บทที่ 6 กิจกรรมหรรษา
"ทั้งหมดแถวตรง!"
พรึ่บ!
สิ้นเสียงตะโกนของคนสั่ง ร่างเล็กที่ยืนเรียงแถวเป็นหน้ากระดานก็ยืนนิ่งตรงเหมือนตั้งแถวในสนามหน้าเสาธง ทุกคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะมองร่างบางตรงหน้าเดินดูพวกเขา
"เอาล่ะเด็ก ๆ ตอนนี้เราจะมาทำกิจกรรมเข้าฐานกัน!" อาจารย์สาวที่ดูยังไงก็เหมือนหนุ่มไฟแรงกวาดสายตาคมกริบมองราวกับจับผิด "ครูรู้ว่าบางคนเป็นลูกคุณหนู คุณชาย แต่ที่นี่จะไม่มีคำนั้น ถ้าเข้าใจแล้วก็อย่ามาโวยวาย อะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่ได้ ไหนเธอชื่ออะไร" เจ้าของเสียงห้าวจ้องหน้าเด็กชายผมสีเพลิงเขม็ง
"เฟลม ไพลาริสครับ"
"ไม่ได้ยิน! พูดอีกที!"
"เฟลม ไพลาริสครับ!"
"ยังไม่ได้ยิน!!"
"เฟลม ไพลาริสครับ!!"
เฟลมเอ๊ย โดนคนแรกเลย พวกเพื่อน ๆ ร่วมห้องพากันส่ายหน้าเล็กน้อย บางคนก็แอบสงสารเพราะคุณชายไพลาริสนอกจากจะเตี้ยที่สุดในกลุ่มเพื่อนแล้วยังตัวเล็กที่สุดในชั้นเรียนอีกต่างหาก
"แล้วเธอล่ะชื่ออะไร"
"กราเซล แอมโบเรียครับ"
"อ้อ! เจ้าชายแห่งโรซานนี่เอง ได้ข่าวว่าราชามีสนมเยอะ เป็นเจ้าชายทั้งทีก็อย่าให้คนอื่นมาแย่งอำนาจไปล่ะ แต่ก่อนหน้านั้นต้องแสดงให้ฉันเห็นก่อนนะ ว่าเธอเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าชายรัชทายาท ถ้ามาแสดงความอ่อนแอแถวนี้ก็เก็บกระเป๋ากลับบ้านไปซะ!" อาจารย์สาวตะคอกใส่เด็กชายจนกราเซลต้องหลับตาปี๋ ก่อนจะลืมตาอีกทีเมื่ออาจารย์เดินไปถามชื่อคนอื่น แน่นอนว่าทุกคนโดนขึ้นเสียงใส่หมด
ท่านพ่อช่วยข้าด้วย เทมเพสเห็นเพื่อน ๆ หน้าซีดกันเป็นแถวจึงหันไปทางจุดที่จัดไว้ให้ผู้ปกครองนั่งพัก เซฟิรัสหันมาสบตากับลูกชายและรู้ว่าเทมเพสต้องการอะไรจึงทำท่าเอานิ้วปาดคอ ไม่บอกก็รู้ว่านอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังปล่อยให้เด็กชายโดนเหมือนเพื่อน ๆ อีก
"เธอชื่ออะไร"
"วาเรียส เพนเดลรอนครับ"
"เจ้าชายจากแดนมืดสินะ" อาจารย์สาวจ้องหน้าเด็กชายผมสีทมิฬโดยเฉพาะแววตาใสซื่อและซุกซนคู่นั้น มองเผิน ๆ ก็ไม่มีอะไรแต่ถ้ามองเข้าไปลึกกว่านั้นจะพบว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ "คุณเพนเดลรอน เธอเคยเห็นคนถูกฆ่าต่อหน้าหรือเปล่า"
ขวับ!
คำถามนั้นทำให้เด็ก ๆ สะบัดหน้ามาอย่างพร้อมเพรียง ต่างคนต่างก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ถึงถามวาเรียสแบบนั้นไม่เว้นแม้กระทั่งพวกคุณชายตระกูลองครักษ์ พวกเขารู้จักเจ้าชายปีศาจมาตั้งแต่จำความได้แต่ไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครถูกฆ่าตายหน้าเด็กชายเลย
"ผมไม่เคยเห็นนะครับ" คนตอบยังคงยิ้มหน้าระรื่น
"แล้วเคยถูกใครทำร้ายหรือเปล่า" ถามจบ ดวงตาสีแดงคู่นั้นก็แสดงความแข็งกร้าวออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นสดใสตามเดิม แม้เพียงชั่วพริบตาแต่อาจารย์สาวมั่นใจว่าเธอเห็นและตาไม่ฝาดแน่ "ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร คำถามสุดท้าย เธอเคยฆ่าใครหรือเปล่า"
"ไม่เคยนะครับ"
"..."
"ผมพูดจริงนะครับ" วาเรียสยิ้มหน้าระรื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนถามขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นก็พยักหน้าแล้วเดินไปหาคนอื่นพร้อมกับถามชื่อเสียงดัง
อย่างมากก็แค่สั่งสอนเท่านั้นแหละ วาเรียสนึกถึงพวกคุณหญิงที่จับเด็กผู้ชายไประบายอารมณ์สนองความต้องการตัวเอง เขาไม่รู้สึกผิดที่จัดการคนพวกนั้น มันช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้มาหาเรื่องเขาก่อน
"เด็ก ๆ หลังจากนี้เราจะเริ่มกิจกรรมเข้าฐานกันแล้วนะ เห็นกำแพงตาข่ายตรงนั้นไหม" ทุกสายตามองตามที่อาจารย์สาวชี้ไป กำแพงตาข่ายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ทำให้พวกขาลุยทั้งหลายเริ่มเครื่องร้อน
คราวนี้สนุกแน่!
"มีเวลาสองนาทีนะเด็ก ๆ นี่คือการทดสอบว่าพวกเธอรวดเร็วแค่ไหน เอ้า! เข้าที่ ระวัง ไป!"
ปัง!
สิ้นเสียงปืนยิงขึ้นฟ้า เด็ก ๆ ก็กรูกันไปปีนตาข่ายซึ่งดูไกล ๆ แล้วเหมือนฝูงผีดิบรุมทึ้งอะไรสักอย่าง วาเรียสเป็นคนแรกที่ปีนขึ้นไปถึงกิ่งไม้ได้ก่อน จากนั้นก็พาดขาข้ามไปอีกฝั่งแล้วกระโดดลงไป พวกเทมเพสตามมาติด ๆ ปล่อยให้เพื่อนกลุ่มอื่นแย่งกันปีนกำแพงตาข่ายอยู่อย่างนั้น
"ใครผ่านแล้วก็โหนเชือกข้ามคลองเข้าป่าไปหาขนมชีสเค้กได้เลย ให้กลับออกมาภายในสองชั่วโมงนะ!" เสียงตะโกนของอาจารย์ทำให้เด็กชายทั้งห้าโหนเชือกข้ามคลองเข้าป่าทันที
"นี่ใช่ไหม ที่พวกรุ่นพี่เคยเล่าว่าหลงทาง" เฟลมซึ่งวิ่งตามหลังทั้งกลุ่มมาและนึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินมาจากรุ่นพี่ "ชักจะตื่นเต้นแล้วสิ ป่าที่ว่ากันว่าหลงทางง่าย ๆ จะเป็นยังไงกันนะ"
"อย่าพูดสิ" อาเนฟเขกหัวคนตัวเล็กหลังจากหยุดเดินแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
"ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่ารอบ ๆ มันมืดลง"
"นายไม่ได้คิดไปเองหรอกเทมเพส มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ" วาเรียสก็รู้สึกได้เหมือนกัน ทั้งที่เป็นตอนกลางวันแต่รอบตัวกลับมืดลงเหมือนตอนกลางคืน ตอนนี้ทั้งห้าคนมองอะไรไม่เห็นแล้ว
โป๊ก!
"อะไรหล่นใส่หัวฉันก็ไม่รู้" โยริคกุมหัวพลางเดินไปให้เพื่อนดูว่าหัวแตกหรือเปล่า
"ไฟฉาย?" วาเรียสหยิบของที่ตกอยู่บนพื้นทั้งหมดห้ากระบอกขึ้นมาจากนั้นก็เคาะทีหนึ่ง แสงสีขาวจึงส่องสว่าง ไฟฉายพวกนี้ใช้พลังงานจากคริสตัลเวททำให้มีความสว่างมากกว่าไฟฉายธรรมดา "อาจารย์คงจะส่งมาให้เรา เอาไปคนละกระบอก อ้อ! ยังมีอีกอย่าง" เด็กชายหยิบต่างหูสีดำออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วแจกให้เพื่อน ทุกคนนำไปติดที่หูเพราะรู้ว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สื่อสาร
แน่นอนว่าอย่างสุดท้าย พวกเขานำมาเอง!
