CHAPTER2 วอกเกอร์
ไม่บ่อยนักที่จะพบพวกวอกเกอร์เดินป้วนเปี้ยนอยู่ตัวเดียวแบบนี้ ส่วนใหญ่มันมักจะเดินมาเป็นฝูงหรือเป็นกลุ่มขนาดย่อมเพราะพวกมันมีจุดอ่อนตรงที่เคลื่อนไหวช้า เเต่มีจมูกที่รับกลิ่นได้ดีมากโดยเฉพาะกลิ่นเลือด ฉะนั้นเเล้วหากคุณได้รับบาดเจ็บจนมีเลือดออกเเล้วล่ะก็ ขอเเนะนำให้วิ่งหนีให้เร็วที่สุด หาที่ซ่อนเเละรีบทำเเผลให้เรียบร้อย อย่าให้พวกมันหาตัวคุณพบ
เพราะถึงพวกมันจะเคลื่อนไหวช้าเเค่ไหน เเต่การที่มันรวมกันเป็นฝูงใหญ่ จนคุณต้องใช้เเรงทั้งหมดในการสู้ พวกมันจะอาศัยจังหวะนี้รุมกัด ขย้ำ กระชากคุณจนร่างฉีกออกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่คุณจะทันได้ร้องขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ
เเต่ก็อย่างที่บอก หากคุณไวพอเเละมีไหวพริบที่ดี เจ้าพวกนี้กระจอกมาก พวกมันโง่จะตาย ยิ่งตอนนี้มีตัวเดียว เดินผ่านมันยังได้
“จะเดินผ่านมันไปเหรอครับ” มิเกลดึงเเขนฟลินให้หยุดเดิน “ผมว่าเราเดินอ้อมไปไหมครับ”
“ไม่ล่ะ ทางนี้ใกล้กว่า เเถมเราก็ไม่รู้อีกว่าถ้าอ้อมไปจะเจอพวกมันเยอะกว่านี้รึเปล่า” ฟลินพูดเสียงเรียบ เเต่มิเกลก็ยังเอาเเต่ยืนนิ่งไม่ขยับ จนฟลินต้องสบถออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด
ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าพวกมันน่ากลัว ก็เป็นศพนี่น่า ทั้งอืด เน่า กลิ่นก็เหม็นซะขนาดนี้ เป็นฝันร้ายของพวกเด็กๆ เลยล่ะ เเต่มิเกลสิบหกเเล้ว ก็โตพอที่จะเผชิญหน้าได้เเล้วมั้ง
ฟลินคิดในใจก่อนจะเดินไปหยิบท่อนเหล็กที่ตกพื้นอยู่ยื่นให้มิเกล
มิเกลทำหน้างง “อะไรครับ”
“ฟาดเลย”
“อะไรนะครับ! ฟะ...ฟาด”
“อือ ตรงกลางหัวเลยนะ ครั้งเดียวเอาให้จอด” ฟลินยัดท่อนเหล็กใส่มือของมิเกล เเต่เด็กหนุ่มก็เอาเเต่ส่ายหน้าไปมา
“ผมทำไม่ได้หรอกครับ!!” มิเกลพูดเสียงสั่น “ผมกลัว ผมทำไม่ได้จริงๆ”
ฟลินถอนหายใจก่อนจะจับไหล่มิเกลเบาๆ “ฟังนะเจ้าหนู ถ้านายอยากมีชีวิตรอดเเล้วล่ะก็ นายต้องทำ ไม่มีใครอยู่คุ้มครองนายได้ตลอดไปหรอกนะ”
ฟลินพยายามพูดให้มิเกลมีความกล้า เเต่เจ้าตัวก็ยังคงยืนตัวสั่น บอกปัดว่าทำไม่ได้ ไม่กล้าทำ
“อย่าบังคับผมเลยนะครับ ผม...” มิเกลทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ก่อนจะเอามือกุมหน้า ฟลินไม่รู้ว่ามิเกลกำลังข่มใจไม่ให้กลัวหรือกำลังร้องไห้อยู่กันเเน่ เเต่เห็นทีเจ้าเด็กนี่คงจะยังไม่พร้อมจริงๆ ยิ่งเป็นเด็กที่หมกมุ่นอยู่กับตำราเรียน ใส่เเว่นหนาเตอะ คงเก่งเเค่ทฤษฎีล่ะมั้ง
สอบตกเรื่องการเอาชีวิตรอดเเน่ๆ
ฟลินเดินถือท่อนเหล็กตรงไปที่วอกเกอร์ตัวนั้น ตั้งท่าเหมือนเตรียมจะตีลูกเบสบอล และก็...โฮมรัน!! ปิดจ๊อบอย่างสวยงาม การฆ่าวอกเกอร์นับว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ฟลินชอบทำ มันทำให้เขาได้ยืดเส้นยืดสายเเละปลดปล่อยอารมณ์ที่ขุ่นมัวออกไปได้ เเต่ก็เเค่ตัวสองตัวนะ ถ้ามากันเป็นสิบก็คงต้องถอยเหมือนกัน
“ตอนนี้นายอาจจะยังกลัว เเต่ถ้าเมื่อไรที่นายต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้เเล้วล่ะก็ ความกล้าของนายจะมาเอง”
