ตอนที่ 3 สู่แดนมืด
คริสตัลที่นั่งรอและฟังที่ทั้งคู่คุยกันตั้งแต่ตอนที่ทำแผลเสร็จ จนถึงเวลานี้เขาก็เริ่มที่จะง่วงขึ้นมาทีละนิด สติเริ่มที่จะหลุดลอยออกไป ภาพเบื้องหน้าก็เริ่มที่จะพร่าเลือนขึ้นทุกที
คริสตัลทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาหลังจากที่คิดว่าคงจะพูดคุยกันอีกนาน ระหว่างนี้เขาก็ควรที่จะหลับสักนิดคงไม่เป็นอะไร เพราะหลังจากที่ทำแผลเสร็จ แวมไพร์ตนนั้นก็ให้เขากินยาแก้ปวดและแก้อักเสบไป
และคริสตัลพึ่งรู้ตอนนั้นเองว่าพวกแวมไพร์รู้จักพวกยาที่มนุษย์ใช้กินและรักษาตัวเองด้วย
….
ทุกอย่างล้วนปรากฏอยู่ในสายตาของใครบางคนที่แทบไม่ละสายตาจากร่างที่มีกลิ่นหอมหวานตรงหน้าเลยสักนิด จนได้บทสรุปว่าควรที่จะพาเจ้าตัวไปด้วย เพราะถ้าปล่อยไว้แบบนี้ อาจจะตายโดยไม่รู้ตัวก็ได้
“เอาละ พวกเราควรรีบไปกันได้แล้ว”
“เดียวข้าออกไปรอข้างนอกนะ”
“อืม”
ร่างสูงเดินเข้ามาหาไปคนที่กำลังนั่งหลับอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง และปลุกอีกฝ่ายให้หลุดออกจากห้วงนิทรารมย์
“ตื่นได้แล้ว นายก็ต้องไปกับเรา ที่นี่ไม่ปลอดภัย อีกแล้ว”
“อะ อื้อ หมายความว่าไง ทะ ที่ว่าไม่ปลอดภัยนะ”
….
คริสตัลกล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย เนื่องจากสติไม่อยู่กับร่าง และสงสัยในการกระทำของแวมไพร์ตรงหน้า
“ไม่ต้องถามมาก ถ้ายังอยากมีชีวิต” ร่างสูงส่งสายตามองไปรอบๆก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่กรอบรูปที่ตั้งอยู่บนหลังทีวี
“เก็บสิ่งที่จำเป็นและนั่น คงสำคัญเอามันไปด้วย ฉันจะไปรอข้างนอก”
และไม่ว่าจะเพราะสาเหตุอะไร คริสตัลก็รีบทำตามที่อีกฝ่ายบอกทั้งๆที่เขาแถบจะหลับได้ทุกเวลา ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปที่ร่างสูงส่งสายตาเป็นการบ่งบอกเป็นนัยให้รู้ว่านี่คือสิ่งสำคัญที่หมายถึง
ในกรอบรูปนั่นมีตัวเขามีพ่อและแม่อยู่ด้วยกัน คริสตัลยืนกอดมันและหลับตาลงสักพัก ก่อนกล่าวออกมา
“พ่อครับ แม่ครับ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผม แต่ ” คริสตัลเช็ดน้ำตาออกก่อนที่จะพูดต่อ
“แต่ผมจะกลับมา ฮึก กลับมาบ้านของเรานะครับ ฮือ”
“เราควรไปได้แล้ว”
“อะ! ครับ” คริสตัลรีบใส่กรอบรูปลงไปในเป้ที่มีเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆ รวมไปถึงอุปกรณ์ล้างแผลและทำแผลอีกเล็กน้อย ก็ได้เดินตามร่างสูงออกไปที่หน้าบ้าน ที่ตรงนั้น ไม่มีใครอยู่แล้วนอกจากค้างคาวที่บินผ่านไปมา
นั่นจึงทำให้คริสตัลสงสัยว่าเราจะเดินทางไปกันยังไง ในเมื่อพวกเขาแวมไพร์กันหมด ยกเว้นตัวเขาเองที่เป็นเพียงมนุษย์ เพียงหนึ่งเดียวในคณะเดินทางครั้งนี้
