II : รับน้องก็ดี มันดี แต่ลองคิดดูอีกที (3)
เวลา 9.00 น. ที่ลานระหว่างตึกของคณะวิทยาศาสตร์ ตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาน้องใหม่ในชุดนักศึกษาใหม่เอี่ยม ที่คอของพวกเขาห้อยป้ายชื่อไว้ทุกคนเพราะถูกขู่ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว หากใครลืมป้ายมา เจอดีแน่!!
แต่ถ้าใครอยากรู้ว่าดีที่ว่านั้นเป็นยังไง จะลองดูก็ได้นะ
“น้อง ๆ ที่ลงทะเบียนแล้วก็ฝากกระเป๋าแล้วรีบเข้ามานั่งที่ได้เลยนะคะ เดี๋ยวกิจกรรมจะเริ่มแล้ว” รุ่นพี่สาวสองที่สวมชุดนักศึกษาหญิงยืนพูดอยู่ข้างหน้ารีบเอ่ยเรียก พาเลเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทำไมเขาไม่รู้ว่าต้องมีการฝากสิ่งของด้วย แต่ดีที่มีแค่กระเป๋าคาดอกใบเล็กมา เรียกได้ว่าในเนื้อตัวของพวกเขาทุกอย่างถูกรุ่นพี่เก็บไปหมดแล้ว ได้ยินเสียงประกาศมาเขาก็รีบไปนั่งต่อแถวทันที แถวชายหญิงแยกกันอย่างชัดเจน
“ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วนะคะ ต่อไปขอเชิญนายกสโมสรนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์มากล่าวเปิดงานค่ะ” และกิจกรรมรับน้องอย่างเป็นทางการก็เริ่มขึ้น ณ บัดนี้
แรก ๆ เริ่มธรรมดา ทุกคนยังนั่งฟังไปเรื่อย ๆ แต่ว่าเหมือนพวกรุ่นพี่แค่ปล่อยให้พวกเราตายใจ เพราะตอนนี้นั้น...
“อะไรกันครับ!! แค่นั่งฟังแค่นี้ก็เงียบไม่ได้เหรอ แล้วต่อไปจะทำยังไงได้ เป็นผู้ฟังแค่นี้ยังทำไม่ได้เลย!!!” เอาล่ะกู กูเจอเข้าแล้ว ความคิดในใจของหลาย ๆ คนที่นั่งอยู่ที่นี้ ณ เวลานี้ต้องคิดแบบนี้อย่างแน่นอน หลายคนส่งสายตามองเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้กันเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักหน่อยเพื่อระบายความรู้สึกที่เจอตอนนี้
“พวกผมพูดอยู่ก็มองหน้าพวกผมด้วยครับ ไม่ต้องไปมองหน้าเพื่อน ไม่ต้องคุยกัน!!” เสียงพูดที่เหมือนตะคอกดังมาอีกประโยค ทำให้ใครหลายคนสะดุ้งไปตาม ๆ กันเพราะคิดว่าดุตนเอง
ตอนนี้กลุ่มรุ่นพี่ระเบียบได้มายืนอยู่รายล้อมนักศึกษาใหม่ไว้แล้ว สายตาที่สาดส่องลงมา (รุ่นพี่ยืนอยู่) ยังนักศึกษาใหม่อย่างพวกเขาที่ยังนั่งอยู่นั้น ยิ่งกว่ากล้องวงจรปิดเสียอีก
แล้วเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้มีการแยกคนที่ป่วยหรือมีโรคประจำตัวออกไปก่อนแล้ว เพราะมันจะมีแบบนี้นี่เอง!!
“พวกผมมาวันนี้ก็ไม่ได้มาแค่เรื่องไร้สาระหรอกนะครับ หรือใครอยากจะด่าพวกผม หรือว่าผมก็เก็บไว้ในใจก่อนก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้ขอให้พวกคุณอยู่ในระเบียบ แล้วก็ร้องเพลงประจำสถาบันที่พวกคุณผ่านมาแล้ว ในพวกผมฟังอีกครั้ง จะได้ไหมครับ!!”
“ดะ ได้ค่ะ”
“ได้ครับ”
“อะไรคะ เสียงมีแค่นี้เหรอ”
“ก็คงใช่ล่ะครับ นักศึกษาใหม่อยู่ทั้งหมด 730 คน แต่ที่มาวันนี้แค่ 380 คนเท่านั้นเอง เสียงก็เลยเบาไป”
“แล้วเพื่อนพวกคุณไปไหนล่ะคะ”
“เพื่อนผมถามทำไมไม่ตอบครับ!!”
“...” มีแต่คำถามที่ส่งมา ส่วนเหล่าเพื่อนร่วมชตากรรมของพาเลที่นั่งอยู่ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงออกไปเลย ได้แต่นั่งนิ่งอยู่ก็เท่านั้นเอง
ไหนว่าเขายกเลิกพี่ว้ากไปตั้งหลายปีแล้วว่ะ แล้วที่เขาเจอนี่คืออะไรล่ะเนี่ย?? หลอนไปเองเหรอ???
รับน้องของคณะไม่อ่อนโยนกับพาเลคนนี้เอาเสียเลยยยย
หลังจากต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มรุ่นพี่เสียงดังนับชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็ลาลับกลับไปแล้ว แล้วก็มีกลุ่มรุ่นพี่นันทนาการเข้ามาแทน ความรู้สึกก็แบบถูกตบหัวแล้วก็ลูบหลังนั่นแหละ เพียงแค่ว่าคนที่ตบกับคนที่ลูบมันคนละคนกันเท่านั้นเอง กิจกรรมดำเนินต่อไปทั้งช่วงเช้ามีพักเบรกกินขนมและน้ำนิดหน่อย แล้วก็มีข้าวเที่ยงเลี้ยงด้วย ก่อนที่จะตะลุยรับน้องต่อในช่วงบ่าย
การรับน้องก็เป็นไปอย่างสนุก หรือจะไม่สนุกก็มีพวกรุ่นพี่ระเบียบลงมาจัดระเบียบช่วงบ่ายอีกชั่วโมงนั่นเอง แต่ก็ว่าไม่ได้ ในความกดดัน มันก็สร้างคนกล้าขึ้นมาได้
แต่จะไม่มีก็ยังดีเสียกว่า!!
ถึงว่าคนมากมายคัดค้านขอให้ยกเลิกการว้ากไป แต่ก็ยังมีการจัดอยู่บ้าง โดยการลดเวลาว้ากลงหรือว่าว้ากให้เบาลงนั่นเอง หรือไม่ก็เปลี่ยนชื่อเรียกไป...
และแล้วพาเลก็ต้องแบกสงขารกลับหอในช่วงเย็นของวัน ทำความรู้จักกับเพื่อนได้บ้างเช่นกัน แต่เขาก็ยังไม่ได้สนิทกับใคร เลยกลับหอไปกินข้าวร้านใกล้หอตามเดิมอยู่ดี
การรับน้องของคณะดำเนินไปแล้ว 4 วัน ในที่สุดวันพรุ่งนี้ก็จะเปิดเรียนอย่างเป็นทางการเสียที
แต่ ๆๆ แต่อย่างคิดว่าการรับน้องมันจบลงแล้วนะ เพราะช่วงเย็นของบางวันที่นักศึกษาปี 1 ว่างตรงกัน ก็จะถูกนัดรวมมาทำกิจกรรมนี้อีกอยู่ดี แต่ตามตารางก็ยังได้หยุดพักหลายวันอยู่ แต่วันพักที่ว่า ก็คือต้องเรียนน่ะนะ...
