บท
ตั้งค่า

ตอนที่5 พบครอบครัว

“น้องแกล่ะ”

มเหศักดิ์ออกมาต้อนรับการันต์ลูกชายบุญธรรมคนโต ชายสูงวัยที่ยังดูแข็งแรงเริ่มมองหน้าการันต์อย่างไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก เพราะเห็นว่าการันต์ลงจากรถตู้พร้อมลูกน้องอีกสองคนเท่านั้น แต่ไม่ยักจะเห็นกชกรน้องสาวของการันต์ลูกบุญธรรมอีกคนของเขา

มเหศักดิ์ ชายสูงวัย ที่ใครๆ ต่างก็ยกให้เป็นมาเฟียใหญ่ เขามีอิทธิพลมากในแวดวงนักธุรกิจ แต่กว่าเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ผ่านทั้งธุรกิจมืด สีขาวสีเทาปะปนกันไป แต่ตอนนี้เขาเลือกที่จะลามือจากธุรกิจมืดแล้ว หลังจากที่เสียลูกสาวแท้ๆ คนเดียวของเขาไป และด้วยอายุจึงทำให้ตอนนี้ก็เริ่มจะวางมือจากธุรกิจทั้งหมดแล้ว โดยการยกธุรกิจกลางคืนให้มาเทโอได้ดูแล และเรื่องธุรกิจอสังหายักษ์ใหญ่เป็นหน้าที่ของการันต์โดยมีกชกรเป็นผู้ช่วย

“ยัยเกรซไม่ยอมมาด้วยครับ”

การันต์ส่ายหัวและคิดว่าพ่อของเขารู้ดีว่าทำไมวันนี้กชกรถึงไม่ยอมมา

“ยังเคืองอยู่สินะ”

“ก็คงจะเป็นอย่างงั้นแหละครับ จะหมั้นกันอยู่แล้วจู่ๆ เรียวก็มาบอกว่ามีคนรักซะอย่างงั้น”

“ฉันผิดเองที่ให้สองคนนั้นหมั้นกันกะทันหัน ทั้งที่ยังไม่ถามความสมัครใจของเรียวก่อน”

เรื่องนี้มเหศักดิ์รู้สึกผิดต่อลูกๆ พอสมควร ที่เขาทำไปก็เพราะอยากให้มาเทโอและกชกรได้เป็นคู่กัน วันหน้าจะได้มอบงานใหญ่ให้ดูแลได้อย่างไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก

“ไม่นานยัยเกรซจะเข้าใจ คุณพ่อไม่ต้องห่วงครับ”

การันต์เอ่ยให้คนเป็นพ่อได้สบายใจ เพราะคิดว่าอีกไม่นานเดี๋ยวน้องเขาเงินหมดก็วิ่งแจ้นเข้ามาหาพ่อของเขาเอง

การันต์ นักธุรกิจหนุ่มที่กอบกุมกิจการอสังหายักษ์ใหญ่ของมเหศักดิ์ เขาเป็นคนเก่ง ฉลาดมาก จนมเหศักดิ์มอบหมายงานใหญ่ให้ดูแลหลายเรื่อง เขาและน้องสาวได้เป็นลูกบุญธรรมของมเหศักดิ์เมื่อหลายปีก่อน ครั้งนั้นน้องสาวของเขายังไม่รู้ประสา พ่อของเขาเป็นคนสนิทของมเหศักดิ์และปกป้องมเหศักดิ์จนตัวตาย พวกเขาเลยถูกมเหศักดิ์รับเลี้ยงเหมือนลูกแท้ๆ ตั้งแต่นั้นมา

“สวัสดีค่ะ”

มินตราเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ได้ก็เห็นผู้ชายสองคนยืนยิ้มรอต้อนรับเธออยู่แล้ว จึงรีบยกมือสวัสดีทักทายทั้งเปรยยิ้มอ่อนตอบกลับทั้งสองอย่างเป็นมิตร คอยโล่งใจหน่อยเมื่อคนที่อยู่ที่นี่ดูเป็นมิตรกว่ามาเทโอหลายเท่า

“นี่คุณพ่อผม แล้วนี่ก็คุณรันต์”

มาเทโอผายมือแนะนำคนทั้งสองให้มินตราได้รู้จัก ก่อนจะหันมาโอบหัวไหล่มนของหญิงสาวและแนะนำเธอให้กับพ่อตนและการันต์ได้รู้จักอย่างเป็นทางการ

“เธอคือมะลิคนที่ผมกำลังจะแต่งงานด้วยครับ”

มเหศักดิ์มองจ้องไปยังมินตราด้วยสายตาที่รู้สึกคุ้นเคยกับคนตรงหน้าพอสมควรเช่นเดียวกับการันต์ ท่าทีที่นิ่งไปของคนทั้งสองทำให้มาเทโอรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ครั้งแรกที่เขาเห็นเธอก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

“โต๊ะอาหารพร้อมแล้วค่ะคุณท่าน”

ไม่ทันที่มเหศักดิ์จะได้เอ่ยทักทายอะไรกับคนที่มาใหม่ต่อ หัวหน้าแม่บ้านก็มาเชิญให้ไปที่โต๊ะอาหารเสียก่อน

“งั้นเชิญด้านในกันเถอะ”

ทุกคนเดินตามมเหศักดิ์ไปที่โต๊ะอาหาร นานๆ โต๊ะอาหารตัวใหญ่ได้ทำหน้าที่เต็มที่เสียทีเมื่อมีอาหารวางไม่เว้นว่าง ปกติแล้วจะมีอาหารวางอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้นเนื่องจากมเหศักดิ์จะนั่งที่โต๊ะอาหารนี้คนเดียว

“ตามสบายนะหนูมะลิ”

“ค่ะคุณพ่อ อาหารน่าทานมากเลยนะคะ คุณพ่อชอบอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”

คนที่ไม่เคยต้องมานั่งทานข้าวเป็นทางการในฐานะสะใภ้ของใคร เธอจึงเลือกที่จะคุยเรื่องที่ถนัดที่สุดคือเรื่องอาหาร

“ของที่ฉันชอบ หมอสั่งห้ามทานน่ะสิ”

มเหศักดิ์ส่ายหัวช้าๆ

“อะไรเหรอคะ”

“ขาหมูพะโล้”

ใช่ นั่นคือสิ่งที่เขาชอบ และมันก็เป็นสิ่งที่ลูกสาวแท้ๆ ของเขาชอบมากเสียด้วย

“นั่นของโปรดมะลิเหมือนกันค่ะ ต้องเป็นขาหมูที่ตุ๋นนุ่มๆ เวลาจะทานต้องตักน้ำพะโล้ราดข้าวชุ่มๆ ใส่กระเทียมกับพริกขี้หนูด้วยนะคะ จะอร่อยมากๆ”

สาวเจ้าเอ่นถึงของโปรดด้วยสีหน้าที่มีความสุข พาคนที่ร่วมโต๊ะอาหารพลอยยิ้มตามเธอไปด้วย เว้นแต่มาเทโอที่รู้ตัวว่าเขาจะต้องปรามเธอเสียบ้าง ด้วยไม่คิดว่าหญิงสาวจะมีนิสัยพูดมากแบบนี้

“ทานข้าวเถอะ”

มาเทโอยื่นมือหนาวางบนหน้าตักมินตราอย่างลงน้ำหนัก ก่อนจะส่งสายตาให้เธอรู้ว่าตอนนี้เขาเริ่มไม่ชอบที่เธอพูดไม่หยุด

“ขอโทษด้วยค่ะ”

สาวเจ้าเริ่มหน้าเจื่อนเอ่ยขอโทษทุกคนเสียงอ่อน เธอเองก็ลืมไปว่ากำลังคุยอยู่กับคนที่เพิ่งจะเจอกัน การพูดอะไรมากไปอาจจะเป็นการเสียมารยาทก็เป็นได้

