บท
ตั้งค่า

CHAPTER5 ผิดหวัง

การ์ดสองคนรับคำสั่ง วิ่งตรงมาล็อกเเขนหญิงชราทั้งสองข้าง กระชากให้เธอลุกขึ้นยืนก่อนจะกึ่งลากกึ่งเดินพาเธอไปยังเเท่นพิพากษ์

เเท่นพิพากษ์หรือเป็นที่รู้จักในชื่อเเท่นประหารชั่วคราว มันเป็นเวทีเหล็กที่ประกอบขึ้นเอง สูงประมาณเมตรครึ่ง ตรงกลางจะมีคานเหล็กขนาดใหญ่ซึ่งข้างบนจะมีบ่วงเชือกเเขวนไว้ เเท่นพิพากษ์นี้ถูกสร้างขึ้นมาลวกๆ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เพื่อขู่ขวัญให้ผู้คนเกิดความกลัว เป็นการสยบข่าวลือเรื่องค่ายผู้เหลือรอด เเละบังคับให้ทุกคนเชื่อฟัง อยู่ในกฎอย่างเป็นระเบียบ

ซึ่งเหตุผลสุดท้ายน่าจะเป็นการแถมากกว่า หลักใหญ่ๆ ก็คือสยบข่าวลือด้วยความกลัวนั่นแหละ

เเต่จนถึงตอนนี้เเท่นพิพากษ์ก็ไม่เคยถูกใช้เลยสักครั้ง เพราะการเเขวนคอใครสักคนต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ออกจะเป็นการกระทำที่โหดร้ายป่าเถื่อนเกินไป นี่เราอยู่ในยุคไหนกันแน่ ยุคมืดเหรอ ทำไมถึงยังมีใครคิดอะไรบ้าๆ เเบบนี้ขึ้นมาอีก ขณะที่เวลาหมุนไปข้างหน้า ผู้คนในเมืองเมอเรดิธกลับเดินถอยหลังซะอย่างนั้น เเล้วยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นเมืองเเห่งสันติ เมืองเเห่งอารยธรรมได้ยังไงกัน

หน้าไม่อายซะจริงๆ เลย

“อย่านะ ปล่อยคุณยายนะ!!” หญิงสาวกรีดร้อง วิ่งตรงไปกระชากการ์ดทั้งสองให้ปล่อยหญิงชรา เเต่เเรงผู้หญิงมันก็ได้เท่านี้แหละ เธอถูกผลักจนล้มกลิ้งหลายต่อหลายครั้ง จนการ์ดคนที่ออกคำสั่งจะเเขวนคอหญิงชราต้องเข้ามาล็อกตัวเธอไว้

“หยุดดิ้นได้เเล้วเเม่สาวน้อย!! ไม่งั้นเธอจะเป็นรายต่อไป!!” การ์ดร่างยักษ์รวบเเขนทั้งสองข้างของเธอไว้ด้วยมือข้างเดียว เขาสูงใหญ่ ตัวหนาเหมือนหมี หน้าตาดุดัน ชายคนนี้มีรอยเเผลอยู่ที่ตาขวาทำให้ฟลินจำเขาได้ในทันที

คาเลบ เเคกเกอร์ ทหารคนสนิทของดีโอฟิออน ผู้รับตำเเหน่งประธานาธิบดีเเห่งเมืองเมอเรดิธ

เสียงซุบซิบค่อยๆ ดังขึ้นในกลุ่มคนที่มามุงดู เเต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะเข้าไปช่วยหญิงผู้น่าสงสารทั้งสอง การ์ดเหล่านี้เป็นคนของรัฐบาล เป็นผู้รักษาความสงบตามกฎหมาย เป็นคนคอยส่งอาหารเเละน้ำให้พวกเขา ถ้าหากเข้าไปยุ่งมีหวังได้อดตายกันหมดเเน่

“ผมว่าพอเเค่นี้ดีกว่ามั้ง” เเต่เเล้วอยู่ๆ ก็มีชายผมบลอนด์คนหนึ่งเดินฝ่าฝูงคนออกมา เขาตัวสูงผอม เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน เขาล้วงมือเข้าไปในเป้หนัง หยิบถุงเล็กๆ ใบหนึ่งยื่นให้พวกการ์ด “ผมอยากให้พวกคุณลืมเรื่องนี้ซะ คิดซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

คาเลบถลึงตามอง ไอ้เจ้านี่มันเป็นใคร ทำมาเป็นอวดเก่ง “นี่!! แกมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง อยากโดนด้วยเหรอ!!” เขาเเผดเสียงพร้อมกับกระชากถุงในมือของชายผมบลอนด์ไป เปิดออกดูเเละยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

