สุนทรพจน์ขับไล่
" ตื่นเร็ว ตื่น ๆ คุณอิทธิตื่นเร็วครับ "
เสียงเรียกชื่ออิทธิดังอยู่ข้างหู ทำให้เขาต้องพยายามลืมตาตื่น
" นี้ที่ไหนเนี้ย อยู่โรงบาลแล้วหรือยัง? "
หลังจากรถชนก็ทำให้เขาฝันแปลก ๆ
" โรงพยาบาล? อะไรกันครับ รีบตื่นแล้วตามผมมาเร็ว "
ไม่รู้ทำไมเสียงที่เรียกเขาช่างรู้สึกคุ้นหูเหลือเกิน อิทธิลืมตาขึ้นดูคนที่เรียกเขาอยู่ข้าง ๆ
" อาเธอร์นี้หว่า โธ่เว้ย นี้ไม่ได้ฝันไปหรอกหรอวะ"
เมื่อเห็นว่าคนเรียกคืออาเธอร์ ชายหนุ่มพี่พาเขามายังหมู่บ้านชายแดน สิ่งเดียวที่อิทธิแสดงออกคือความผิดหวัง
"ลุกเร็วเขาครับคุณอิทธิ เราสายแล้ว"
ไม่พูดเปล่าอาเธอร์คว้าแขนของอิทธิ แล้วออกแรงดึงเขาให้เดินตามออกไปอย่างเร็ว จนอิทธิแทบจะสะดุดล้มหลายครั้ง
" เฮ้ย อาเธอร์เราจะรีบไปไหนกันแล้วจะรีบร้อนไปไหน ค่อย ๆ ก็ได้ "
อิทธิรีบขัดกว่าจะให้อาเธอร์เลิกฉุดกระชากให้้ขาเดินได้ ก็ต้องสู้รบปรบมือกันอยู่พักหนึ่ง
" คุณจำที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกไม่ได้หรอครับ ที่บอกว่าให้คนไปพบที่ลานหมู่บ้านนะ "
อาเธอร์เตือนความทรงจำ แต่ดูเหมือนอิทธิจะจำไม่ได้
" ก็หลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกให้คุณรับตำแหน่งผู้นำกองทัพยังไงละครับ "
" โอ้ ถ้างั้นก็ไม่แปลกที่ฉันจะจำไม่ได้ พอได้ยินว่าต้องรับตำแหน่งแล้วหูก็ดับทันที ไม่ได้ฟังอะไรต่อทั้งนั้นแหล่ะ "
เมื่อรู้ว่าตนเองต้องพาคนไปรบอิทธิก็แทบจำหน้ามืด สติสะตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนอยู่บนที่นอนแล้ว
" ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะครับ เรารีบไปดีกว่า "
อาเธอร์พาอิทธิ เดินไปตามทางจนมาทะลุแถวบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน ที่เช้านี้เต็มไปด้วยผู้คนคับคั้ง มีเวทีเล็ก ๆ ที่ทำจากไม้อย่างลวก ๆ ตั้งขึ้นตรงกลาง แล้วมีประชาชนล้อมรอบ หัวหน้าหมู่บ้านก็ยืนพูดอยู่บนเวทีคนเดียว คนรอบ ๆ ล้วนตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด
" เอาละ มาเข้าเรื่องสำคัญกันดีกว่า ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ผมนัดพวกคุณทุกคนมาที่นี้ วันนี้ ผมอยากจะแจ้งให้ทุกคนทราบ ผมในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านนั้นปีนี้ก็อายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ไม่มีเรี่ยวมีแรงไปรบทัพจับศึกกับใคร แต่พวกเรานับว่ามีโชค ที่เมื่อวันก่อนได้มีนายทหารท่านหนึ่ง ได้ต่อสู้ในสงครามและได้จับข้าศึกได้สองนาย หลาย ๆ คนอาจจะพอรู้มาบ้างแล้ว "
พอพูดถึงตรงนี้ คนรอบ ๆ ต่างพูดคุยกันอย่างเซ็งแซ่
' ไม่เอานะ ลุง อย่าทำอย่างที่ผมคิดอีกนะ '
เมื่อถูกลากมายืนฟังหัวหน้าหมู่บ้านพูดทำเอาอิทธิหน้าเริ่มถอดสีอีกครั้งแล้ว
" เงียบก่อน เงียบก่อน ดังนั้นในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านผมจึงตัดสินใจที่จะให้ ท่านอิทธินายทหารขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้นำกองทัพของเราและขอให้ท่านอิทธิขึ้นมาพูดกับทุกคนซักหน่อย "
ไม่พูดปล่าวยังจะให้อิทธิขึ้นไปพูดต่อทำให้ทุกสายตามองมาที่เขาเป็นตาเดียว ด้านหลังก็มีอาเธอร์คอยดันให้เขาเดินขึ้นเวทีไป
" ทุกคน ตบมือให้ท่านอิทธิด้วย "
ก่อนจะทิ้งให้อิทธิอยู่คนเดียว ทำให้เขารู้สึกอึดอัด กระอักกระอ่วนไม่รู้จะพูดอะไร ทุกคนต่างนิ่งเงียบรอฟังสิ่งที่ผู้นำกองทัพคนใหม่จะพูดอย่างตั้งใจ
" เออ...พูดอะไรกันบ้างก็ได้นะครับ ไม่ต้องตั้งใจฟังมากก็ได้ ลองคุยกันดูสิครับ ลองดู "
อิทธิไม่รู้จะพูดอะไร ทั้งยังไม่ได้อยสกจะพูดอะไรด้วย
" ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรดี งั้นผมขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ผมนายอิทธิ พยางกูล ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นทหารของอาณาจักรแห่งนี้ครับ "
พูดไปโดยไร้เสียงตอบรับ ทุกคนต่างนิ่งเงียบ จนมีเสียงคนปรบมือขึ้นมา ทำให้คนอื่น ๆ ปรบมือตามอิทธิรู้สึกว่าคนที่เริ่มปรบมือ มาจากข้าง ๆ ตนพอหันไปก็เห็นอาเธอร์ขยิบตาให้ คงไม่ต้องบอกเป็นมันแน่ ๆเมื่อไม่รู้จะพูดอะไร ก็ได้แต่คิดหาวิธีที่จะไม่ต้องเป็นผู้นำกองทัพไปรบ หาทางหลีกเลี่ยงให้ได้แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาสิ่งที่เขาต้องทำ เมื่อมีโอกาสพูดต่อหน้าทุกคนแล้ว ก็จะต้องชักจูงให้คนพวกนี้ไม่อยากไปรบ เมื่อทหารไม่อยากรบ ก็จะไม่มีทหาร เมื่อไม่มีทหารก็ไปรบไม่ได้ และเมื่อไม่ไปรบก็ไม่ต้องนำกองทัพ ไอเดียบรรเจิดจริง ๆ ไม่อยากชมว่าตัวเองสมองไวชะมัด
" อะแฮ่ม ๆ เอาละในวาระครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีที่ผมได้รับความไว้วางใจจากท่านหัวหน้าหมู่บ้านให้มาดำรงตำแหน่งนี้ ผมจึงอยากถามความสมัครใจของทุกคนดูก่อน ในฐานะผู้นำกองทัพผมต้องการคนที่ไปรบโดยสมัครใจ ไม่ใช่ถูกบังคับไป ดังนั้นถ้าใครไม่ต้องการไปรบในครั้งนี้ ผมจะไม่ถือเป็นความผิด คุณสามารถเดินออกไปได้เลย "
ทุกคนต่างตกใจกับคำพูดของอิทธิ ทหารก็มีน้อยอยู่แล้วกับจะให้ทหารไปต้องไปรบได้ ทำให้ทุกคนต่างพูดคุยกันไปทั่ว บางคนเดินออกไปตามที่อิทธิพูด
' ดูถ้าจะยังพูดไมเคลียพอ '
" พวกคุณลองนึกดูดี ๆ ไร่นา ครอบครัว ลูกและภารยาจองคุณต้องการให้คุณปกป้องพวกเขา มันเป็นหน้าที่ของใครกัน ก็ต้องเป็นของพวกคุณกำลังจะออกไปรบ ลองคิดถึงพวกเขาก่อน "
คำพูดที่อิทธิพูดออกไป ไม่รู้ว่าส่งผลดีหรือผลร้ายแต่พวกเขาต่างนิ่งเงียบตั้งใจฟัง บางคนที่กำลังจะเดอนออกไป เมื่อได้ฟังต่างชะงักหันมามองอิทธิอีกครั้ง คนที่เดินออกไปแล้วต่างก้มหน้าไม่รู้ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร' ต้องกระตุ้นอีก พวกเขายังไม่กล้าตัดสินใจ เราต้องพูดชักจูงให้พวกเขา เดินออกไปให้มากที่สุด'อิทธิจะใช่โอกาสนี้เป็นทางรอดให้กับตัวเองให้ได้
" คนที่ยังอยู่ ลองฟังผมดี ๆ ข้าศึกบุกเข้ามายังประเทศนี้ กองทัพใหญ่กำลังมาแล้วพวกเราต้องทำอะไรลองคิดดู สิ่งที่เราต้องทำก็แค่ปกป้องทรัพย์สินและครอบครัวตัวเอง ถ้าท่านไม่ทำแล้วใครจะทำ พวกข้าศึกบุกมาก็หวังจะทำร้ายทุก ๆ อย่างให้ราบเป็นหน้ากอง เผาไร่นา ข่มขืนสตรี พวกมันมีมากกว่าเราอย่างน้อย สิบต่อหนึ่ง แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะละทิ้งบ้านของเรา ใช่ไหม "
อิทธิยิ่งพูดก็ยิ่งใช้เสียงดังขึ้น ดังขึ้น
" ใช่ "
เสียงตะโกนขานรับดังกระหึ่มไปทั่วหมู่บ้าน
' เยส ครั้งนี้แหละ ต้องเดินออกกันตึมแน่ เห็นด้วยขนาดนี้ ครั้งนี้อุตส่าห์จัดคำพูดชุดใหญ่ คงมีถอดใจกันบ้าง '
แต่ดูเหมือนมันจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่อิทธิคิด คนที่จะเดินออกก็เปลี่ยนใจไม่เดินออกแล้ว ส่วนที่เดินออกไปแล้วกลับเดินเข้ามาใหม่จำนวนมาก
' เฮ้ย ๆ ดูท่าชักจูงจะไม่ได้ผล คงต้องใช้ไม้เด็ดข่มขู่ให้ฟวาดกลัว จนไม่กล้าไปรบท่าจะดีกว่า '
" พวกคุณทุกคนคิดดีแล้วงั้นหรอ สงครามมันไม่ได้สวยหรูเหมือนในนิทานหรอกนะ ดิน โคลน เลือดและศพเต็มไปหมด เมื่อคุณไปรบก็ต้องเตรียมใจตายทุกเมื่อ จะไม่ได้กลับบ้านมาดูลูกเมียอีก แล้วข้าศึกของเรานั้นโหดเหี้ยม พวกมันนั้นไม่มีทางไว้ชีวิตลูกเมียคุณทุกคน ดังนั้นคิดให้ดีก่อนออกไปรบ มันเป็นเหมือนการเดินทางที่อย่าหวังจะได้กลับ ลูกเมียที่ยืนข้างหลังโดยมีคุณเท่านั้นที่จะอยู่และปกป้องพวกเขาได้ สนามรบไม่ใช่ที่ให้ไปถอดใจกลางทาง เมื่อตัดสินใจแล้วก็อย่านึกเสียใจอีก คิดให้ดี ๆ "
เมื่อพูดจบ ไม่มีใครเดินออกอีกแถมที่เดินออกไปต่างกลับเข้ามาจนหมด
' อะไรกันวะ คนพวกนี้ไม่กลัวตายกันเลยหรอไง ไม่รักชีวิต รักครอบครัวกันหรอไงฟะ '
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเดินออก อิทธิก็ได้แต่เดอนคอตกลงจากเวทีมา เสียงปรบมือกึกก้องดังยิ่งกว่าตอนเขาเดอนขึ้นไปซะอีก
" สุดยอดมากเลยครับ คำพูดจองคุณอิทธิทำเอาผมรู้สึกดีจริง ๆ "
เป็นอาเธอร์ที่เข้ามาพูดชื่นชมในการพูดของเขาทันทีที่ลงจากเวที
" หรือ ทำไม่ฉันไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยวะ "
อิทธิได้แต่เดินคอตก เมื่อแผนการที่ต้องการพูดให้คนไม่อยากไปรบกัยไม่สำเร็จ
' ไอ้คนพวกนี้มันต้องบ้ากันแน่ ๆ พูดขนาดนี้ยังอยากไปรบกันอีก '
อิทธิได้แต่บ่นอย่างเซง ๆ ตลอดทางที่เดินกลับห้องนอน ฝูงชนต่างเดินเข้ามาทักทายเขา โบกไม้โบกมือให้
" ท่านอิทธิ คุณพูดได้ดีจริง ๆ พูดซะผมเองอยากออกไปรบด้วยเลย ฮา ฮา ฮ่า "
หัวหน้าหมู่บ้านเดินเขามา ตบหลังตบไหล่ อิทธิด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
' เหอะ ๆ ที่อย่างนี้พูดดีเชียวนะลุง '
" ฮา ฮา ฮ่า ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าผู้ใหญ่อยากจะนำกองทัพอีกครั้งผมก็ไม่ติดอะไรนะครับ "
" ไม่ดีกว่าครับ คุณอิทธิคุณนั้นแหละเหมาะสมแล้ว "
พอพูดเสร็จหัวหน้าหมู่บ้าน ก็เดินหนีไปทันที
' หนีไปไวเชียวนะลุง '
" คุณอิทธิจะตรวจแถวเลยไหมครับ "
อาเธอร์พูดขึ้นหลังจากผู้ใหญ่บ้านเดินออกไป
" ตรวจแถวงั้นหรอ? "
พอได้ยินอิทธิก็เริ่มหนักใจขึ้นทันที
รอไม่ถึงสองชั่วโมง อาเธอร์ก็เรียกให้เหล่าชาวบ้านที่เป็นทหารอาสามารวมตัวกันที่ลานกลางหมู่บ้านอีกครั้ง แต่กว่าจะทำให้ชาวบ้านอยู่ในระเบียบเป็นแถวเป็นตอนกินเวลานานทีเดียว
" เรียบร้อยแล้วครับ "
อาเธอร์วิ่งกลับมาหลังด้วยสภาพเหงื่อโซมกายหลังจัดการเรียกคนให้มารวมตัวกัน
" ไหวไหมอาเธอร์ พักก่อนก็ได้ "
เมื่อเห็นสภาพอาเธอร์แล้วอิทธิก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาทันที ตั้งแต่มาถึงอาเธอร์ก็เหมือนคนใช้ ไม่สิ ต้องเรียกว่าเลขาส่วนตัวมากกว่าทำทุกอย่างให้เขาจริง ๆ
" ไม่เป็นไรครับ คุณอิทธิลงไปดูก่อนสิครับ "
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ อาเธอร์ก็ดูเหนื่อยจริง
" ถ้าพูดอย่างนั้น ก็เอาเถอะลองไปดูก่อน "
เมื่อเห็นว่าอาเธอร์ยังไหว ก็ได้แต่ให้เขาเดินตามไปดูแถวทหาร
' คนพวกนี้ คงยังไม่เคยแม้แต่จะยิงปืนมาก่อนด้วนซ้ำ '
จากการดูคร่าว ๆ ในกองทหารอาสาของเขาส่วนใหญ่เป็นเพียงชาวบ้านร้านถิ่น บางคนไม่เคยเห็นปืนมาก่อนด้วยซ้ำ แค่ตัวตรง ถือปืนยาวแนบตัวยังทำไม่ค่อยจะได้เลย จากที่ได้ดูส่วนใหญ่จะเป็นเด็กไม่ก็คนสูงวัยที่ไม่ถูกเกณฑ์ไปในครั้งก่อนซะมาก มีผู้หญิงบางเล็กน้อย
" นี้ คนที่อาสามามีแต่เด็ก คนแกแล้วก็พูดหญิงเท่านั้นหรอ "
อิทธิหันไปกระซิบกับอาเธอร์ที่คอยเดินตามอยู่ข้าง ๆ
" ผู้ชายส่วนใหญ่ ถูกเกณฑ์ไปรบหมดแล้วแล้วครับนี้เราก็เกณฑ์ทุกคนที่พอจะถือปืนได้มาหมดแล้วครับ "
" แล้วคนทั้งหมดได้มาเท่าไรกัน "
" สี่ร้อยกับเศษอีกสิบสามคนครับ "
" แค่สี่ร้อย? แล้วนี้พอจะรู้ไหมว่าข้าศึกเรายกมาเท่าไร "
" จากที่เล่าเค้นมาจากคนที่คุณจับมาได้ พอจะรู้ว่ามาว่า จักรวรรดิดาทาเนียยกกำลังพลมาบุกครั้งนี้ ประมาณแปดพันได้ "
" แปดพัน!! งั้นบอกทุกคนเลยเลิกแถวกลับบ้านเลย "
ด้วยจำนวนที่แตกต่างกันเกินไป อิทธิไม่คิดจะเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า ๆ แน่
" คุณพูดเล่นใช่ไหมครับ? คุณพูดเองว่าเราต้องปกป้องบ้านเรา ดังนั้นพวกเราทั้งหมดยอมสู้จนตัวตายไปพร้อมกับคุณ "
ไม่รู้อะไรเข้าสิงไอ้เจ้าอาเธอร์ ดวงตาที่ดูเด็ดเดียวทำเอาอิทธิพูดไม่ออก
' ถ้าแกคิดจะตายเพื่อบ้านเกิด ก็แล้วแต่แกสิวะ ฉันไม่ได้เกิดที่นี้เว้ย ดูถ้าคงได้แต่หาทางไม่พาคนพวกนี้ไปตายโง่ ๆ ในสนามรบให้ได้ '
เมื่อไม่มีทางให้ถอยหนี คงได้แต่ลงมือเต็มที่ ต้องเปลี่ยนให้คนพวกนี้สามารถทำตามที่เขาสั่งได้ขณะออกรบ ไม่อย่างนั้นเท่ากับออกไปตายฟรีแน่
" ถ้าอย่างนั้นเมื่อหลบเลี่ยงไม่ได้แล้ว เราคงต้องเปลี่ยนชาวบ้านพวกนี้ ให้กลายเป็นทหารให้ได้ก่อน "
แล้วอิทธิก็เริ่มจัดโปรแกรมเปลี่ยนชาวบ้านผู้อ่อนแอให้สามารถเป็นทหารที่รับฟังคำสั่งในสนามรบได้
" อย่างที่ทุกคนรู้แล้วผมชื่อ อิทธิ พรางกูล ในฐานะที่ผมได้รับมอบหมายให้มาเป็นผู้บัญชาการกองกำลังอาสาพวกคุณจะต้องถูกฝึกฝนให้เหมาะสมและพร้อมที่จะออกไปรบ ที่ผมต้องบอกพวกคุณไว้ก่อนให้เตรียมใจที่จะตายเอาไว้เพราะในสงคราม มีแค่ตายไม่ก็รอด ถ้าพวกคุณทำตามที่ผมสั่งได้เป็นอย่างดี ไม่ขาดตกบกพร่องและพวกเรามีโชคมากพอ ผมบอกได้เลยว่าพวกคุณจะได้กลับบ้าน เพราะอย่างนั้นเตรียมใจให้ดี ๆ ต่อจากนี้จะไม่มีการล้อเล่นอีกเราจะเข้าสู่โหมดจริงจังกันแล้ว "
อิทธิพูดดังขึ้นเรื่อย ทำให้บรรยากาศตอนแรกเหล่าชาวบ้านที่ยังลุกลี้ลุกลน เริ่มจะรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาเห็นได้เลยจากสีหน้าพวกเขา
อิทธิไม่ยอมเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาเริ่มจากแบ่งกำลังคนเป็นหลาย ๆ หน่วยหลาย ๆ กอง โดย หนึ่งกองมีหนึ่งร้อยคน จึงได้สี่กอง อิทธิคุมกองที่หนึ่ง อาเธอร์คุมกองที่สอง ส่วนที่สามและสี่ เป็นลุงสมิทและช่างตัดไม้ที่ชื่อว่าบิลลี่ และในหนึ่งกองยังแบ่งเป็นหน่วยย่อย ๆ อีกโดยหนึ่งหน่วยมียี่สิบคน มีหัวหน้าหน่วยหนึ่งคนคอยรับคำสั่งจากหัวหน้ากอง และอิทธิก็ออกแบบแผนการฝึกโดยคร่าว ๆ ให้กับลุงสมิทที่อิทธิเลือกให้เป็นคนคอยควบคุมการฝึก มีทั้งเรื่อง ระเบียบแถว การเคลื่อนพลตามคำสั่งเบื้องต้น ทั้งยังฝึกยิงปืนและบรรจุกระสุน ลุงสมิทจะเป็นคนคอยควบคุม อิทธิทำให้ดูเป็นตัวอย่างและลุงสมิทจะเอาไปสอนต่ออีกที ด้วยการที่อาชีพเดิมลุงสมิทเคยเป็นครูในหมู่บ้านนี้มาก่อน จึงสามารถอธิบายขั้นตอนและฝึกทั้งสี่กองได้เป็นอย่างดี
เมื่อยกหน้าที่การฝึกให้กับลุงสมิทไปเรียบร้อย อิทธิและอาเธอร์ก็มาหาหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อวางแผนการในการรับมือข้าศึกต่อไป
" จากที่เราเค้นขอมูลมาได้ กองทัพข้าศึกที่ยกมามีจำนวนประมาณแปดพันได้ ทั้งยังเป็นการบุกโดยไม่บอกล่วงหน้า ดูท่าพวกมันจะรีบเร่งบุก ดูท่าจะไม่ได้เตรียมของมามากพอที่จะเลี้ยงคนจำนวนมากขนาดนั้นได้นานเท่าไร คงต้องหาเสบียงเพิ่มแน่ ๆ "
อิทธิเริ่มวิเคราะห์ให้ทุกคนในห้องประชุม ซึ่งก็มีผู้ใหญ่บ้าน อาเธอร์และคนที่เกี่ยวข้องสามสี่คน
" ถ้าอย่างนั้นพวกมันคงจะต้องหาเสบียงเพิ่มจากหมู่บ้านใกล้ ๆ เพิ่มแน่ ๆ "
อาเธอร์พูดต่อเมื่อได้พักความคิดเห็นของอิทธิ สิ่งที่อาเธอร์พูดทำให้ทำให้ทุกคนหน้าซีดไปตาม ๆ กัน พวกเขาไม่อาจรับมือทหารที่มากถึงแปดพันนายได้แน่ คงมีแต่อิทธิที่ไม่ได้แสดงออกถึงความกลัวแต่นิ่งเงียบครุ่นคิดอย่างเยือกเย็น
" อาเธอร์มีแผนที่ไหม เอามาหน่อย "
อิทธิพูดขึ้นเรียกสติของหลาย ๆ ให้กลับมา
" มี ๆ เดียวข้าหยิบมาให้ "
เป็นหัวหน้าหมู่บ้านตอบแทน ก่อนจะหายออกไปแล้วแล้วกับมาพร้อมแผนที่ในมือ อาเธอร์จึงรับมากลางออกบนโต๊ะ ทุกคนก็เริ่มมุงดูกัน
" จะที่เรารู้กองทัพของข้าศึก ต้องการโจมตีเมืองดานซิกซึ่งมันอยู่คนละทางกับหมู่บ้านชายแดนของพวกเรา พวกมันคงไม่คิดเคลื่อนกำลังทั้งหมดมาที่นี้เพื่อหาเสบียงแน่ "
อิทธิชี้ให้เห็นถึงเส้นทางที่แตกต่างกันของเส้นทางที่ข้าศึกต้องการมุ่งไปกับหมู่บ้านชายแดน
" ถ้าอย่างนั้นพวกมันจะผ่านเราไปเฉย ๆ งั้นหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีนะสิ "
หลายคนในห้องประชุมล้วนมีสีหน้าดีขึ้น แต่อิทธิกับรู้สึกแย่ลง
" ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะดี แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นนะสิ "
อิทธิพูดขึ้นขัดความรู้สึกยินดีของใครหลาย ๆ คน
" ทำไมละครับ ก็พวกเราไม่ได้อยู่ในทางที่พวกเขาจะโจมตีไม่ใช่หรอครับ "
อาเธอร์เป็นคนแรกที่ถาม
" ใช่ พวกเราไม่ได้อยู่ในเส้นทางของพวกเขาก็จริง แต่พวกเขายังคงต้องการเสบียงในการเดินทัพ แล้วลองนึกดูสิ ในแถบนี้ หมู่บ้านต่าง ๆ ได้อพยพหนีสงครามมาที่นี้กันทั้งนั้น พวกมันต้องรู้แน่ว่าจะหาเสบียงได้ที่ไหน ยังไงพวกมันก็ต้องโจมตีที่นี้แน่ "
พออิทธิอธิบายจบ บรรยากาศของความยินดีเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นหดหู่อีกครั้ง
" แล้วเราจะทำยังไงกันดี "
เป็นหัวหน้าหมู่บ้านถามอิทธิด้วยความรู้สึกร้อนใจ เพราะถ้าเป็นอย่างที่อิทธิพูดพวกเขาคงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้
" ตอนนี้เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกองกำลังที่จะมาโจมตี เราต้องรู้ว่าพวกเขาจะยกกำลังพลเท่าไรมามันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราจะต้องรู้กำลังของอีกฝ่าย รวมทั้งเส้นทางที่พวกเขาจะยกมาด้วย "
อิทธิอธิบายถึงสิ่งจำเป็นที่จะต้องรู้เพื่อใช้ในการรับมือข้าศึกในการรบ เพื่อชิงความได้เปรียบให้มากที่สุด
" ให้คนของเราไปซุ่มดูพวกมันที่ค่าย อย่าให้พวกมันรู้ตัว "
หัวหน้าหมู่บ้านสั่งคนของเขาให้ออกไปอย่างรวดเร็ว
" งั้นคงต้องรอข่าว ภาวนาให้พวกมันไม่บ้ายกกันมาทั้งหมดก็พอ และดูจากแผนที่พวกมันควรจะบุกพวกเราจากทางไหน "
เมื่อเคลียร์ไปได้หนึ่งเรื่อง ก็ต้องมาหาว่าข้าศึกจะบุกโจมตีพวกเขาจากทางไหน
" ต้องเป็นเส้นนี้แน่ครับ "
อาเธอพูดแทรง ทั้งชี้ไปบนแผนที่ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางที่สามารถใช้คิดว่าข้าศึกจะใช้โจมตี
" เส้นนั้นหรออาเธอร์ ฉันคิดว่าพวกมันจะใช้เส้นนี้มากกว่า "
ผู้ใหญ่บ้านพูดขัด ทั้งยังเสนออีกเส้นทางหนึ่ง
" อย่าพึ่งเถียงกัน หัวหน้าหมู่บ้านลองอธิบายถนนเส้นนั้นหน่อย "
อิทธิหยุดการถกเถียงของทั้งคู่ และขอฟังอธิบายถึงเหตุผลที่ทั้งสองคิด
" ถนนสายนี้เป็นถนนสายใหม่ มีขนาดกว้างถ้าจะเดินทัพถนนเส้นนี้ละเหมาะมาก "
หัวหน้าหมู่บ้านอธิบายความคิดของตน ก็ทำให้อิทธิหยุดคิดเล็กน้อย
" แล้วของนายละอาเธอร์ ทำไมคิดว่าเป็นถนนเส้นนั้นละ "
ถึงคราวอาเธอร์อธิบายบ้าง
" ถนนเส้นนี้เป็นถนนเส้นเก่า มันไม่กว้างมากแต่ก็เพียงพอให้สามารถเดินทัพได้ อีกทั้งมันยังเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดที่จะเดินทางมาที่หมู่บ้านของเรา อีกหนึ่งประโยชน์ของมัน ด้วยมันเป็นทางเก่าสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้รกทึบถ้าเดินทางอย่างเงียบก็คงไม่มีใครรู้ว่ามีคนเดินผ่าน อย่างที่คุณบอกกองทัพพวกมันต้องแข่งขันกับเวลา ถ้าพวกมันเดินทัพอย่างไม่หยุด เพียงหนึ่งวันหนึ่งหนึ่งคืนก็คงจะถึงหมู่บ้านของเราแล้ว "
อาเธอร์อธิบายความคิดของเขา ได้อย่างมีเหตุมีผลทำให้อิทธิเคร่งเครียดในการตัดสินใจ
" เส้นทางนี้ใช่ไหม "
อิทธิชี้เส้นทางสายที่อาเธอร์เลือก
" อืม...ฉันก็คิดเหมือนนายเลย พวกมันจะต้องมาทางนี้แน่ ทางที่สั้นที่สุดถึงพวกมันจะไม่ใช่คนพื้นที่แต่กองลาดตระเวนของพวกมันก็คงต้องพบเส้นทางนี้เหมือนกัน สิ่งที่เราต้องภาวนาก็คือขอให้มีแม่ทัพหน้าโง่สักคนคิดว่าทาง ๆ นี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะก็เท่านั้น "
..............
" ดาร์เรน เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะรับอาสาไปหาเสบียง ถึงเราจะจัดการทหารกองหน้าพวกมันจนราบแล้วก็ตามแต่มันก็ยังมีอันตรายอยู่มาก หมู่บ้านแถวนี้ต่างจัดตั้งกองทัพอาสาขึ้นอย่าประมาทพวกมันละ "
คนที่พูดคือ เซอร์ มอร์แกน วอน อัลเบิร์ด แม่ทัพใหญ่กองกำลังจักรวรรดิดาทาเนีย ซึ่งเป็นผู้นำในการโจมตีอาณาจักรซาร์เฟียครั้งนี้
" ไม่ต้องห่วงท่านพ่อ ข้ามีแผนในใจไว้แล้ว เราจะเซอร์ไพรส์ไม่ให้พวกมันได้ทันตั้งตัว ท่านพ่อเชื่อใจลูกได้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง "
ดาร์เรน วอน อัลเบิร์ด ลูกชายคนเดียวของแม่ทัพใหญ่ของจักรวรรดิดาทาเนีย เขาติดตามบิดาออกรบตั้งแต่ยังเด็ก มีผลงานในการรบไม่น้อยจนหลายคนเรียกเขาว่า ' สิงห์หนุ่มแห่งจักรวรรดิ '
" ถ้าอย่างนั้นก็รีบไป รีบกลับแล้วเจ้าคิดจะโจมตีหมู่บ้านไหนก่อนละ
" คงต้องเป็นที่นี้ ชาวบ้านในแถบนี้ต่างอพยพไปที่นี้กันหมด ดูท่าคงจะมีเสบียงอยู่ไม่น้อย "
ดาร์เราชี้ให้บิดาดูถึงเป้าหมายที่เขาจะไปบุกโจมตีครั้งนี้ ' หมู่บ้านชายแดน '