"เอาล่ะ ไปกันเถอะ" จากนั้นเจ้าชายปีศาจน้อยก็เดินนำหน้าเพื่อน ๆ ไปหาชีสเค้กต่อ ต่างคนต่างใช้ไฟฉายส่องตรงพื้นหญ้า ใต้ต้นไม้ บางครั้งก็แหวกพงหญ้ารก ๆ เข้าไปดูว่ามีของที่หาอยู่หรือเปล่า
"กลิ่นอะไรหอม ๆ ก็ไม่รู้" อาเนฟได้กลิ่นหอมหวานคล้ายขนม แน่นอนว่าทุกคนก็ได้กลิ่นเช่นเดียวกัน
"เพื่อน นั่นใช่ที่มาของกลิ่นหรือเปล่า" ทุกสายตาหันมาหาโยริคก่อนจะมองตามแสงไฟไป ท่ามกลางพุ่มไม้ตรงนั้นมีบ้านหลังน้อยตั้งอยู่ซึ่งดูยังไงมันก็ทำมาจากขนมชัด ๆ วาเรียสเดินนำหน้าทุกคนตรงไปยังบ้านหลังนั้น ทันทีที่มาถึง เจ้าตัวก็เอานิ้วป้ายของเหลวสีขาวที่ติดอยู่บนผนังบ้านมาดม
"ครีม?"
"แสดงว่าบ้านหลังนี้ทำมาจากขนม? นี่มัน...อย่างกับบ้านขนมปังในนิทานเรื่องฮันเซลกับเกรเทลเลย" เทมเพสคิดว่าเขาต้องตาฝาดแน่ ๆ แต่กลิ่นหอม ๆ ของขนมทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นความจริง
"ฮันเซลกับเกรเทล?"
"ไม่รู้จักเหรอเฟลม ก็นิทานที่มีเด็กชายหญิงสองพี่น้องถูกนำไปทิ้งในป่าแล้วหลงทางไปเจอบ้านขนมปังที่มีแม่มดอาศัยอยู่ นางชอบกินเด็กเป็นอาหารจึงจับฮันเซลผู้เป็นพี่ชายไปขัง แล้วให้เกรเทลผู้เป็นน้องสาวขุนพี่ชายให้อ้วน แม่มดจะได้กินเนื้อเยอะ ๆ พอแม่มดเผลอ เกรเทลก็ผลักนางเข้าไปในเตาอบจนถูกเผาตาย คราวนี้รู้หรือยัง" อาเนฟเป็นคนอธิบาย ในขณะที่โยริคลองผลักประตู แค่ออกแรงนิดหน่อย บานประตูก็เปิดออกแล้ว ทุกคนมองหน้ากันก่อนที่วาเรียสจะเดินเข้าไปข้างใน
ปึก!
"เจ้าชาย หยุดทำไมครับ" อยู่ ๆ คนนำก็หยุดกะทันหัน เทมเพสเบรกไม่ทันจึงเดินชนแผ่นหลังเข้าเต็ม ๆ พอถามออกไป เจ้าชายปีศาจน้อยก็ชี้ไปยังบางสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร เมื่อทุกสายตามองตามจึงรู้ว่ามันคือของที่หา
เจอชีสเค้กแล้ว!
หลังจากที่พวกเด็ก ๆ เข้าไปในป่ากันหมดแล้ว พวกผู้ปกครองที่รอดูอยู่ต่างก็ชะเง้อคอมองว่าลูกหลานตัวเองเป็นยังไงบ้าง เพื่อความสบายใจของทุกคน พวกทหารที่อยู่ประจำค่ายจึงหาลูกแก้วฉายภาพสามมิติมาแจกจ่าย เพียงแค่นึกถึงหน้าคนที่อยากเห็น มันก็ฉายภาพออกมาแล้ว
“อะไรน่ะ เจ้าเด็กพวกนั้นเข้าไปในบ้านขนมปังเนี่ยนะ เพื่ออะไร” คาเรียสอยู่ห่างออกมาจากผู้คนเพราะไม่อยากให้ใครแตกตื่นเรื่องที่ว่าเขาเป็นใคร แม้ว่าจะสวมชุดสีดำเรียบ ๆ เหมือนคนธรรมดาแต่ออร่ามันบอกชัดเจนเลยว่าเขาไม่ใช่ปีศาจธรรมดาแน่ ทางด้านสี่องครักษ์ก็มองลูกตัวเองแล้วส่ายหน้า
“รู้สึกว่าต้องไปหาชีสเค้กน่ะขอรับ” เซฟิรัสถึงกับกลอกตามองบนผิดกับเพื่อนร่วมงานอีกสามคนที่ปิดปากกลั้นหัวเราะเมื่อแม่มดประจำบ้านขนมปังโผล่ออกมาไล่จับเด็ก ๆ โทษฐานบุกรุกสถานที่
วาเรียสกับเทมเพสกำลังวิ่งหนีแม่มดชราที่เอาขนมปังแท่งยาวไล่ตี อาเนฟเป็นคนขโมยชีสเค้ก โยริคจับเฟลมโยนทะลุกระจกหน้าต่างก่อนจะกระโดดออกมาโดยมีอาเนฟปีนตามมาพร้อมชีสเค้กจากนั้นก็พากันวิ่งหนีไปก่อน ผ่านไปสักพักเจ้าชายปีศาจน้อยก็ถีบประตูออกมาแล้วก็วิ่งหนีไปพร้อมเทมเพส ปิดท้ายที่แม่มดชราวิ่งตามมาโวยวายแต่ช้าไปเพราะพวกเด็ก ๆ หนีไปหมดแล้ว
"แตกเป็นสองกลุ่มเดี๋ยวก็หลงกันหรอก ในป่ายิ่งมืด ๆ อยู่ด้วย" เมอริเดียนชักเป็นห่วงเด็ก ๆ ขึ้นมาเพราะแต่ละกลุ่มทิ้งห่างกันแล้ว ที่สำคัญแม่มดชราเจ้าของบ้านขนมปังก็ใช้พลังเวทปลุกพวกภูตผีออกมาไล่ล่าเด็ก ๆ ด้วย!
"เฟลม! นายช่วยวิ่งไว ๆ หน่อยได้ไหม!"
"รู้ทั้งรู้ว่าฉันขาสั้นก็ยังให้วิ่งนำหน้าอีก!"
"โยริค เฟลม ไม่ต้องเถียงกัน เรามีปัญหาแล้ว เจ้าชายกับเทมเพสหายไปไหนก็ไม่รู้!" อาเนฟส่องไฟฉายกลับไปด้านหลังแล้วไม่เห็นสองคนนั้นตามมาก็เป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่พอได้ยินเสียงหมาหอน ก่อนที่พุ่มไม้ข้างทางจะสั่นไหว พวกเขาก็รู้ว่าแล้วว่าไม่ควรย้อนกลับไปหาสองคนนั้น
'เทส ๆ หนึ่ง สอง สาม สี่ ทรี ทู วัน เฮ้ย! ฮัลโหล ๆ ได้ยินไหม'
"เจ้าชาย!" โยริคจำได้ว่าเสียงที่ดังมาจากต่างหูของทุกคนคือเสียงของวาเรียส "เจ้าชายอยู่ไหนครับ พวกผมหาเจ้าชายไม่เจอ แถมรอบ ๆ ก็เหมือนจะมีตัวอะไรออกมาด้วย"
'ฉันก็ไม่เห็นพวกนายเหมือนกันแหละ! งั้นเอาอย่างนี้ ทิ้งร่องรอยไว้ระหว่างทาง จะเป็นหักกิ่งไม้หรือทิ้งเศษขนมไว้ตามทางก็ได้ ถ้าฉันกับเทมเพสตามมาจะได้ไปถูก'
"เฟลม นายเอาขนมมาด้วยนี่ ทิ้งขนมเลย!"
"โอเค!" อาเนฟว่าจบ เฟลมก็หยิบถุงขนมออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วฉีกห่อตามด้วยเทขนมเยลลี่รสส้มลงพื้นก่อนจะใส่เกียร์หมาวิ่งตามเพื่อนอีกสองคนไปติด ๆ เพราะได้ยินเสียงคำรามไม่น่าไว้ใจดังมาจากสองข้างทาง
ตลอดทางเต็มไปด้วยเสียงคำรามของตัวอะไรสักอย่าง อีกทั้งพุ่มไม้ที่สั่นไหวเหมือนจะมีสัตว์ร้ายออกมาทำให้ทั้งสองเผยสีหน้าเคร่งเครียด วาเรียสที่วิ่งนำหน้าเทมเพสอยู่รู้สึกว่าตัวเองวิ่งสะเปะสะปะไม่รู้ว่าทางไหนเป็นทางไหนนอกจากสุ่มไปมั่ว ๆ ในสมองก็ภาวนาขอให้เจอร่องรอยที่สามคนนั้นทิ้งไว้จนกระทั่งมาเจอถุงขนมกับเยลลี่รสส้ม
"เยลลี่? ขนมของเฟลมนี่ เจ้าชาย เราเจอร่องรอยสามคนนั้นแล้วครับ...เอ๊ะ!" เทมเพสคิดว่าเด็กชายผมดำน่าจะดีใจแต่ผิดคาด สีหน้าของวาเรียสเหมือนกำลังโกรธสุด ๆ ยิ่งมองขนมที่ตกเกลื่อนพื้นก็ยิ่งเดือดดาล!
"ไอ้บ้าเอ๊ย! ฉันหมายถึงให้ทิ้งขนมไปเรื่อยระหว่างเดินทางไม่ใช่เทขนมรวดเดียวบนพื้น! พวกนายไม่เข้าใจที่ฉันพูดเลยใช่ไหม โอ๊ย! จะบ้าตาย! ไอ้บ้าไหนมันทิ้งขนมแบบนี้วะ!"
"เจ้าชายใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ"
"ไม่เย็นแล้วโว้ย! ไอ้หน้าไหนโผล่มา พ่อจะตบเกรียนเสียให้เข็ด!" โวยวายจบ วาเรียสก็วิ่งไปโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น ขนาดมีผีแมวกระโจนออกมาจากพุ่มไม้ เจ้าตัวก็เอาไฟฉายตบกระเด็น เจอซอมบี้คลานมาตามพื้น เด็กชายก็วิ่งไปเหยียบหัวอย่างไม่เกรงกลัว เจอผีหัวขาดเดินมา เจ้าชายปีศาจน้อยก็วิ่งไปกระโดดถีบขาคู่อัดกลางลำตัวเฉยเลย
"เจ้าชาย! ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ! อย่าเพิ่งเดือดดาล!" เทมเพสได้แต่แหกปากเรียกคนสติแตกที่ไล่กระทืบผีสางนางไม้ไปทั่ว จังหวะนั้นความมืดรอบกายก็ค่อย ๆ หายไปแล้วแทนที่ด้วยแสงแดดเหมือนตอนกลางวัน พวกวาเรียสวิ่งผ่านอุโมงค์ต้นไม้ออกมาข้างนอกซึ่งพวกอาเนฟกับอาจารย์ท่านหนึ่งยืนรออยู่
"กลับมากันแล้ว!"
"เฮ้ย! อย่าเพิ่งเข้ามา!" เทมเพสจะห้ามเพื่อนทั้งสามแต่ช้าไป เจ้าชายปีศาจน้อยที่อารมณ์ยังคุกรุ่นอยู่ก็คว้าคอเสื้ออาเนฟตามด้วยจับทุ่มลงพื้นก่อนจะจับศีรษะของโยริคและเฟลมมาชนกันแล้วปล่อยให้ทั้งสองร่วงลงไปนอนกับพื้น ปิดท้ายด้วยการเดินหนีไปอย่างไม่สบอารมณ์ ส่วนคนเจ็บก็หมดสภาพกันทั้งสามคน!
"คือว่ามีปัญหานิดหน่อย เขาก็เลยหงุดหงิดน่ะครับอาจารย์" เทมเพสรีบวิ่งมาอธิบายให้อาจารย์สาวซึ่งถือกล่องใส่ชีสเค้กและยืนอึ้งอยู่ จากนั้นเด็กชายผมหางม้าก็รีบวิ่งตามวาเรียสไปพลางตะโกนบอกให้ใจเย็นลง
คนโมโหร้ายนี่มันน่ากลัวจริง ๆ
