปากถามออกไป
“ตอนนี้นายอายุเท่าไหร่?”
“ฮะ ผมเหรอ ผมอายุ 19 ครับ”
“นายเกิดวันไหน เดือนอะไร” ยังคงถามต่อไป
“ก็ใกล้แล้วละครับ สิ้นเดือนนี้แหละ ที่ผมจะอายุ จริงสิ! เรื่องเล่านั้นบอกว่าพลังจะตื่นเต็มตัวตอนอายุ 20 ปีเต็มนี่น่า! ”
….
หลังจากที่ได้ยินคำถามของลูคัส จู่ๆคริสตัลก็นึกเรื่องสำคัญออก ถ้าจำไม่ผิด ในส่วนของเรื่องเล่าที่ราชาแวมไพร์บอกเอาไว้ว่า พลังของทายาทแห่งจันทราจะตื่นขึ้นก็ต่อเมื่ออายุครบ 20 ปีเต็ม และนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดของเขาแล้วด้วย
คริสตัลยกมือขึ้นลูบสร้อยคอตัวเองอีกครั้งหลังจากที่นึกถึงเรื่องเล่าพวกนั้นขึ้นมาพลางคิดว่า นี้คือเรื่องจริงใช่ไหม? นี่คู่ของเขาเป็นผู้ชายไม่พอ แต่อีกฝ่ายดันเป็นแวมไพร์ราชวงศ์อีกด้วย
ถึงจะยังทำใจเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าเขาเองก็หลีกหนีชะตาไม่ได้เหมือนกันสินะ
“หิวหรือยัง”
“ไม่ครับ หรือคุณหิว” คริสตัลหันไปถามเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ข้างกันทันที
“แล้วถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ” คริสตัลจ้องมองนัยน์ตาของลูคัสที่ส่องประกายสีฟ้าขึ้นมาและไม่ทันตั้งตัว ร่างทั้งร่างของเขาก็ถูกลูคัสกดทับเอาไว้
คริสตัลจ้องมองนัยน์ตาของลูคัสไม่ละไปไหน
จะผิดอะไรไหม? ถ้าเกิดรู้สึกว่า ตัวเองเหมือนโดนเวทมนตร์อะไรบางอย่างให้รู้สึกหลงใหลไปกับแวมไพร์ตนนี้
คริสตัลยกมือขึ้นไปลูบไล้ที่แก้มเย็นชื้นของลูคัส อีกฝ่ายเพียงหลับตา แล้วปล่อยให้คริสตัลทำตามใจ เขาลากไล้ปลายนิ้วมือสัมผัสไปตามเค้าโครงใบหน้าที่ได้รูปนั้นอย่างเผลอไผลไปกับมัน
ผมสีน้ำตาลประกายทอง นัยน์ตาสีดำเทาที่ปรากฏแสงสีฟ้าวูบวาบ คิ้วคมเข้ม จมูกคมสัน ไหนจะริมฝีปากสีแดงที่สัมผัสมันมาแล้วถึงสองครั้ง พอคิดถึงตอนจูบกัน ใจคริสตัลกลับเต้นกระหน่ำจนเจ็บปวด!
“เมื่อไหร่…” แต่อีกฝ่ายก็พูดไม่ทันจบดี กลับเป็นเขาที่แนบจูบลงไปที่ริมฝีปากสีแดงของลูคัสแทน
คริสตัลพลิกตัวขึ้นคร่อมทับอยู่บนตักของลูคัส โดยที่ปากยังคงแนบสนิทละจากเลยสักนิด เขาสอดแทรกปลายลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจข้างใน แขนแกร่งโอบกอดร่างของเขาไว้ สะโพกก็บดเบียดเข้าหากายแกร่งที่เริ่มนูนแข็งให้ได้รู้สึก
“อย่า.. แฮ่ก” ลูคัสผละริมฝีปากออกไปก่อนจะพูดห้ามออกมา แต่คริสตัลนั้นอาการต่างออกไป..
“ผม ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย” แล้วเขาก็บดจูบลงไปอีกครั้งก่อนจะผละปากออกมาแล้วเงยหน้าขึ้น ลูคัสเองก็ทำได้เพียงลากสัมผัสร้อนๆของปลายลิ้นลงไปเรื่อยๆจนร่างกายของคริสตัลสั่นสะท้าน ก่อนที่จะรับรู้ได้ถึงคมเขี้ยวที่ลากผ่านผิวหนังช่วงลำคอลงไปยังไหปลาร้า
“อ่า! อื้อ! ลูคัส!” คริสตัลกรีดร้องออกไปพลางขยุ้มเส้นผมของลูคัสไว้แน่น เมื่อความเจ็บปวดได้แล่นริ้วขึ้นมาจากลำคอ เขากัดริมฝีปากกลั้นเสียงกรีดร้องเอาไว้อีกครั้ง เมื่อคมเขี้ยวที่ละออกไป ได้ฝังมันเข้ากับลำคออีกรอบ
เสียงหอบหายใจดังขึ้นอย่างถี่รัว ร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างควบคุมมันไม่ได้ ความรู้สึกและอารมณ์อันแปลกประหลาดวูบหนึ่งพัดพาให้สมองขาวโพลนไปจนหมด เมื่อแผ่นหลังของคริสตัลแนบลงไปกับเตียงนอน สติก็กลับเข้าร่างอีกครั้ง
“ให้ตายสิ เลือดนายแทบจะทำให้ฉันคลั่ง”
“คุณเองก็ทำเวทมนตร์ใส่ผมไว้เหมือนกัน”
….
หลังจบคำพูดของคริสตัล ลูคัสก็นิ่งค้างไปพลางคิดว่า ตัวเองร่ายเวทใส่อีกฝ่ายเมื่อไหร่กันก่อนจะกล่าวปฏิเสธออกไปเมื่อ เขาจำได้ว่าไม่เคยทำแบบนั้น
“ฉันเปล่า ฉันทำตอนไหนกัน?”
“ผมไม่รู้ รู้แค่ว่าผมไม่ชอบใจเลย”
“…?” ลูคัสได้แต่นิ่งแล้วขมวดคิ้ว ก้มหน้ามองคนที่อยู่ใต้ร่างของเขาอย่างตั้งใจฟังคำพูดต่อไป จู่ๆก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ทั้งๆที่แวมไพร์อย่างพวกเราจะไม่เคยรู้สึกถึงเรื่องพวกนี้เลย เพราะแวมไพร์ไม่มีลมหายใจเหมือนมนุษย์
หรือว่าที่รู้สึกแบบนี้ได้จะเป็นเพราะแม่แท้ๆของเขาเป็นมนุษย์และเขาก็เป็นครึ่งมนุษย์อย่างนั้นเหรอ?
ไม่ ไม่ใช่หรอก จะเป็นไปได้ยังไงก็แวมไพร์นะ คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าศพที่ตายไปแล้วนะ! แต่ทำไม
“ผมรู้สึกแปลกๆ ไม่ชอบเลยที่คุณไปคุยกับผู้หญิงคนอื่น และ..”
“และ?”
“ผมเหมือนจะต้องการคุณมากๆเลย”
แต่ทำไม กับแค่คำพูดของมนุษย์ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าถึงได้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาขนาดนี้กันล่ะ!!
สิ้นคำพูดนั้นของคริสตัล กลับเป็นลูคัสที่เริ่มจู่โจมคริสตัลแทน
ลูคัสก้มลงไปฉกชิมความหวานจากริมฝีปากสีพีชนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ลากไล้ปลายลิ้นมาตามลำคอที่ฝากฝังคมเขี้ยวเอาไว้ เขาถอดเสื้อของคริสตัลออกจนเผยให้เห็นผิวขาวที่หลบซ่อนอยู่ภายใน
แฮ่ก แฮ่ก
เสียงหอบหายใจน้อยๆกับหน้าที่ขึ้นสีแดงจัด ไหนจะยอดอกสีชมพูที่ล่อสายของเขาในตอนนี้อีก
นั้นมันช่างน่ากินซะเหลือเกิน แต่ลูคัสก็ต้องระงับอารมณ์ตัวเองเอาไว้ พลางทิ้งตัวลงไป ก่อนกระซิบบอกคนในอ้อมกอดว่า
“มันยังไม่ใช่ตอนนี้”
ตั้งแต่ตอนที่ได้ทำพันธะด้วยจูบกับดื่มเลือดเจ้าตัวไป ไหนจะเรื่องที่เขาดันเป็นคู่ในโชคชะตาที่ราวกับถูกกำหนดไว้
ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ถึงแม้ว่าเขาจะยังหลงเหลือความรู้สึกของรักครั้งแรกของตัวเองอยู่ แต่พอได้เจอคริสตัลคนนี้เข้าไป เขากลับแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
“ทำไม” เสียงที่ดูมีอารมณ์อยู่หน่อยๆดังขึ้น ลูคัสไม่รู้หรอกว่าที่ผ่านมาคริสตัลเคยมีคนรักหรือไม่ แต่ถ้าให้เดาจะคำพูดก่อนหน้านี้ที่บอกว่า เขาเอาจูบแรกของคริสตัลไป เกรงว่าคริสตัลคงไม่เคยมีคนรักมาก่อนนอกจาก ครอบครัว
“นายควรพักผ่อนก่อนหรือจะหาอะไรมากินก่อนดี”
“ผมพักผ่อนดีกว่าครับ ถ้าคุณจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”
ลูคัสถึงกับยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหัวให้กับตัวเอง รู้สึกอ่อนใจยังไงก็ไม่รู้ แต่ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธออกไป
“ฉันจะไม่ไปไหน นอนเถอะ”
ลูคัสรู้สึกว่าตั้งแต่เจอคริสตัล ตัวเองยิ่งแปลกไป ทั้งๆที่ผ่านมาแทบจะไม่สนใจใครเลย นอกจากน้องๆหรือคนที่สนิทชิดใกล้ แต่กับมนุษย์ผู้นี้ที่เพิ่งเจอได้ไม่เท่าไหร่
ลูคัสกลับยอมจนสุดหัวใจ
หรือควรจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามลิขิตของมันต่อไป เพราะยังไงก็ไม่ได้รังเกียจ ลูคัสลูบหัวของคริสตัล แล้วกอดไว้แนบกาย รู้สึกว่าพอมีร่างเล็กอยู่ใกล้ๆเขากลับนอนหลับได้อย่างสบายราวกับเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเลย
….