มิเกลเงยหน้ามองฟลินพลางคิดในใจ คนอะไรเนี่ยทั้งเก่งทั้งเท่ อย่างกับหลุดออกมาจากหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่างนั้นแหละ ฉันจะมีวันได้เป็นอย่างพี่ฟลินบ้างไหมนะ คนขี้ขลาดอย่างฉันน่ะเหรอ...จะทำได้
“จ้องอะไรอยู่ได้ ลุกขึ้นได้เเล้ว เดี๋ยวกลับบ้านไปกินข้าวเย็นไม่ทันนะ”
ทั้งคู่ใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงบ้านหลังเล็กเก่าๆ หลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างจากตัวเมือง เป็นบ้านไม้สีน้ำตาลอ่อนสไตล์มินิมอล ตกเเต่งเรียบๆ มีเฉลียงนั่งเล่นด้านนอก ห้อมล้อมไปด้วยสวนผักเเละผลไม้ ตรงกลางมีน้ำพุขนาดย่อมประดับไว้
ไม่หรูหราหรือสะดวกสบายจนเกินไป เเต่ให้ความรู้สึกเป็นบ้านเเบบที่ควรจะเป็น หากเป็นเมื่อก่อนฟลินคงทุ่มเงินซื้อบ้านหลังนี้ไปเเล้ว มันเหมาะมากที่จะใช้เป็นบ้านพักตากอากาศตอนหน้าร้อน หรือที่หลบซ่อนจากงานเเละคนที่น่าเบื่อ
“คิดจะซื้อบ้านหลังนี้อีกเเล้วสินะฟลิน”
ชายหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน เขาเป็นชายผิวสี รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน หน้าตาสะอาดสะอ้านต่างจากฟลินที่เนื้อตัวมอมแมม หนวดเครารุงรัง ตาดำคล้ำ ดูผ่านๆ เหมือนหัวหน้ากองโจรไม่มีผิด
“บ้าเหรอเฟส ฉันจะซื้อบ้านของนายไปทำไมกันล่ะ”
“ไม่ต้องเลย ฉันรู้ทันหรอกนะพ่อมหาเศรษฐี”
ฟลินยักไหล่ “ก็ตอนนี้ฉันไม่จำเป็นต้องซื้อเเล้ว” ฟลินเดินเข้าไปหาเฟสเตอร์ก่อนจะตบไหล่เขา “เพราะว่าฉันก็อยู่ที่นี่เเล้วนี่ไงล่ะ”
ยอมหมอนี่เลยจริงๆ เจ้าเล่ห์ ตลบตะเเลง จอมวางเเผนอีกทั้งยังกวนโอ๊ยสุดๆ ตั้งเเต่รู้จักกันมาก็สิบปีได้เเล้วมั้ง เฟสเตอร์คงจะเป็นเพื่อนคนเดียวที่เหลืออยู่ของฟลิน เขาเป็นคนสุภาพเเละใจดีมากๆ
หลังจากเรียนจบเฟสเตอร์ก็เลือกที่จะมาซื้อบ้านเเถบชนบท ทำเกษตร ปลูกผักกินเอง รับสอนหนังสือเด็ก ใช้ชีวิตเรียบง่ายตามเเบบที่เขาชอบ ต่างจากฟลินที่ทะเยอทะยาน หวังความก้าวหน้า ชื่อเสียงเเละทรัพย์สินเงินทอง
เเต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนที่รักกันมาก ฟลินจะคอยช่วยเหลือเฟสเตอร์เสมอ ไม่ยอมให้ใครมารังแกหรือเอาเปรียบเพื่อนรักของเขาเด็ดขาด ส่วนเฟสเตอร์ก็เช่นกัน เป็นที่ปรึกษาเเละเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างฟลินยามที่เขามีปัญหาเสมอมา
“ลมอะไรหอบนายมาหาฉันล่ะฟลิน” เฟสเตอร์นั่งข้างๆ ฟลินที่ตอนนี้นอนเเผ่หลาอยู่กลางบ้าน
“ฉันก็เเค่คิดถึงนาย”
เฟสเตอร์หัวเราะลั่น “เชื่อก็โง่เเล้ว” เขาลุกขึ้นไปรินน้ำในครัวให้ฟลิน ก่อนจะสั่งให้มิเกลเอาปุ๋ยสูตรใหม่ไปใส่เเปลงผักกาดหน้าบ้าน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขารู้ว่าฟลินต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างที่สำคัญหรืออันตรายมากมาปรึกษาเขาเเน่ เเละมันจะเป็นการดีกว่าที่จะกันเด็กอย่างมิเกลไม่ให้เข้ามายุ่งเรื่องนี้
“ตัวป่วนไปเเล้ว พูดมาเถอะ”
ฟลินลุกขึ้นนั่ง สีหน้าเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขานั่งนิ่งอยู่นานจนเฟสเตอร์เริ่มใจเสีย “เฟส...นายรู้อะไรเกี่ยวกับค่ายผู้เหลือรอดไหม”