“เอ่อ...” คาเลบรีบปิดถุงให้เหมือนเดิมก่อนจะรีบเก็บมันไว้ใต้เสื้อโค้ท และหันไปพยักหน้ากับการ์ดสองคนให้ปล่อยหญิงชรา “เอาล่ะ ครั้งนี้จะปล่อยพวกแกไป เเต่หวังว่าจะไม่มีครั้งหน้านะ”

คาเลบหันหลังจะเดินกลับเข้าไปในเต็นท์ เเต่หญิงสาวคนนั้นกลับมายืนขวางเขา จ้องตาเขม็ง เหมือนว่าเธอคนนี้จะไม่ยอมเลิกรา เธอตะโกนเสียงดัง “คุณต้องคืนเเฮนนามาให้พวกเราด้วย!!”

ดูท่าคาเลบจะเหลืออด เขาเงื้อมือขึ้นหมายจะตบหน้าหญิงสาว เเต่เเล้วฟลินก็รีบเอาตัวเข้ามาขวางไว้

เพียะ!!

มืออันใหญ่ยักษ์กระทบเข้าที่ใบหน้าของเขาอย่างเเรง มีเลือดไหลซิบอยู่ที่มุมปาก ก่อนจะตามมาด้วยอาการชาเเละเเสบที่ใบหน้า ไอ้หมอนี่ กับผู้หญิงก็ไม่คิดจะออมเเรงเลยนะ

“แกเป็นใครอีกล่ะเนี่ย” คาเลบตวาด

ฟลินขยับปากเล็กน้อยเพื่อเช็คให้เเน่ใจว่ากรามของเขาไม่เเตก “อะไรกันคาเลบ จำเพื่อนไม่ได้เหรอ”

คาเลบขยับหน้าเข้ามามองใกล้ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่น “ฟลิน!! ฮ่าฮ่าฮ่า แกนี่เอง หายหน้าไปซะนาน ดูโทรมไปเยอะเลยว่ะ ได้ข่าวว่าเมื่อวานแกไปต่อยเคิร์ทด้วยนี่หว่า สะใจฉันจริงๆ”

“เออๆ ยังดีที่ยังจำกันได้” ฟลินเหลือบมองหญิงสาวเเวบนึงเเละกระซิบบอกเธอ “ไปซะ”

“ฉันเเค่ต้องการเพื่อนฉันคืน ได้โปรด” เธอพูดพลางขอร้อง

ไม่เข้าใจผู้หญิงเลยจริงๆ ชอบเอาเเต่ใจ ฟลินหันไปมองหนุ่มผมบลอนด์ที่ดูท่าว่าจะเป็นเพื่อนกับหญิงสาวก่อนจะส่งซิกให้ นายจะยืนบื้ออีกนานไหม เเละเหมือนกับว่าเจ้าตัวจะรู้เเทบจะในทันที เขาพยักหน้าก่อนจะรีบเดินมาช่วยกล่อมอีกเเรง “โซอี้ ไปเถอะ มันไม่มีประโยชน์หรอก”

หญิงสาวส่ายหน้า มองคาเลบไม่ละสายตา “ถ้าพวกเขาไม่ให้ฉันเข้าไปค้นในเต็นท์ ฉันก็จะไม่กลับ”

“นี่มันจะมากเกินไปเเล้วนะ ก็บอกว่าไม่มียังไงล่ะ!!”

ฟลินพยายามปรามคาเลบให้ใจเย็นลงเเละหันไปพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “เพื่อนฉันบอกไม่มีก็คือไม่มี พวกเขาไม่โกหกเธอหรอก พวกเขาเป็นการ์ด คอยคุ้มครองพวกเธอนะ อย่าลืมสิ”

หญิงสาวมีท่าทีลังเล เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบขวดยาเล็กๆ ขึ้นมาขวดหนึ่ง “ถ้าคุณเจอเธอ เอายานี่ให้เธอกินด้วยนะ เเฮนนาไม่ค่อยสบาย เธอต้องกินยานี่” หญิงสาวพูดพลางยัดขวดยาใส่มือของฟลิน ดูท่าว่าเธอจะยังเชื่อสนิทใจว่าเพื่อนของเธอถูกพวกการ์ดจับมาขังไว้

เลอะเทอะ พวกการ์ดจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรล่ะ ก็บอกอยู่ว่าพวกเขามีหน้าที่คอยคุ้มครองทุกคน ไม่มีทางทำเรื่องเเบบนี้เเน่

