บทที่ 7 วาเรียส เทียน่า
ผ่านไปแล้วสามวันหลังจากที่เด็กชายไปเข้าค่าย เทียน่าก็คอยดูแลทำความสะอาดห้องให้น่าอยู่ขึ้น หลังจากนั้นเด็กหญิงก็จะออกมานั่งเล่นตรงระเบียงมองท้องฟ้าชมนกชมไม้รอเจ้าของห้องกลับมา ตามกำหนดการ วาเรียสน่าจะกลับมาถึงแล้ว แต่จนป่านนี้ก็ยังมาไม่ถึงอีก
แปะ แปะ ซ่า!
"ฝนตกซะแล้ว" เด็กหญิงรีบหันไปเก็บผ้าที่ราวกลับเข้ามาในห้องทันทีจากนั้นก็ปิดประตูระเบียงเพื่อไม่ให้ฝนสาด พลันเสียงเปิดประตูก็ดังมาจากทางด้านหลังก่อนที่ร่างเล็กจะเดินเข้าในสภาพเปียกปอน
"กลับมาแล้วจ้า!"
"ท่านวาเรียส ยินดีต้อนรับกลับค่ะ ไปเข้าค่ายคงสนุกมากเลยใช่ไหมนะคะ" วิญญาณเด็กหญิงรีบมาช่วยถือกระเป๋าแล้วนำไปเก็บ ส่วนคนเพิ่งกลับมาก็เดินลากขาไปหาเตียงถ้าไม่ติดว่าเทียน่ามาดึงแขนไว้ก่อน
"ฉันเหนื่อยนะเทียน่า ให้ฉันงีบเถอะ"
"ไม่ได้ค่ะ ฉันมั่นใจว่าตอนลงจากรถม้า ท่านต้องวิ่งฝ่าสายฝนกลับมาแน่ ดังนั้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยนอนเถอะค่ะ เดี๋ยวที่นอนจะเปื้อน สกปรกเชื้อโรค"
"ครับคุณแม่ ผมจะทำตามที่คุณแม่สั่งนะครับ" ว่าจบ เจ้าชายปีศาจน้อยก็คว้าผ้าขนหนูวิ่งเข้าห้องน้ำทันควันก่อนที่เทียน่าจะปรี๊ดแตกที่บังอาจมาเรียกเธอว่าแม่ทั้งที่เธอเป็นแค่วิญญาณเด็กผู้หญิง
"น่าเกลียดมากค่ะ ท่านวาเรียส!"
หลังจากนักเรียนคลาสเฟิร์สไพรมารี่ไปเข้าค่ายกลับมา ทางโรงเรียนก็ให้หยุดพักผ่อนสองวันจากนั้นจึงให้กลับมาเรียนปกติ ชีวิตประจำวันในวันนี้ก็เหมือนหลาย ๆ วันก่อน วาเรียสที่ตั้งใจว่าจะตื่นสายและโดดเรียนก็ถูกเทมเพสบุกเข้าห้องมาลากลงจากที่นอนแล้วไล่ไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเรียนเหมือนเพื่อนคนอื่น
"นอนดึกตื่นสายไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ และมื้อเช้าก็สำคัญมาก จะละเลยไม่ได้"
"นี่นายเป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อฉันเนี่ย"
"เป็นองครักษ์ครับ อนาคตอาจพ่วงตำแหน่งเลขา ตอนนี้ขออนุญาตพูดจาไม่ดีใส่เจ้าชายนะครับ เจ้าชายช่วยหุบปากแล้วก็กินข้าวเถอะ ถ้าเป็นโรคกระเพาะแล้วมันจะเดือดร้อนชาวบ้าน" ว่าจบ เทมเพสก็จับวาเรียสนั่งที่เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พวกอาเนฟยกถาดอาหารมาวางตรงหน้าเด็กชาย ซึ่งเมนูวันนี้มีอาหารครบห้าหมู่ แต่ขอโทษเจ้าชายน้อยไม่ชอบสักอย่าง
โรงอาหารในเช้าวันนี้ไม่ค่อยมีเด็ก ๆ มาใช้บริการ ดังนั้นถ้าจะไปตักข้าวก็ไม่ต้องต่อแถวรอคิวยาวแถมมีของกินอีกเพียบ อาเนฟ โยริค และเฟลมจัดการในส่วนของตัวเองก่อนแล้ว จากนั้นพวกเขาก็ไปหาของกินเยอะ ๆ มาเสิร์ฟคนง่วงนอนที่ตาสว่างเพราะอาหารตรงหน้า
"ช่วงเข้าค่าย เจ้าชายใช้แรงเยอะมากกว่าใครเลย เพราะงั้นช่วงนี้พวกเราจะดูแลเจ้าชายเองนะครับ" อาเนฟทำหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสพลางเลื่อนจานใส่ผัดผักมาให้