เฟสเตอร์ชะงักไปครู่หนึ่ง “นายไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน”
สีหน้าเเบบนี้...นายรู้สินะเฟส ขออย่าให้นายเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย ฉันคงทำใจไม่ได้เเน่ ที่นายจะต้องมายืนอยู่คนละฝั่งกับฉัน
“ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นแหละฟลิน ก็มันเป็นความหวังหนึ่งเดียวของพวกเราตอนนี้นี่”
“ความหวังงั้นเหรอ” ฟลินพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่ไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรือผิดหวังในตัวเพื่อนรักอย่างเฟสเตอร์กันเเน่ “นายก็น่าจะรู้ว่ามันผิดกฎหมาย มันเป็นค่ายกักกัน ไม่ต่างอะไรจากคุกเถื่อน นายไม่ควรเข้าไปยุ่ง”
เฟสเตอร์ไม่พูดอะไร ยังคงนิ่งเฉย เขากับฟลินไม่เคยมีปัญหาทะเลาะกันมาก่อน ถึงหลายครั้งจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง เเต่พวกเขาทั้งคู่จะเปิดรับความเห็นของกันและกันเสมอ ยอมถอยคนละก้าว เเละเคารพความคิดของอีกฝ่าย เเต่วันนี้คงจะเป็นครั้งเเรกที่ทั้งคู่ยืนหยัดในความคิดของตัวเองเต็มที่
ค่ายผู้เหลือรอด เป็นข่าวลือที่เเพร่สะพัดอยู่ในตอนนี้ เป็นค่ายที่ผู้รอดชีวิตทุกคนก่อตั้งขึ้นอย่างลับๆ เพื่อไว้ใช้ต่อสู้กับรัฐบาลที่นั่นคือค่ายพักเเรมที่ปลอดภัย มีน้ำมีอาหาร มีหน่วยเเพทย์พยาบาล มีเวรยามรักษาความปลอดภัยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงสำหรับเฟสเตอร์ ที่นี่คือความหวัง หลังจากเกิดเรื่องที่วอกเกอร์บุกเมือง ผู้คนชนชั้นล่างรู้สึกเหมือนถูกลอยแพ ไม่ได้รับการดูเเลหรือใส่ใจมากพอจากรัฐบาล พวกเขาทำเเค่ส่งอาหารเเละน้ำมาให้เท่านั้น ซึ่งมันมีจำนวนที่น้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการอีกทั้งยังสกปรกเเละเน่าเสีย
สำหรับฟลิน ค่ายนั้นคือการก่อกบฏ เป็นพวกคนหัวรุนเเรงที่ไม่เข้าใจในกฎเกณฑ์เเละใช้อารมณ์เป็นหลัก ก่อกวนเเละทำทุกอย่างเสียระบบ ไม่เเน่ว่าคนในค่ายนั้นอาจจะถูกหลอกไปเเละขังพวกเขาเหล่านั้นไว้ก็ได้ นี่ยังไม่รวมถึงอาวุธสงครามที่ค่ายนั่นเเอบเก็บไว้อีก
ฟลินเดินเข้าไปหาเฟสเตอร์ สีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันไม่อยากทำร้ายนายนะเพื่อน”
เฟสเตอร์ยิ้ม “นายไม่มีวันทำร้ายฉันหรอก”
เเต่เเล้วจู่ๆ ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงร้องของมิเกล พวกเขารีบวิ่งออกไปที่สวนผักหน้าบ้านทันที ภาพที่เห็นคือมิเกลนั่งอยู่กับพื้น มีวอกเกอร์สามตัวเดินตรงเข้ามาหมายจะโจมตีเขา มิเกลย่อตัวต่ำพยายามคลานหนี
จำได้ไหมที่เคยบอก พวกวอกเกอร์เคลื่อนไหวช้า ถ้าอยากรอดคุณต้องไวกว่าพวกมัน เเต่ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กมิเกลไม่รู้หรือสติเเตกไปเเล้ว ถึงได้ทำท่าหมอบคลานเเบบนั้น ให้ตายสิ ทำอย่างนั้นคงจะหนีรอดหรอกนะ ฟลินพยายามวิ่งไปให้ถึงตัวมิเกลให้เร็วที่สุด เเต่เหมือนกับว่าเขาจะไม่เร็วพอ
วอกเกอร์ตัวหนึ่งเดินเข้ามาประชิดตัวมิเกล มันอ้าปากกว้างพร้อมกระโดดเข้าจู่โจม!!!