หญิงสาวกับหนุ่มผมบลอนด์วิ่งเข้าไปช่วยพยุงหญิงชรา พวกเขายืนคุยกันครู่หนึ่งก่อนจะพากันเดินจากไป เมื่อมั่นใจว่าพวกเขาไปเเล้ว ฟลินจึงหันไปพูดกับคาเลบ “ฉันว่านายควรสั่งให้ทุกคนเเยกย้ายได้เเล้ว กลิ่นคนฟุ้งไปหมด ไหนจะเลือดอีก ถ้าพวกวอกเกอร์ได้กลิ่นเข้าเเย่เเน่”

คาเลบขมวดคิ้ว “ไม่มั้ง ไม่เคยมีวอกเกอร์หลุดเข้ามาบริเวณนี้ ส่วนใหญ่มันจะกระจายอยู่เเถวตึกร้างหรือที่ไหนสักเเห่งที่ห่างจากตัวเมือง”

เเต่ถึงอย่างนั้นคาเลบก็ไม่คิดจะประมาท เขาเชื่อในตัวเพื่อนของเขา จากประสบการณ์ที่เคยทำงานร่วมกันมา ฟลินมักจะคาดการณ์สิ่งต่างๆ ถูกเสมอ

คาเลบตัดสินใจตะโกนไล่ผู้คนที่อยู่โดยรอบ “ถ้าไม่อยากตายก็กลับเข้าบ้านไป!!”

สิ้นเสียง เหล่าผู้คนที่สงสัยใคร่รู้ทั้งหลายก็พากันวิ่งกระจัดกระจายกลับเข้าบ้านของตนอย่างรวดเร็ว

“ว่าเเต่นายมีอะไร คงไม่ได้โผล่มาเพื่อเป็นฮีโร่เเค่นี้หรอกนะ” คาเลบเอ่ยถาม

“ฉันมีเรื่องมารายงานท่านประธานาธิบดีดีโอฟิออน”

คาเลบทำหน้าประหลาดใจ “คงไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดนะ...นายสืบเรื่องของค่ายนั้นมาได้เเล้วเหรอ”

ฟลินไม่พูดเเต่พยักหน้ารับเเทน

ชายหนุ่มอดีตสายลับถูกพาตัวไปที่เต็นท์หลังหนึ่ง ซึ่งภายในเต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์เเละจอมอนิเตอร์จำนวนมากซึ่งเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดทั้วทั้งเมืองเมอเรดิธ

ตรงกลางห้องมีจอทีวีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ บนจอฉายภาพของชายผู้หนึ่งที่ดูมีอายุมากเเล้ว เขาเเต่งกายด้วยชุดสูทสีดำน่าเกรงขาม ท่าทีสงบนิ่ง เอนตัวกับพนักเก้าอี้ก่อนจะกล่าวทักทาย

“น่าตกใจจริงๆ ที่เธอสามารถสืบเรื่องค่ายนั้นได้เร็วขนาดนี้” ชายคนนั้นกล่าวชมเชยด้วยสีหน้าพึงพอใจ “ไหน รายงานมาสิ”

ฟลินโค้งหัวหนึ่งทีก่อนจะอ่านรายงานข้อมูลที่เขาเก็บรวบรวมมาได้ ทั้งจุดประสงค์ของการก่อตั้งค่าย ทำไมผู้คนถึงคิดว่ามันเป็นทางรอด มันสำคัญอย่างไรเเละควรทำลายมันด้วยวิธีไหน “ฉะนั้นหากเราทำให้พวกเขาเเตกคอกันหรือให้ผลประโยชน์กับคนที่ยืนอยู่ข้างเรามากขึ้น...”

“ฟลิน...”

ฟลินหยุดอ่านเเละเงยหน้ามองคนบนจอภาพ ซึ่งมีท่าทีเปลี่ยนไป เขาถลึงตาใส่ฟลิน ใบหน้าดูหงุดหงิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ผมไม่ได้ต้องการมานั่งฟังทฤษฎีไร้สาระของคุณหรอกนะ สิ่งเดียวที่ผมอยากรู้ คือค่ายนั้นมันอยู่ที่ไหน”

“คือเรื่องนั้น...” ฟลินอึกอัก “ผมขอโทษครับท่านประธานาธิบดี”

“ฟังผมให้ดีนะ ผมเเค่อยากรู้ที่ตั้ง เเละทำลายมันซะ ผมไม่ต้องการวิธีประนีประนอม ผมต้องการถอนรากถอนโคน เข้าใจไหม”

ฟลินพยักหน้ารับ “ถ้าผมอยากจะขอ...”

ประธานาธิบดีดีโอฟิออนยกมือห้ามพร้อมกับส่ายหน้า “ผมรู้คุณต้องการอะไร เเต่ถ้างานนี้ยังไม่สำเร็จก็อย่าหวัง ทั้งเรื่องกลับเข้ามาในเซฟโซนเเละครอบครัว...คุณอาจจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าพวกเขาอีกเลยก็ได้”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel