ตอนที่ 1 การพบกันที่คาดไม่ถึง
-มหาวิทยาลัยเบลเกรด-
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่หลังเลิกเรียนแล้วคริสตัลจะไปที่ห้องสมุดของมหาลัยเพื่อค้นหาข้อมูลที่คิดว่าน่าจะมีอยู่ในหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งภายในนั้น ถึงแม้ว่าความหวังที่จะได้พบกับข้อมูลสิ่งที่กำลังตามหาอยู่จะน้อยนิดก็ตามที
ไม่ว่าจะในหนังสือประวัติศาสตร์หรือแม้แต่สงครามโลกก็ไม่เห็นมี แล้วยิ่งในอินเทอร์เน็ตก็ยิ่งแล้วใหญ่เพราะมันไม่มีอะไรเลยนอกจากคอนโดที่พักที่ประเทศอะไรสักอย่างที่คริสตัลไม่เคยไปและมันก็อยู่ไกลเป็นอย่างมาก สงสัยจะหมดหวังในการตามหาข้อมูลที่หลงเหลือของสิ่งสิ่งนั้น
สิ่งที่ฆ่าพ่อแม่ตายไป
และด้วยความที่คริสตัลเป็นนักศึกษาใหม่ ทำให้ตอนนี้ยังไม่มีเพื่อนเลยสักคนที่จะพอให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ได้ เพราะเหตุนี้เขาจึงต้องดั้นด้นค้นหาด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้ก็คือความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย
สุดท้าย คริสตัลก็ต้องกลับบ้านมือเปล่าพลางถอนหายใจก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม ราวกับจะเปิดเผยจิตใจที่มัวหมองของเขาให้ปรากฏออกมาในรูปแบบอื่น พลางยกมือขึ้นมาจับจี้ที่ห้อยคอไว้อย่างไม่รู้ตัว
เปรี้ยงงง!!
สายฟ้าที่ฝ่าเปรี้ยงลงมาทำให้รู้สึกตกใจจนร่างกายสั่นไหวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกถึงความรู้สึกหวาดหวั่นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย จนกระทั่งตอนนี้ที่สูญเสียคนในครอบครัวไป และพอเสียงฟ้าร้องลั่นขึ้นมาอีกรอบนั่นจึงทำให้คริสตัลรู้สึกตัวแล้วรีบดึงสติตัวเองกลับเข้าร่าง ก่อนจะรีบสาวเท้าเพื่อไปให้ถึงป้ายรถเมล์ ก่อนที่เม็ดฝนจะตกลงมา
ซ่าาา
เสียงสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่หยุด ทำให้คริสตัลที่วิ่งมาถึงป้ายรถเมล์อย่างทันเวลาถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก จากพื้นที่โล่งๆตอนนี้ที่ป้ายรถเมล์กลับเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังจะกลับบ้านกลับที่พักต่างทยอยกันเข้ามายืนเบียดเสียดเพื่อรอที่จะขึ้นรถที่วิ่งผ่านที่พักของตัวเอง
ตอนนี้เขาเรียนปี1 มหาวิทยาลัยเบลเกรด ซึ่งเป็นสถานที่พ่อกับแม่เรียนจบ และพบรักกันที่นี่ ซึ่งเขาเองก็มีความหวังว่าจะได้เดินตามรอยเท้าพ่อกับแม่และพบรักที่แสนดี
แต่ให้หลังหนึ่งเดือนกลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นและเขาก็ยังคงทำใจไม่ได้กับการสูญเสียในครั้งนี้ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ สายฝนก็เริ่มเบาบางลง ผู้คนรอบๆตัวก็เช่นกัน ไม่นานรถประจำทางไปทางบ้านของคริสตัลก็มาถึง
สายฝนที่หยุดลงไปหลังจากที่รถเคลื่อนตัวออกมานั่นจึงทำให้คริสตัลถอนหายใจพลางคิดว่า
‘ดีแล้วจะได้ไม่เปียกตอนที่เดินเข้าบ้าน’
คริสตัลนั่งมองพระจันทร์ดวงโตดูเด่นเป็นประกายท่ามกลางก้อนเมฆที่บางตาที่วิ่งผ่านเมฆก้อนแล้วก้อนเล่าเพื่อตามเขามา ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่า มันไม่ได้วิ่งตามตัวเองมาหรอก มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นอยู่แล้วนั้นละ
เพียงแต่ว่าวันนี้พระจันทร์มันดวงโตกว่าทุกวันและสว่างกว่าทุกวันในความรู้สึกของคริสตัล นั่นกลับทำให้สร้อยคอที่สวมใส่เปล่งประกายขึ้นมาก่อนจะวูบหายไปอย่างที่เจ้าของไม่ทันรู้ตัว
….
-@Vem Café –
หลังจากที่เตรียมพร้อมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการล้างทำความสะอาดเครื่องทำกาแฟ ทั้งติดต่อร้านเค้กที่ทำธุรกิจกันมาสักระยะว่า ช่วงนี้จะหยุดเพื่อกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวกัน ส่วนพื้นที่ต้อนรับลูกค้าก็ถูกทำความสะอาดและจัดเก็บเรียบร้อยเป็นอย่างดี ไหนจะใบปิดประกาศหน้าร้านว่าจะปิดบริการชั่วคราวที่วินเซนต์เป็นคนจัดการ รวมถึงประกาศลงเพจโซเชียลที่ทุกคนล้วนให้ความสนใจ
ทั้งๆที่ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยดีแล้ว แต่เหมือนบางอย่างกลับไม่เป็นใจ
ตอนนี้ทุกคนต่างเตรียมพร้อมที่จะเดินทางกันแล้ว ทว่า ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่โดยไม่ทันตั้งตัว เลยทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักไปด้วย แต่เพียงไม่นาน ฝนจึงค่อยๆซาแล้วหยุดไป
“องค์ชาย ขอบพระคุณพ่ะย่ะค่ะที่ทรงประทานวันหยุดให้” เสียงลูกน้องหรือผู้ติดตามที่อยู่กับเขาเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นอะไรหรอก รัทโค เพราะแค่ที่ผ่านมาพวกเจ้าก็เหนื่อยมามากแค่นี้นิดๆหน่อยๆ ไม่เป็นอะไรหรอก” ลูคัสเอ่ยตอบกลับไป เพื่อให้ทุกคนสบายใจ
“ว้าว ข้าดีใจจังเลย องค์ชายรู้หรือไม่ว่าข้านะ คิดถึงครอบครัวใจจะขาด!”
“ฮ่าๆ ท่านพี่เห็นไหมข้าบอกท่านแล้ว ดูสิ ขนาด เรย์แมน ยังตื่นเต้นเลย”
ลูคัสส่ายหัวไปมาที่ทุกคนดูตื่นเต้นดีใจ แต่ดูเหมือนจะมีเพียงหนึ่งที่ดูเงียบไป เขาหันไปมอง ชารีฟ ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยยินดียินร้ายอะไร ก่อนเดินเข้าไปตบไหล่เจ้าตัวเบาๆ เพราะเขารู้ดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ดีใจ ก่อนจะกระซิบบอกออกไป
“สักวัน เราคงจะเจอพวกเขา สักวัน เตรียมตัวกันเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
ชารีฟส่งยิ้มอ่อนแรงไปให้ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม ไม่นานทุกคนก็เร่งออกเดินทางทันที ที่แสงจันทร์ส่องผ่านหมู่เมฆลงมา แล้วร่างทั้งร่างก็วูบหายไปจนเหลือแค่ค้างคาวตัวกระจิด ไม่กี่ตัวโผล่บินไปท่ามกลางสายลม
….
ห่างออกไป ณ ป่าแห่งหนึ่ง
แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก
เสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เนื่องจากเร่งฝีเท้าวิ่งหนีไปยังทางข้างหน้าอย่างสุดชีวิต ทำให้ริมฝีปากที่พยายามกลั้นเสียงเอาไว้หลุดรอดออกมาไม่ขาดสาย
กี๊ดดดด
เสียงร้องที่ดังไล่หลังมาทำให้คริสตัลได้รู้ว่า มันใกล้จะเข้าถึงตัวเองไปทุกที แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ยังกัดฟันวิ่งหนีต่อไปเพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้ เพราะสิ่งที่กำลังไล่ตามหลังมานั้น มันคือสิ่งที่ฆ่าพ่อแม่ของเขาไป ซึ่งมันคือตัวเดียวกับที่กำลังไล่ล่าเขาอยู่!
พลั่ก!!!
“โอ๊ยยย!!”
เสียงร้องโอดโอยหลุดออกมาเมื่อคริสตัลเผลอสะดุดเข้ากับกิ่งไม้อย่างไม่น่าให้อภัยจนเลือดไหลซิบออกมาและกลิ่นนั้น เหมือนจะยิ่งทำให้เจ้าตัวตรงหน้า มันแสยะยิ้มกว้างอย่างน่ากลัว พลางสาวเท้าเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้าราวกับจะปั่นประสาทกัน
“ยะ อย่า เข้ามานะ” แต่ตอนที่คริสตัลเริ่มที่จะตะเกียกตะกายจะหนีต่อ เจ้าสิ่งนั้นมันดันกระโดดข้ามหัวมาดักอยู่ตรงหน้าซะได้
กี๊ดดด!!!
….
ห่างออกไปไม่กี่ไมล์ กลิ่นเลือดที่ลอยมาตามลม ทำให้กลุ่มผู้เดินทางทั้งห้า ต่างต้องร่อนตัวลงพื้นก่อนที่จะปรากฏร่างของชายหนุ่มรูปงามทั้งห้าขึ้นมา
“กลิ่นเลือด” วินเซนต์พูดขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก เพราะไม่คาดคิดว่าเส้นทางที่ตนเองและพวกพ้องใช้เป็นเส้นทางหลักในการกลับแดนมืดทุกครั้ง ในยามนี้กลับมีกลิ่นเลือดปริศนาปรากฏขึ้นมาให้ได้กลิ่น แถมยังหอมหวานกว่ากลิ่นใดๆทั้งสิ้นที่เคยได้ลิ้มรสมา และมันปลุกสัญชาตญาณนักล่าภายในกายได้ดียิ่งนัก
“ข้าว่า เรารีบไปดูกันเถอะ ใจข้าดูร้อนรนแปลกๆตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว” ลูคัสพูดขึ้นมาพลางเงยหน้ามองดวงจันทร์ ที่จู่ๆก็กลายเป็นสีเลือดอย่างไม่ทราบสาเหตุทั้งที่ก่อนหน้านี้มันยังกระจ่างใสอยู่เลย ราวกับว่าตอนนี้ตัวมันเองกำลังบาดเจ็บอย่างไรอย่างนั้น และโดยไม่รั้งรอ ร่างกายก็ได้สลายหายไปกลายเป็นค้างคาวและมุ่งตรงสู่ที่หมายที่มีกลิ่นเลือดโชยมาทันที
“ท่านพี่ รอข้าด้วยสิ!!” วินเซนต์และคนที่เหลือพอเห็นแบบนั้นก็เร่งตามติดไปทันที
หลังจากที่ตามกลิ่นเลือดที่ลอยมาตามลม ภาพที่ปรากฏก็ทำให้ค้างคาวหนุ่มถึงกับผงะและตกใจ ก่อนจะรีบพุ่งร่างลงไป กลายเป็นชายหนุ่มแล้วส่งตัวเองเข้าไปกระโดดถีบที่ยอดอกของสิ่งที่กำลังจะกระโดดเข้าไปกัดกินและจัดการเหยื่อของมัน
“อย่า!!”
เสียงกรีดร้องที่ดังลั่นออกมาจากร่างบางที่แหกปากดังลั่นดวงตาที่ปิดสนิทจึงไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์เบื้องหน้า
พลั่ก!!! โครม!!!
กี๊ดดด!!
เสียงดังโครมใหญ่และเสียงร้องโหยหวน นั่นทำให้ร่างของชายหนุ่มผู้โชคร้าย ต้องค่อยๆลืมตาขึ้นมามอง อย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมตัวเองจึงไม่รู้เจ็บอะไรเลย
“ท่านพี่ นี่มัน!!” วินเซนต์ที่ตามมาถึงในเวลาไล่เรียงกัน ต่างมองสิ่งมีชีวิตตรงหน้าอย่างเครียดเกร็ง
“ยูเปียร์ พวกมันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ลูคัสพูดขึ้นเสียงเบาพลางถอยห่างออกมาเล็กน้อย แต่สายตายังจ้องมองเจ้าสิ่งนั้นไม่ละไปไหน แต่สิ่งหนึ่งกลับรบกวนจิตใจ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่อะไร มันคือเลือด ที่เป็นจุดหมายที่ทำให้เขาต้องพุ่งตัวมาอย่างรวดเร็ว
“แฮ่ก เลือด นายช่วยทำอะไรสักอย่างกับแผลของนายก่อนได้ไหม!!!” ลูคัสหันกลับไปตวาดใส่ร่างของชายหนุ่มที่นั่งตัวสั่นกลัว ด้วยใจที่ไม่สงบอย่างที่เคย
“นะ นั่นสิ น้องชาย กลิ่นเลือดนาย กำลังจะทำให้พวกฉันคลั่ง” วินเซนต์เอง ก็ถึงกับกัดฟันข่มความกระหายของตัวเองก่อนจะเอ่ยบอกร่างเล็กให้รู้ตัว เพราะตอนนี้ เขี้ยวของพวกเขาเองก็เริ่มงอกออกมาแล้วเช่นกัน
….
“คะ ครับ”
ด้วยความสั่นกลัวกับสิ่งที่เห็นตรงหน้านั่นมันทำให้มนุษย์เพียงหนึ่งเดียวแบบคริสตัลกำลังหวาดผวา ไม่ช้า เขาก็รีบวิ่งหนีออกมา เพื่อจัดการกลิ่นเลือดของตัวเองตามที่อีกฝ่ายบอกด้วยการวิ่งหนีไปให้ห่างอย่างรวดเร็ว โดยทางที่เขารีบวิ่งกลับไปนั้นคืออีกทางที่ไปยังบ้านของเขาเอง ไม่นาน เขาก็วิ่งจนหลุดพ้นออกมาจากป่า ทางข้างหน้าก็เป็นบ้านของตัวเองแล้ว
ไม่รอช้า หลังจากที่เข้าบ้านมาได้คริสตัลก็รีบปิดประตู หน้าต่างลงกลอนให้แน่นหนา ด้วยความหวาดกลัวที่ว่า สิ่งเหล่านั้นจะตามติดมาในภายหลัง
“มะ เมื่อกี้นี้มัน” เอ่ยออกมาด้วยความตะกุกตะกัก อย่างไม่หายตกใจกับสิ่งที่พุ่งตัวเข้ามาช่วยตัวเองเอาไว้
“วะ แวมไพร์ แวมไพร์แน่ๆ”
ปังๆๆ!!!
“เฮือก!!”
“เปิดประตู! เปิดเดียวนี้เลยนะ!”
….
หลังจากที่จัดการเจ้ายูเปียร์นั่นได้ พวกเราทุกคนก็รีบตามกลิ่นเลือดเจ้าปัญหามาทันที เพราะกลิ่นมันยังไม่จางหาย เลยทำให้รู้ว่าเจ้าของมันยังไม่จัดการแผลของตัวเองสักทีหลังจากที่หนีมา มันเลยทำให้ลูคัสรู้ว่าต้องไปที่ไหน
พอมาถึงก็ยิ่งมั่นใจจนต้องเรียกเจ้าตัวออกมาคุยให้รู้เรื่อง เพราะนี่คือการปรากฏตัวครั้งแรกของพวกยูเปียร์ ในเขตที่ลูคัสกับวินเซนต์ปกครองอยู่ และเขาคิดว่า พวกสมาคมนักล่าต้องรู้เรื่องอยู่แล้ว แต่ทำยังไม่แจ้งเรื่องนี้มาให้ทางเราทราบให้เร็วกว่านี้ก็ไม่รู้
“เฮ้ย นี่นาย!!”
“ท่านพี่ใจเย็นก่อน เขาอาจจะกำลังกลัว” ลูคัสหลับตาถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด แล้วถอยออกมาเพื่อให้น้องชายเป็นคนจัดการ พลางสอดส่ายสายตาไปรอบๆอีกครั้งเผื่อจะมีพวกมันโผล่ออกมา เพราะตอนนี้เขาไม่อาจจะรู้เลยว่า ในเขตทางฝั่งนี้ของเมืองที่เขาดูแลอยู่ มันมีพวกยูเปียร์อยู่กี่ตัว
“เฮ้! น้องชาย ช่วยเปิดประตูหน่อยเร็วเข้า” ในระหว่างที่วินเซนต์กำลังตะล่อมคนข้างในบ้าน ให้ยอมเปิดประตู ลูคัสก็เดินสำรวจ บริเวณรอบๆบ้านซะเลย เพื่อจะดูว่ามีช่องทางไหนที่สามารถลอดผ่านเข้าไปได้บ้าง แต่ประตูหน้าต่างก็ปิดสนิททุกบานเลย นั่นมันจึงทำให้เขาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
แต่แล้วสายตาของลูคัสก็ไปปะทะเข้ากับช่องระบายอากาศ นั่นจึงทำให้เขาต้องยกยิ้มขึ้น ก่อนที่จะสลายร่าง จนกลายเป็นค้างคาวตัวเล็กแล้วบินลอดหน้าต่างบานนั่นเข้าไปอย่างอุกอาจ จึงได้เห็นว่า ส่วนที่บินเข้ามาเป็นห้องน้ำ
แต่พอเข้าตัวบ้านมาได้ กลิ่นเลือดกลับยิ่งฟุ้งไปทั่ว และนั้นมันทำให้เขาขาดสติหนักกว่าเดิมแล้วพุ่งตัวออกไปทันที