“ไม่เป็นไรหรอก ว่าที่เมียแกพูดเก่งดีนะ มีเธออยู่แกคงจะไม่เหงาใช่ไหมล่ะ”

มินตราเริ่มยิ้มออกที่มเหศักดิ์เข้าข้างเธอ ทั้งยังรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยกับชายสูงวัยคนนี้อย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่แรกเห็นแล้ว

“ครับ เธอก็น่ารักแบบนี้แหละครับ”

มาเทโอแสร้งยิ้มอ่อนและยกมือลูบหัวทุยของหญิงสาวเบามือ เขาต้องตามน้ำเมื่อเห็นคนเป็นพ่อมีท่าทีเอ็นดูและไม่ได้ถือสามินตรา คำที่เขาพูดออกมาเมื่อครู่ช่างตรงข้ามกับเสียงในหัวใจตอนนี้เหลือเกิน หากรู้ว่าเธอเป็นคนพูดมากแต่แรกคงกำชับให้สงบปากสงบคำก่อนมาถึงแล้ว

“เห็นหนูมะลิแล้วอดนึกถึงใครบางคนไม่ได้นะ”

สองหนุ่มรู้ว่ามเหศักดิ์พูดถึงใคร แต่คนที่กำลังมีความสงสัยเริ่มเบิกตามองจ้องไปยังชายสูงวัยอย่างอยากรู้

“ใครเหรอคะ”

“ช่างเถอะ หนูลองทานนี่สิ ฉันว่าหนูน่าจะชอบ”

มเหศักดิ์ไม่อยากพูดอะไรที่ทำลายบรรยากาศดีๆ ตอนนี้ เพราะหากเกริ่นชื่อออกมารู้ได้เลยว่าสะใภ้ช่างเจรจาคนนี้ได้ต่อความยืดแน่ และเห็นว่าพูดคุยกันมาพอสมควรแล้วควรจะเริ่มมื้ออาหารสักที จึงเอื้อมมือไปตักพล่ากุ้งใส่จานของมินตรา

“ขอบคุณค่ะ หืม อร่อยมากเลยค่ะ”

สาวเจ้ารีบตักอาหารเข้าปากพอดีคำ เมื่อเคี้ยวได้สองสามครั้ง ก็เริ่มอมยิ้มหน้าระรื่นอย่างไม่เสแสร้ง เพราะอาหารถูกปากเธอมากจริงๆ

หลังจากทานข้าวกันเรียบร้อยแล้วมเหศักดิ์ก็ได้ฤกษ์คุยกับมาเทโอถึงเรื่องที่จะแต่งงานจริงจังเสียที

“แล้วกำหนดแต่งเมื่อไรล่ะ”

“อาทิตย์หน้าครับคุณพ่อ ผมว่าจะจัดงานเล็กๆ ที่บ้านพักริมทะเล”

“อืม ก็ดีนะแล้วพ่อแม่หนูมะลิว่ายังไงเค้าเรียกสินสอดอะไรเท่าไร”

“ท่านทั้งสองไม่ได้เรียกอะไรมากครับ แต่ผมก็เตรียมทุกอย่างไว้ให้สมน้ำสมเนื้อครับ คุณพ่อไม่ต้องห่วง”

“อืม ให้เกียรติครอบครัวเค้าให้มากที่สุดก็แล้วกัน ใจฉันก็อยากจะเจอพ่อแม่หนูมะลิก่อนถึงงานแต่งเหมือนกันนะ ตอนแกไปขอลูกสาวเค้าก็ไม่คิดจะบอกฉันบ้างเลย”

มเหศักดิ์ได้ทีก็เอ่ยตำหนิมาเทโอถึงเรื่องนี้เสียเลย เพราะจะแต่งงานทั้งทีก็เพิ่งจะมาบอกกับเขากะทันหัน แทนที่เขาจะได้เป็นผู้ใหญ่ไปสู่ของมินตราอย่างให้เกียรติก็ไม่ได้ไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel