ตอนที่ 4
“ข้าขอนำตัวเฟลลันไปยังเมฆหมอกขาว” ชายชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มทำให้เฟลลันเริ่มงงกับสถานการณ์และไม่เข้าใจกับคนผู้นี้
“ไม่ได้เด็ดขาด! นี่เรื่องของไอมนต์ดำ เมฆหมอกขาวอย่าก้าวก่าย” ผู้ก่อตั้งไอมนต์ดำขึ้นเสียงแข็งค้านทันทีเมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝั่งที่ชิงดีชิงเด่นกันด้านพลังมานมนาน
“เจ้าเองคงยังไม่ลืมฟีเลีย รับปากสิ่งใดกับนางไว้สมควรทำตาม ยอมรับเถิดว่าหมดเวลาเจ้าแล้วต่อไปเป็นเวลาของข้า เฟลลันมีสายเลือดมนต์ขาวอยู่ครึ่งหนึ่ง เจ้านั้นรู้อยู่แก่ใจ” ชายชุดขาวกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงด้วยรอยยิ้มอบอุ่นส่งหาเฟลลันทำให้ผู้ก่อตั้งไอมนต์ดำเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจ
ป๊อก ป๊อก ป๊อก
“ข้าขอตัดสิน ในเมื่อเรื่องยังไม่คลี่คลาย ยกเฟลลันอยู่ในการปกครองของเมฆหมอกขาวเพื่อควบคุมความประพฤติ จบการตัดสิน”
ป๊อก ป๊อก ป๊อก
เคาะสามครั้งก่อนหายตัว เฟลลันขมวดคิ้วมองเจ้าของค่ายทั้งสองคนยืนประชันหน้ากันอย่างเชือดเฉือนทางสายตา แสงเทียนที่สว่างค่อยๆ ดับวูบลงจนมืดสนิท
ดวงตาสีน้ำตาลค่อยๆ ลืมขึ้นพร้อมประคองตัวนั่งมองผู้เป็นมารดากำลังเช็ดตัวให้ด้วยสายตาห่วงใย จีเนียสมองเธอแล้วอมยิ้มกวาดสายตามองทั่วรับรู้ว่าตนเองมาอยู่ในห้องนอน
“ดีขึ้นแล้วใช่ไหมจีเนียส” เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยพร้อมลูบหน้าจีเนียสเบาๆ
“ครับแม่ เอ่อ ผมจำได้ว่าเจอเรื่องแปลกแล้วก็โดนเด็กคนหนึ่งยิงลำแสงประหลาดใส่จนจุกไปทั่วท้อง แล้วก็…” จีเนียสพยายามนึกถึงสิ่งที่โดนกระทำมา
“จีเนียสเป็นล้มหมดแรงไป ลีนบอกแม่แล้วละ”
“แม่รู้จักลีนด้วยหรือครับ” จีเนียสเริ่มมีอาการงงกับผู้เป็นแม่ที่ยิ้มก่อนตอบ
“รู้จักดีด้วย”
กึก!
แรงสั่นสะเทือนความไหวของบ้านราวกับมีบางอย่างอยู่บนหลังคาทำเขาชักสีหน้าตกใจ แม่ของเขาจึงลุกขึ้นเปิดประตูหน้าต่างเลื่อนขึ้นทำให้จีเนียสขมวดคิ้วมองตามอย่างแปลกใจจ้องตาไม่กะพริบเมื่อมีบางอย่างบินเข้ามาด้านในทำเขาถอยกรูดติดหัวเตียง นกรูปร่างประหลาดขนาดเล็กเท่าฝ่ามือกางปีกขยายใหญ่เท่าครึ่งตัวคน มีไฟติดหางและหงอนบนหัวรวมทั้งขาและแขน ลามไปยันปีกที่มีประกายไฟส้มปะทุราวกับลาวาตลอดเวลา ลำตัวสีขาวสว่างปากแหลมคมกรงเล็บสะอาดเอี่ยมดวงตาลุกเป็นไฟคาบกระดาษสีน้ำตาลส่งให้แม่ของจีเนียสที่ก้มหัวให้ด้วยความเคารพผิดกับเขาที่กำลังค้าง ไฟปะทุร่างนกเริ่มเย็นเฉียบหลังส่งสาส์นเสร็จหดตัวบินออกไป แม่ของจีเนียสอ่านข้อความที่ส่งมาก่อนที่กระดาษนั้นจะเป็นฝุ่นผงในพริบตาทำให้เขาใจตกตาตุ่มสะดุ้งเฮือกชิดผนังจนเกือบผสานร่างนาบเข้าไปแต่สีหน้าผู้เป็นแม่กลับฉีกยิ้มราวกับมีเรื่องยินดี
“เจ้าของค่ายเมฆหมอกขาวเชิญจีเนียสร่วมเป็นหนึ่ง ท่านเล็งเห็นพลังลูกแล้ว”
“พะ พลังอะไรครับ ผมงง”
“อีกหนึ่งชั่วโมง รีบเก็บของได้แล้วจ้ะ แม่อยากให้จีเนียสทันอาคารค่ำของที่นั่น” เธอพูดจบก็เร่งรีบออกจากห้องโดยที่จีเนียสยังไม่ทันถามอะไร งงยังไงยังคงงงอย่างนั้นจนผู้เป็นแม่เข้ามาอีกรอบ เลิกคิ้วฉุดมือจีเนียสออกจากห้องทันที
เวลาผ่านสักพักใหญ่จีเนียสถูกไล่ไปอาบน้ำโดยผู้เป็นแม่รีบยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้อันใหญ่พอๆ กับของจัสมินให้เขาจนเวลาล่วงเลยมาทุ่มเศษ เสื้อยืดสีน้ำเงินแขนสั้นมีคอปกทับด้วยสูทดำเพิ่มความสุภาพและอบอุ่นคู่กับกางเกงดำมีกระเป๋าที่พร้อมเดินทาง ผู้เป็นแม่หันมองด้วยรอยยิ้มยกกระเป๋าพาจีเนียสเดินออกจากบ้านไปขึ้นรถ
“แม่ครับ เราจะไปไหนกัน” จีเนียสตัดสินใจถามทันทีเมื่อรถขับเข้ามาในป่า
“ที่ที่ลูกควรอยู่ตั้งแต่แรกเหมือนจัสมินไง” แม่เขาตอบพร้อมยิ้มบางๆ
“ไปหาจัสมินหรือครับ”
“ประมาณนั้น จีเนียสอาจปรับตัวยากหน่อยแต่คงไม่ยากเท่าไหร่ ลูกเป็นคนเรียนรู้เร็ว ฟังแม่นะจีเนียสฟังให้ดี เมื่อเห็นต้นไม้ใหญ่กวัดเกวียนไปมารูปทรงแปลกประหลาดให้หยุดนิ่งบอกชื่อต้นไม้ไป แล้วรับน้ำในขวดแก้วดื่มให้หมด เข้าใจไหม” เธอมองหน้าจีเนียสพยายามปลุกสติลูกชายให้กลับมาในขณะที่จอดรถอยู่หน้าเสาสองคู่ขนาดใหญ่สูงหลายฟุตเงยหน้ามองพอเห็นตัวอักษรติดป้ายว่ายินดีต้อนรับสู่ค่ายเด็กพิเศษ จีเนียสขมวดคิ้วเอียงคอมองนอกกระจกอ่านป้ายให้ชัดเจนส่วนแม่ของเขาลงจากรถเปิดท้ายเอากระเป๋าออกมาแล้วเดินมาจับไหล่ลูกชายที่ก้าวลงจากรถ
“อะ นี่ของลูก”
“เอ่อ” เขาอ้ำอึ้งแปลกใจในหลายเรื่องอย่างเรียบเรียงไม่ถูกมีแต่คำถามเต็มหัวรับกระเป๋ามาสะพายหลังอย่างงุนงง
“ลูกต้องมั่นใจว่าลูกทำได้ เป็นคนดีนะจีเนียส” เธอหอมหน้าผากลูกชายพร้อมสวมกอดตบหลังเขาเบาๆ ด้วยรอยยิ้มแล้วเดินนำจีเนียสไปที่ทางเข้า
“เข้าไปสิจีเนียส แม่ส่งลูกได้แค่นี้จริงๆ โชคดีจ้ะ” เธอจับไหล่ลูกชายด้วยความหนักแน่นก่อนผลักจีเนียสเข้าไปด้านในโดยที่เขายังคงเงอะงันงุนงง
“แม่! ” จีเนียสประคองตัวหันมองกลับหลังไม่พบแม้แต่บุคคลที่ผลักเขามีเพียงสายลมที่พัดเอื่อยทำให้จีเนียสเริ่มวิตกพยายามกวาดสายตามองหาทางออกสุดแสนสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเร็วจนจับใจความไม่ถูก จีเนียสก้าวเดินทีละก้าวมาหยุดอยู่ต้นไม้มากมายล้อมเต็มทั่วพื้นที่ เสียงโหยหวนของสัตว์ร้องกังวานจนเขาต้องยกมือลูบแขนคลายความหนาวเหน็บทะลุสูทจนเดินมาหยุดอยู่หน้าต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่สุดทางเดินไร้ทางไปต่ออีกทั้งยังอยู่บนเนินเขาสภาพพื้นดินเปลี่ยนไปจากเดิมโดนสิ้นเชิงในพริบตา จำเป็นต้องสติให้เร็วที่สุด เขายกเท้าก้าวถอยพลางลอบกลืนน้ำลายลงคอมองกิ่งไม้เริ่มสะบัดขยับหมุนเหวี่ยงเข้ามาใกล้ทำให้เขาต้องวิ่งหลบรากไม้จู่โจมเขาทั้งพุ่งชนรัดขาลากดึงตัวรัดเหวี่ยงจนร่างสะบักสะบอมกลิ้งตกกระเป๋าหลุดจากตัว