ตอนที่ 5 ชีวิตใหม่
LOVE SHOP ร้านลับซ่อนสเน่หา
บทที่ ๕
ชีวิตใหม่
"ดูแลตัวเองดีๆ นะอีดวง ไม่ไหวก็กลับบ้านเรา พ่อกับแม่รอเอ็งเสมอ" ดวงศรีสวมกอดลูกสาวด้วยความรัก
"จ้ะแม่ ไปถึงฉันจะรีบส่งข่าวมาหาแม่ทันที แม่ไม่ต้องห่วงนะ" ดวงสวาทสวมกอดมารดาซึมซับความรู้สึกตอนนี้ให้ได้มากที่สุด เก็บไว้วันไหนที่เธอเหนื่อยบ้าเธอจะคิดถึงอ้อมกอดนี้เสมอ
กว่าดวงสวาทและนวลพรรณจะมาถึงจุดหมายปลายทางเวลาก็พลบค่ำไปเสียแล้ว เธอจำได้ว่ากรกมลทำงานแถวนี้เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าร้านที่กรกมลทำอยู่ อยู่ตรงไหน
"อีแดงมันทำอยู่ซอยถัดไปนู้น เอ็งไม่ต้องกังวลไปหรอก เราทำคนละร้านกับมัน ไปพี่จะพาเอ็งไปรู้จักมาม่าซัง แล้วจะได้พักผ่อนกันเสียที" นวลพรรณพูดก่อนจะก้าวฉับๆ เข้าไปในร้าน ดวงสวาทเดินตามเข้าไปจนพบกับผู้หญิงอายุสักประมาณห้าสิบปีเห็นจะได้
"นี่แม่จินตา เป็นมาม่าซังของที่นี่ เรียกแม่จินเหมือนพวกพี่ก็ได้ อยู่ที่นี่จะมีแม่จินคอยดูแล มีปัญหาอะไรก็บอกแกได้ตลอด" นวลพรรณอธิบาย
"สวัสดีจ้ะแม่จิน " ดวงสวาทยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะเหลือบมองไปรอบๆ ร้าน แม้จะเป็นตึกสามชั้นกว้างสามคูหา แต่ภายในมันกลับน่าอึดอัดเสียจนหายใจลำบาก แสงไฟสีต่างๆ ถูกเปิดจนทำให้เวียนหัวไม่น้อย
"คนนี้นะหรอที่เอ็งบอกจะพามาทำงานด้วย" จินตาหันไปถามนวลพรรณ หญิงสาวพยักหน้าเป็นการตอบรับ จินตาลึกขึ้นมาสำรวจดวงสวาทอย่างพิถีพิถันก่อนจะเอ่ยปากชม
"สวย"
"ฉันหรอจ้ะ" ดวงสวาทชี้เข้าหาตัวเอง เธอไม่เคยถูกชมว่าสวยเลยสักครั้ง เลยอดที่จะถามให้แน่ใจว่าที่จินตาชมว่าสวยนั้นหมายถึงเธอจริงจริง
"เออ เอ็งนั่นแหละ สวย ไม่ต้องทำหน้างง จำไว้นะไม่ว่าคนแถวบ้านเอ็งจะพูดถึงเอ็งแบบไหน แต่เอ็งอยู่ที่นี่เอ็งเป็นคนสวย"
"ฉันสวยได้หรอจ้ะ"
"บ้ะ อีนี่ก็กูบอกอยู่ว่าสวย หน้าแบบนี้ รูปร่างแบบนี้พวกฝรั่งมังค่ามันชอบนักเชียว" จินตาพูดอย่างอารมณ์ดี รู้สึกถูกชะตากับดวงสวาทไม่น้อย
"อีนวลมึงพาน้องมึงไปดูห้องพักเสีย เก็บข้าวเก็บของให้เรียบร้อย วันนี้ยังไม่ต้องให้มันทำงานหรอก แต่ให้มันลงมาดูคนอื่นทำงาน มันจะได้เป็น แล้วอย่าลืมบอกมันด้วยนะว่าอะไรยังไง" จิตากำชับนวลพรรณอีกครั้ง