"ทานไข่ต้มวันละฟองสองฟองไหมครับ อร่อยนะ" โยริควางไข่ต้มสองฟองลงในถาดอาหาร
"ดื่มนมก็ดีนะครับ แคลเซียมสูงด้วย ช่วงนี้ผมดื่มตลอดเลย สูงขึ้นตั้งสามเซนติเมตร" เฟลมวางแก้วนมจืดลงบนโต๊ะพลางทำท่าวัดความสูงกับโยริค แม้จะยังเตี้ยกว่าแต่ส่วนสูงของเขาเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนจริง ๆ
"เฮ้! ขอนั่งด้วยได้ไหม" จังหวะที่วาเรียสกำลังถูกบังคับให้กินของที่มีประโยชน์ เจ้าชายทั้งห้าจากแดนเทวาและแดนมนุษย์ก็ยกถาดอาหารมาหาชาวแก๊งแดนมืดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
"อยากนั่งก็เชิญ ไม่ได้ห้าม" วาเรียสผายมือเชิญขณะจำใจกินผัดผัก
"ได้ยินว่าพวกนายเป็นกลุ่มแรกที่ออกจากป่านั่นใช่ไหม เก่งกว่าที่คิดอีกนะ" มาดิสนั่งตรงหน้าเด็กชายผมดำจากนั้นก็ชวนคุยอย่างเป็นมิตร ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ทั้งสองกลุ่มไม่เคยเข้ามาพบปะพูดคุยกันเลย
"ฉันชอบนะที่พวกนายสู้กับพวกฉันในโรงอาหาร คิดว่าตัวเองฝึกมาดีแล้ว พอมาเจอพวกนายนี่ลำบากเลย" คาเวลยิ้่มฝืด ๆ พลางตักข้าวเข้าปากอย่างอารมณ์ดี
"นาย...เฟลมใช่ไหม ตัวเล็กขนาดนี้ ไม่ยักรู้ว่าจะลุยได้เหมือนคนอื่น ที่บ้านฉันน่ะ พวกตัวเล็กโดนดูถูกทุกคนเลย" ดาเวียหันมาคุยกับเฟลมบ้าง ซึ่งเจ้าคนตัวเล็กของกลุ่มก็หัวเราะ
"ฮ่ะ ๆ คนที่บ้านฉันตัวเล็กกว่าเพื่อนอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นพวกเราก็สู้คนอื่นได้"
"นายเก่งเรื่องฟันดาบใช่ไหมเทมเพส" กราเซลหันมาถามเด็กชายผมหางม้า ตอนที่สู้กันเขาเห็นท่าทางการใช้มีดหั่นสเต๊กก็พอเดาออกว่าถ้าอาวุธในมือเป็นดาบ คนคนนี้ท่าจะล้มยาก
"คนที่บ้านฉันส่วนใหญ่เป็นนักดาบ ฉันเริ่มฝึกตั้งแต่อายุสี่ขวบ และทางบ้านค่อนข้างจะเคร่งกับการฝึกของฉันเพราะอนาคตต้องทำหน้าที่แทนพ่อน่ะ" เทมเพสเล่าขณะใช้สันฝ่ามือสับไหล่วาเรียสโทษฐานใช้ช้อนตักมะระไปกองไว้ข้างจานเนื่องจากไม่อยากกิน
"ไว้คราวหน้าเรามาประลองกันอีกนะ" โรเอลไม่เคยสู้กับใครแล้วสนุกเท่าพวกนี้มาก่อน
"จะเอาอย่างนั้นก็ได้ พวกฉันพร้อมเสมอ ใช่ไหมอาเนฟ" โยริคหันไปขอความร่วมมือจากเด็กชายผมฟ้า เขายักไหล่เป็นเชิงบอกว่ายังไงก็ได้ก่อนจะหันมาถามเจ้าชายปีศาจ
"ว่าไงครับเจ้าชายวาเรียส ว่าง ๆ เราไปวัดฝีมือกับเจ้าชายทั้งห้าไหม"
"ก็ไม่ได้ขัดนี่ น่าสนุกจะตาย อีกอย่างเรื่องใช้แรงเป็นกรรมกรเถื่อนก็เป็นของถนัดอยู่แล้ว" เด็กชายผมดำฉีกยิ้มน่ารักพลางชูสองนิ้ว ดูยังไงก็ไม่เหมือนปีศาจผู้ใช้พลังความมืดแต่น่ารักน่าหยิกมากกว่า จากนั้นทั้งกลุ่มก็พากันหัวเราะเสียงดัง ทำให้เด็กคนอื่นที่เข้าในโรงอาหารมองอย่างแปลกใจ
สองกลุ่มนี้ไปญาติดีกันตอนไหน?