“เดียวนะครับ แล้วผมจะเดินทางไปกับพวกคุณยังไง”
“จับมือฉันไว้แล้วนายจะรู้เอง แต่ก่อนอื่น”
“…” คริสตัลเงียบและมองร่างสูงอย่างตั้งใจ
“บ้านนี้คงมีความหมายกับนายมากสินะ”
“ครับ” คริสตัลตอบรับก่อนจะเงยหน้ามองบ้านตัวเองที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนเขาก็มักจะมองเห็นพ่อกับแม่เสมอราวกับว่าพวกท่านไม่เคยจากไปไหนไกล และตอนนี้ตรงหน้าของเขากลับมองเห็นพ่อกับแม่ยืนโบกมือมาให้ พร้อมกับเอ่ยคำที่มักจะได้ยินประจำในตอนที่ต้องออกจากบ้านไป
‘กลับมาเร็วๆนะลูก พ่อกับแม่รออยู่รู้ไหม’
คริสตัลรู้ว่านั่นเป็นแค่ความทรงจำแต่เขาเองก็ห้ามมันไม่ให้ไหลไม่ได้ ตั้งแต่วันที่สูญเสียพ่อกับแม่ไป ไม่มีวันไหนที่จะไม่…
…คิดถึงพวกท่านเลย
“แล้วผมจะกลับมานะครับ พ่อ แม่” คริสตัลพูดเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ เพื่อฝากคำพูดนั้นไปถึงคนที่ตัวเองรักในทันที
“เอาละ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบเมื่อไหร่ แต่ขอให้รู้ไว้นายจะปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้ฉัน” หลังจากที่ร่างสูงพูดประโยคนั่นจบก็ทำอะไรบางอย่างกับบ้านของเขา
..เวทมนต์เหรอ?
ใช่หรือเปล่านะ แต่จะใช่ไม่ใช่ยังไงก็ไม่สำคัญเพราะตอนนี้นั้น กำลังปรากฏกำแพงโปร่งแสงขึ้นและมันกำลังล้อมรอบบ้านของเขาเอาไว้ตรงกลาง ราวกับจะปกป้องมันไว้
“คุณทำแบบนี้ทำไม” คริสตัลเอ่ยถามออกไป
“มันคือสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้องไม่ใช่เหรอ แลกกับการที่นายต้องไปจากที่นี่ชั่วคราว ฉันจะปกป้องมันไว้ให้เอง ไปกันเถอะ”
“แล้วเราจะไปกันยังไง ในเมื่อพวกคุณคือแวมไพร์ แต่ผมเป็นมนุษย์”
“แต่นายคือมนุษย์พิเศษ ที่เลือดภายในกายเรียกพวกยูเปียร์มา”
“เอ๊ะ?”
“เอาละ จับมือฉันไว้”
คริสตัลมองมือที่ยื่นออกมาอย่างชั่งใจ ถึงแม้จะยังสงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย แต่ในเมื่อเลือกแล้วว่าจะไป ก็ในเมื่อเตรียมพร้อมขนาดนี้แล้ว
“เชื่อใจฉันไหม”
“ผมต้องเชื่อใจคุณใช่ไหม”
“ใช่”
“งั้นผมเชื่อใจคุณ”
หลังจากที่พูดคำนั้นออกไปก็ได้วางฝ่ามือลงบนมือที่ยื่นออกมา ในตอนนั้นเองที่ร่างสูงดึงตัวคริสตัลเข้าไป แล้วแนบริมฝีปากลงมาอย่างรวดเร็ว และก่อนที่จะได้ทักท้วงอะไร ร่างกายของเขาและกระเป๋าก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลง
ร่างกายของคริสตัลหดเล็กลง ร่างกายก็เบาลงราวกับบินได้ เขาหันมองไปรอบตัวอย่างตื่นตกใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง สายตาก็ไปมองสบกับดวงตาสีดำประกายฟ้าเล็กน้อย
..แปลก
ค้างคาวอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเขาเองก็เป็นค้างคาวเหมือนกับอีกฝ่าย?
นั่นมันยิ่งทำให้คริสตัลอึ้งเข้าไปอีกจนเริ่มแน่ใจแล้วว่า ค้างคาวสามารถใช้เวทมนต์ได้ แต่มันเป็นไปได้ยังไงกัน
ค้างคาวตัวนั้นบินรอบๆตัวคริสตัลก่อนราวกับจะส่งสัญญาณหากัน และเหมือนมันได้ผล เพราะเขาสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งนั้น ราวกับคำพูดที่บอกว่า
‘ได้เวลาแล้ว เราไปกันเถอะ ตามฉันมาอย่าห่างจากฉัน’
และราวกับเข้าใจตรงกัน ไม่นานร่างของค้างคาวทั้งหก ก็โผล่บินตรงไปข้างหน้าพร้อมกันในทันที
ถึงแม้ว่าเวลาจะคลาดเคลื่อนจากที่กำหนดการไว้บ้าง เนื่องจากเจอเรื่องไม่คาดฝันระหว่างทาง
ไม่นานแดนมืดก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า และเมื่อกำแพงแบ่งเขตแดนนั้นใกล้เข้ามา ค้างคาวตัวหนึ่งก็ได้บินเอียงวนกลับมาอยู่ด้านหลังของแขกที่พามา แล้วตอนนั้นเอง หลังผ่านม่านกำแพงนั่นเข้าไป ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนอีกครั้ง
ร่างทั้งหกปรากฏขึ้นมาโดยที่ หนึ่งในหกนั่นกำลังทำหน้าตกใจเพราะร่วงหล่นจากความสูงนับร้อยเมตรอย่างไม่ตั้งใจ
“ว๊ากกก ช่วยด้วยยย!!!”
เสียงตะโกนดังลั่นทันที และนั่นก็เรียกความสนใจจากประชากรชาวแวมไพร์ให้หันไปมองยังต้นเสียง จึงได้เห็นว่ากำลังมีอะไรตกลงมาจากที่สูงด้วยความเร็ว และด้วยความที่ยังคงมีกลิ่นเลือดติดตัวมา มันจึงไม่ยากอะไรที่แวมไพร์ทั้งหมดจะตื่นตัว
….
แล้วก่อนที่อะไรจะเกินคาดไปมากกว่านี้ ร่างขององค์ชายรัชทายาทอันดับที่ 1 นามว่า ลูคัส ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้วรับร่างนั้นไว้ได้ทันที
“ยินดีต้อนรับสู่แดนมืด”
“ว้าว! ข้าตกใจแทบแย่แหนะท่านพี่ ฮ่าๆ” เสียงของวินเซนต์ดังขึ้นไม่ไกลเท่าไหร่
“หึ” ร่างสูงยิ้มขำออกมา ก่อนกระพือปีกค้างคาวอีกครั้ง เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
และหลังจากที่ลงสู่พื้นได้ ลูคัสก็ได้ปล่อยร่างเล็กที่ตัวสั่นในอ้อมแขนลงกับพื้น
ตุบ!
‘หึ ถึงกับแข้งขาอ่อนเลยทีเดียว’
“ถวายบังคมองค์ชายลูคัสเซียส องค์ชายวินเซนติโน่ ตอนนี้ทุกคนกำลังรอพระองค์อยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เรารู้แล้ว”
“นี่ๆ นายยืนไหวหรือเปล่า ฉันช่วยได้นะ” วินเซนต์เข้าไปพยุงร่างที่อ่อนปวกเปียกที่นั่งอยู่บนพื้นขึ้นมา
“ขอบคุณ คะ ครับ อะ องค์ชาย”
“ฮ่าๆ นายนี่มันตลกจัง เรียกฉันว่า วินเซนต์ก็ได้นะ”
“ไปกันเถอะ ทุกคนรอนานแล้ว”
ลูคัสพูดออกไปโดยไม่คิดสนร่างเล็กและน้องชายตัวเองเลยสักนิดก่อนที่จะออกเดินนำไป
“ละ แล้วผมต้องไปกับพวกคุณ ดะ ด้วยเหรอครับ” เสียงพูดเริ่มแผ่วเบาในตอนท้าย ลูคัสจึงหันหน้ากลับไป
“ถ้ายังไม่อยากตาย อย่าห่างจากฉัน จำไม่ได้หรือไง”
“คะ ครับ เข้าใจแล้ว”