"จ้ะแม่ ไปดวง ตามพี่ไปดูห้องดีกว่า" นวลพรรณพาดวงสวาทมายังห้องห้องนึงซึ่งอยู่บนชั้นสาม ห้องมีขนาดห้าตารางเมตรเห็นจะได้ มีเตียงห้าฟุตตั้งอยู่ตรงกลาง ด้านข้างมีตู้เสื้อเสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และมีห้องน้ำภายในตัว
"ห้องนี้หรอจ้ะพี่นวล"
"ห้องนี้แหละ"
"ทำไมใหญ่จัง"
"ก็ร้านเราเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ คนที่พักที่นี่ก็จะใช้ห้องตัวเองรับแขกไปในตัว มันเลยใหญ่หน่อย ส่วนพวกที่ไปเช่าบ้านที่อื่นแล้วมาทำงานที่นี่ก็จะมีห้องสำหรับชั่วคราวอยู่ชั้นสอง" นวลพรรณอธิบาย ดวงสวาทพยักหน้าอย่างทำความเข้าใจ หมายถึงห้องที่เธอได้อยู่ไม่ได้เป็นห้องส่วนตัวสินะ แต่หมายถึงห้องทำงานที่มีไว้พักผ่อนบางเวลาเท่านั้น
"ส่วนเรื่องเงินเดือน ถ้าเป็นคนอื่นที่เขาไม่ได้พักที่ร้านเขาจะได้สามพันบาท ส่วนดวงกับพี่จะได้สองพันห้าร้อยบาท ลูกค้าซื้อเบียร์ให้เราหนึ่งขวด เราจะได้เป็นเงินยี่สิบบาท เขาเรียกกันว่าค่าดื่ม แต่ถ้าหากเป็นเหล้าจะได้แก้วละสามสิบบาท คอกเทลก็เหมือนกัน ดวงกินเบียร์กับเหล้าเป็นไหม?" นวลพรรณลืมเรื่องนี้เสียได้ ทันที่ที่ดวงสวาทส่ายหน้าปฏิเสธเธอก็พบปัญหาที่กำลังจะตามมา
"ไม่เป็นก็ต้องหัดนะดวง เรามาทำงานร้านของเขาเราต้องขายของช่วยเขา เขาทำบาร์เขาก็ต้องขายเหล้าขายเบียร์ หากลูกค้ากินเราสามารถขอได้ ยิ่งเราขอได้เลยอะ ร้านก็จะขายได้เยอะ เราก็จะได้เงินเยอะ"
ดวงสวาทตั้งใจจดจำสิ่งที่นวลพรรณพูด ทุกอย่างช่างดูง่ายดายไปเสียหมด แต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงความง่ายสักนิด
"แล้วก็ถ้าลูกค้ามาออฟเรา อ้อ หมายถึงมาซื้อตัวเราไปนอนด้วย เราต้องให้ลูกค้าจ่ายค่าตัวเราก่อนนะแล้วต้องให้ลูกค้าจ่ายค่าบาร์ด้วย"
"จ่ายค่าบาร์หรอจ้ะ?" คำพูดของนวลพรรณมีคำศัพท์ใหม่ใหม่ให้ดวงสวาทแปลกใจอยู่เสมอ
"ใช่ หากเราไปชั่วคราวหนึ่งชั่วโมง ทางร้านจะเก็บสามร้อยบาท แต่หากไปทั้งคืนร้านจะเก็บห้าร้อยบาท"
"ทำไมเราต้องให้ร้านล่ะจ้ะ แล้วค่าตัวของเราล่ะพี่นวล" ดวงสวาทอดที่จะถามไม่ได้ นอกจากค่าเครื่องดื่มที่เธอจะได้จากการขอดื่มลูกค้าเธอยังไม่เห็นสิ่งที่เธอจะได้เพิ่มอีกเลย นวลพรรณพูดเพียงแต่เธอต้องเสียค่าอะไรแค่ไหนเท่านั้นเอง
"มันก็เหมือนเราเช่าที่เขาทำมาหากินนั่นแหละดวง ถ้าเราหาเงินได้เราก็ต้องจ่ายค่าเช่าที่ ยิ่งเราหาได้เยอะเราก็ต้องจ่ายเยอะ แล้วไอ้ค่าบาร์ที่พี่พูดถึงดวงไม่ต้องเป็นคนจ่ายก็ได้ ให้ลูกค้าเป็นคนจ่าย ลูกค้าแถวนี้เขาจะรู้ธรรมเนียมของที่นี่ดี ส่วนเรื่องค่าตัวมันก็แล้วแต่เราจะเรียก"
"แล้วพี่นวลเรียกครั้งละเท่าไหร่ล่ะจ้ะ"
"ถ้าชั่วคราวพี่ก็เรียกครั้งละประมาณหนึ่งพันห้าร้อยบาทถึงสองพันบาท แต่ถ้าไปค้างคืนก็เรียกราคาสามพันบาทถึงห้าพันบาท เป็นมาตรฐาน" ฟังจำนวนเงินที่นวลพรรณพูดแล้วอดตาโตไม่ได้ มิน่าล่ะนวลพรรณถึงมีเงินไปไถ่ถอนที่นาให้พ่อกับแม่ รวมถึงบ้านหลังใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ เพราะตั้งแต่เกิดมาแม่ของเธอไม่เคยมีเงินติดตัวเกินห้าร้อยบาทเสียที
"แล้วแบบฉันต้องเรียกประมาณเท่าไหร่จ้ะ"
"แบบดวงเรียกได้เยอะกว่ามาตรฐานอยู่แล้ว ลูกค้าน่าจะสู้ราคายอมจ่าย ถ้าชั่วคราวลองเรียกสักสามพันบาทดู แต่ถ้ายังไม่กล้าเรียกราคามาตรฐานก่อนก็ได้" นวลพรรณพูดอย่างเอ็นดู ตอนแรกหญิงสาวคิดว่าดวงสวาทจะปฏิเสธ เพราะในหมู่บ้านต่างบอกว่าหญิงสาวเป็นเด็กดี เรียนเก่ง จนวันที่ดวงสวาทมาตอบตกลงที่จะขึ้นมาทำงานกับเธอ เธอพยายามถามย้ำหลายรอบ แต่ดวงสวาทก็ให้เหตุผลแต่ว่า
"ฉันอยากให้พ่อแม่ฉันสบายบ้าง พวกแกลำบากมาเยอะแล้ว"คำพูดนั้นช่างประทับจิตของนวลพรรณ เพราะเธอเองก็ไม่ต่างจากดวงสวาทที่เลือกทำอาชีพแบบนี้เพราะอยากให้คนข้างหลังสุขสบายกว่าที่เป็นอยู่
"ถ้าอย่างนั้น นวลก็พักผ่อน อาบน้ำอาบท่า อีกสามชั้วโมงพี่จะมาพาลงไปดูเขาทำงาน"
"ทำวันนี้เลยไม่ได้หรอจ้ะ"
"ไม่ต้องรีบหรอก ไปดูเขาก่อน เวลาทำจริงจะได้ไม่เงอะงะ พี่ไปล่ะ" นวลพรรณลูบหัวดวงสวาทอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ดวงสวาทกวาดสายตามองรอบห้อง แม้ทุกอย่างภายในห้องนี้จะทำให้เธอสุขสบายกว่าที่บ้าน แต่มันกลับไม่ทำให้เธอสุขใจสักนิด หญิงสาวสะบัดศีรษะก่อนจะลุกไปเปิดกระเป๋าหาผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำชำระร่างกายเตรียมพร้อมเพื่อลองไปดูการทำงานตามที่นวลพรรณได้นัดหมายไว้
"สู้สิวะอีดวง มาขนาดนี้แล้วถอยไม่ได้แล้วนะเว้ย"