"...ข้ารู้สึกว่าแววตาของเจ้าชายวาเรียสมีบางอย่างซ่อนอยู่ ข้าก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันอันตรายหรือไม่อันตรายกันแน่ แค่พริบตาเดียว แววตาของเขาก็กลับไปสดใสเหมือนเด็กธรรมดาแล้ว"
คำพูดของอาจารย์ที่ถามคำถามแปลก ๆ กับเจ้าชายปีศาจน้อยแล้วมาบอกคาเรียสทีหลัง พอกลับมาหลังจากไปดูลูกชายที่ค่าย ชายหนุ่มก็เอาแต่เงียบและคิดถึงคำพูดนั้นอยู่เสมอ ใช่ว่าเขาไม่สงสัย ปีศาจหูดีกว่ามนุษย์ ตอนที่อาจารย์ถามวาเรียส ทำไมเขาจะไม่ได้ยิน
"อย่าคิดมากเลยคาเรียส กินคุกกี้ชาเขียวกับข้าดีกว่า" วานาเลียถือจานใส่คุกกี้เดินมาหาคนที่นั่งเงียบอยู่ในห้องทำงาน คาเรียสกลับมาสู่โลกแห่งความจริง พอเห็นกองงานบนโต๊ะแล้วก็แทบจะเป็นลม "พักกินคุกกี้กับข้าแล้วค่อยทำต่อนะ"
"ข้าไม่ชอบชาเขียว"
"ทำไมล่ะ อร่อยนะ อีกอย่างข้าทำเองด้วย ชิมสักนิดแล้วค่อยบ่น"
"..." คาเรียสขมวดคิ้วพลางมองคุกกี้สลับกับมองหน้าหญิงสาวผมแดงจากนั้นจึงหยิบขึ้นมาชิมสักชิ้น สีหน้าของวานาเลียก็ลุ้นด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตาแล้วบอกว่า "ไปซื้อจากที่ร้านดีกว่านะ"
"คาเรียส ท่านชอบมีดพกหรือมีดบังตอคะ" ร่างบางมุมปากกระตุกเพราะอีกฝ่ายบอกว่าไม่อร่อยแน่ เธอชูมีดพกในมือซ้ายและมีดบังตอในมือขวาขึ้นมาพลางฉีกยิ้มหลอกหลอน
"แต่ข้าชอบคนถือมีดมากกว่า"
"..." วานาเลียกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นก็หน้าแดง คาเรียสยิ้มทำให้หญิงสาวเขินจนต้องถอยหลังแล้วเผลอเหยียบชายกระโปรงตัวเองหงายหลังล้มต่อหน้าเจ้าของห้อง ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้าขณะลุกไปช่วยพยุงคนล้ม
"ซุ่มซ่ามอีกแล้วนะ วานาเลีย"
"กลับมาแล้วจ้า"
"ท่าทางเหนื่อย ๆ นะคะ ไม่สบายหรือเปล่า" เทียน่ารีบรับกระเป๋าจากอีกฝ่ายก่อนจะนำไปเก็บบนชั้นวาง ส่วนวาเรียสก็เดินเซซ้ายเซขวาขึ้นไปนอนบนเตียงเหมือนคนหมดแรง กลับมาถึงห้องทั้งทีต้องนอนพักเอาแรงสักหน่อย "ท่านวาเรียส เป็นอะไรหรือเปล่าคะ"
"ไม่เป็นไรหรอก แค่วันนี้เรียนหนักนิดหน่อยน่ะ แต่ว่าวันนี้มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นล่ะ" เด็กชายควานหาหมอนข้างลายหมีขี้เซามากอดจากนั้นก็เล่าให้ฟังว่าเรื่องดี ๆ คืออะไร "ท่าทางพวกข้ากับเจ้าชายทั้งห้าจะเป็นเพื่อนกันแล้วล่ะ น่าเสียดายที่เจ้าพวกนั้นอยู่หอเทเอียน แต่ข้ากับเพื่อน ๆ อยู่หอซิลวา ไม่อย่างนั้นเราคงได้คุยกันมากกว่านี้"
"ยินดีด้วยนะคะ"
"ถ้าเราเป็นเพื่อนกันตลอดไปก็คงดี" วาเรียสมีสีหน้าสดใสแม้ว่าจะเหนื่อยจากการเรียนก็ตาม น่าเสียดายที่เจ้าชายทั้งห้าอยู่หออื่นแต่มันช่วยไม่ได้นี่นา
หอพักของโรงเรียนซินเทลล่าเเบ่งออกเป็นสี่หอซึ่งตั้งชื่อตามประเทศทั้งสี่ในแดนมนุษย์ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ วาเรียสก็ไม่ได้สนิทกับใครนอกจากกลุ่มองครักษ์ที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่จำความได้ พอได้พวกเพิ่มเป็นเจ้าชายทั้งห้าที่เป็นกลุ่มเด็กสุดฮ็อตประจำชั้นปี ก็ไม่มีใครมาว่าพวกเขาเป็นเด็กจืดชืดอีกแล้ว
"สามปีสำหรับนักเรียนชั้นไพรมารี่สินะ" เจ้าชายปีศาจน้อยหันมามองเทียน่าที่นั่งกะพริบตามองอยู่ "ถ้าฉันเรียนจบแล้วกลับบ้าน เธอจะไปที่แดนมืดกับฉันไหม"
"ฉันไปที่นั่นได้เหรอคะ"
"ได้สิ อีกอย่างถ้าฉันปล่อยเธอไว้ที่นี่ เธอจะต้องเหงามากแน่ ๆ เพราะงั้นไปอยู่เป็นเพื่อนคุยเล่นกับฉันที่แดนมืดเถอะ รับรองว่าที่นั่นจะน่าอยู่ไม่แพ้ที่นี่แน่" ลูกชายผู้ปกครองดินแดนอุตส่าห์ชวนทั้งที เทียน่าก็ไม่กล้าปฏิเสธ อีกอย่างถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป เธอก็อาจจะไม่ได้เจอเจ้าของห้องพักที่ไม่กลัวผีและกล้าขอเธอเป็นเพื่อนอีกแล้ว
"ถ้าอย่างนั้นก็ฝากตัวด้วยนะคะ"
"ยินดีต้อนรับล่วงหน้า เธอไม่ต้องกังวลนะ ฉันจะดูแลเทียน่าเอง ผีน้อยขี้เหงาจะได้มีเพื่อน" คำพูดนั้นเหมือนเป็นคำสัญญา วิญญาณเด็กหญิงไม่เคยเจอใครทำอะไรเพื่อเธอเลยตั้งแต่เสียแม่ไป นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นเข้ามาในชีวิตและคุยกับเธอ เป็นเพื่อนเธอ รวมทั้งมอบคำสัญญาที่จะให้เธออยู่ด้วยไปตลอด
ชีวิตที่ถูกคำสาปครอบงำโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้กำลังถูกถอนไปบางส่วนแล้ว
5 ปีต่อมา
กาลเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แดนมืดเป็นดินแดนที่น่าอยู่และสวยงามเหมือนที่วาเรียสเคยบอกไว้ไม่มีผิด แต่ที่นี่จะมีอากาศเย็นรวมทั้งมีเมฆครึ้มปกคลุมท้องฟ้า นาน ๆ ทีฟ้าจะใสและมีแสงแดดส่องลงมา ทว่าอากาศก็ไม่ร้อนมากอยู่ดี เมื่อมองจากที่สูงจะเห็นวิวได้ชัดเจนอย่างสถานที่ที่เธออยู่ในตอนนี้คือระเบียงหลังห้องของวาเรียสในปราสาทแห่งหนึ่งของพระราชวังซัลลิเเวน
"กลับมาแล้วจ้า" เสียงคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังก่อนที่ร่างโปร่งแสงจะหันกลับไป เจ้าของห้องที่เพิ่งกลับมาคือเด็กหนุ่มวัยสิบห้าเจ้าของผมสีทมิฬซอยยาวประบ่า ดวงตาสีแดงสดใส ใบหน้าจากที่เคยน่ารักเริ่มฉายแววหล่อเหลาขึ้นทุกวัน เขาสวมชุดสีดำเหมือนชนชั้นสูง จากที่เป็นเด็กน้อยจอมซน ตอนนี้คือเด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่าเพื่อน ๆ วัยเดียวกันแล้ว
"ท่าทางดูเหนื่อย ๆ นะคะ" เทียน่าที่กลายเป็นวิญญาณหญิงสาว อาจเป็นเพราะอยู่มานานกว่าจึงโตเร็วกว่าคนตรงหน้า ร่างบางรีบตรงมาช่วยรับหนังสือปกแข็งเล่มหนาจากอีกฝ่ายไปวางบนโต๊ะ ส่วนวาเรียสก็หงายหลังบนเตียงหลุยส์สีแดงดำราวกับหมดแรง
"ท่านพ่อบังคับให้ข้าอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยก่อตั้งดินแดนจนถึงตอนนี้ จะได้รู้ว่าพอเป็นจ้าวปีศาจต้องทำอะไรบ้าง ให้ตายเถอะ ข้าไม่อยากเป็นจ้าวปีศาจ งานเยอะจะตาย ข้าขี้เกียจ"
"ไม่ได้หรอกค่ะ ท่านเป็นว่าที่จ้าวปีศาจลำดับที่เจ็ด จะขี้เกียจไม่ได้ มันเป็นหน้าที่ที่ท่านต้องทำนะคะ" หญิงสาวผมสีเขียวน้ำทะเลยืนเท้าสะเอวเหมือนพี่สาวกำลังดุน้องชาย ดวงตาสีเดียวกันกับเส้นผมฉายแววหงุดหงิดแต่มันกลับน่ารักในสายตาเจ้าของห้อง
"ขี้บ่นจังนะ ก็เข้าใจอยู่ว่าเจ้าเกิดก่อนข้าหลายปีก็เลยเป็นแบบนี้"
"เห็นแบบนี้ข้าอาจจะเป็นแม่ท่านได้เลยนะคะ"
"ครับคุณแม่ แม่ก็คือแม่ ข้าจะไม่ดื้อไม่ซนให้คุณแม่หงุดหงิดนะครับ" ว่าจบ วาเรียสก็ต้องกลิ้งหลบสันหนังสือที่หญิงสาวใช้พลังวิญญาณยกมาฟาดใส่ "แย่หน่อยนะครับ คุณแม่พลาดซะแล้ว"
"ท่านวาเรียส!" เทียน่าปาหนังสือใส่จนเจ้าชายปีศาจต้องวิ่งหนีออกไปที่ระเบียงพร้อมปิดประตูกระจกไม่ให้เธอปาข้าวของใส่อีก ทว่าร่างบางกลับลอยทะลุผนังออกมาแล้วใช้พลังวิญญาณยกกระถางดอกไม้แถวนั้นขึ้นมา "อยากโดนกระถางปาใส่หัวก็ไม่บอกนะคะ"
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้” เขาไม่ปลื้มกับเรื่องหัวร้างข้างแตก และเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง เขาจะต้องใช้วิธีเจรจาอย่างสันติ
“งั้นก็เลิกทำตัวเป็นเด็กดื้อสิคะ ตอนนี้ท่านเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้วนะ” เทียน่ายอมวางกระถางดอกไม้ลงแล้วหันหลังกลับเข้าไปในห้อง เจ้าชายปีศาจถอนหายใจอย่างโลกอกจากนั้นก็ตามเข้าไป
“ทำตัวอย่างกับเป็นพี่สาวข้าจริง ๆ เลยนะ”
“สภาพข้าตอนนี้ก็เหมือนพี่สาวอยู่แล้วล่ะค่ะ” วิญญาณสาวตรงเข้ามาหยิกแก้มคนตรงหน้าอย่างมันเขี้ยว วาเรียสทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะจับข้อมืออีกฝ่ายแล้วดึงออก
อาจจะแปลกไปหน่อยที่คนตรงหน้าเขาเป็นวิญญาณและไม่มีอะไรสัมผัสได้ แต่เด็กหนุ่มมีความสามารถพิเศษบางอย่าง เขาสามารถแตะต้องวิญญาณได้จึงไม่แปลกที่เขาจะจับข้อมือเธอได้
“ถ้าท่านเป็นเด็กดีคงจะน่ารักกว่านี้แน่” เทียน่าก้มมองคนที่ตัวเตี้ยกว่า เพราะเธอเป็นหญิงสาวจึงสูงกว่าเด็กหนุ่ม ทางด้านวาเรียสก็เงยหน้ามองทั้งที่ขมวดคิ้ว พลันหน้ายุ่ง ๆ นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเหยียดยิ้มไม่น่าไว้ใจก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดทันควัน นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลเบิกกว้าง เธอจะถอยหนีก็ไม่ทันเพราะอีกฝ่ายเกาะติดเธอแล้ว
“นี่พี่สาว อากาศมันหนาว ขอกอดหน่อยสิ”
“...”
หัดฉวยโอกาสตั้งแต่เด็กเลย!
