INTO THE BATTLEFIELD พระเจ้าส่งผมไปรบ

201.0K · จบแล้ว
Anunes
50
บท
8.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ในภาพยนตร์หรือหนังสือการถูกส่งไปเกิดใหม่ก็มักจะถูกส่งไปเป็นผู้กล้า ไม่ก็ได้รับพลังวิเศษไม่มีใครต้าน แต่ทำไมผมกับถูกส่งไปรบล่ะ

นิยายแอคชั่นแม่ทัพนิยายแฟนตาซีนิยายผจญภัยเกิดใหม่ข้ามมิติแฟนตาซี ต่างโลก

INTO THE BATTLEFIELD

คอนดราโวเล่, สมรภูมิมิกซ์ตั้นเบิร์ก, 1872

" จัดแถว!!!! " ในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยดินโคลน ทหารทั้งสองฝั่งตั้งแถวประจันหน้า เสียงร้องตะโกนสั่งการของหัวหน้าหมู่นายกอง ดังระงมไปทั่วสนามรบ

" ติดดาบปลายปืน " คำสั่งถูกส่งกันไปเป็นทอด ๆ ทหารหาญล้วนปฎิบัติตามอย่างแข็งขันเป็นภาพที่ดูแล้วฮึกเหิม ภาพจำเหล่านี้เบื้องหลังแล้วใครจะรู้ไหมว่าเหล่าทหารรู้สึกอย่างไร

" โจมตี " นายพลทหารตะโกนกู่ก้อง ควบขี่ม้านำออกไป ด้านหลังตามติดด้วยเหล่าทหาร ธงโบกปลิวไสว เสียงกลองประโคมกระตุ้นความหึกเหิม

สองกองทัพประจันห่ำหั่นแย่งชิงชีวิตของอีกฝ่าย เสียงกระสุนปืนคาบศิลา ดินปืนลอยฟุ้งกระจาย ถูกเสียงปืนที่ลั่นไกรมักจะตามด้วยร่างไร้วิญญาณล้มลงจมกองโคลนนั้นคือจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้วก็จะมีร่างต่อไปและต่อไป จนกว่าจะไม่เหลือใครให้ล้มลงอีก เริ่มตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ศพมากมายนอนเกลื่อนสมรภูมิ รวมถึง

ชาร์ล ลี เบอแกรน หนุ่มน้อยวัย 16 ปีซึ่งถูกเกณฑ์มาร่วมรบ แทนที่จะได้ไปโรงเรียนเหมือนเด็กทั่วไป แต่เมื่อจักรวรรดิดาทาเนียบุกโจมตีชายแดนอาณาจักรซาร์เฟียแม่ทัพประจำชายแดนจึงต้องเกณฑ์ชายฉกรรจ์ทุกคนในแถบชายแดนมาป้องกันกองทัพที่รุกราน หวังว่าจะต้านทัพใหญ่ของข้าศึกไว้จนกว่าทัพเสริมมาจะถึง

แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟมาก ฉันใดก็ฉันนั้นกองทัพที่เกณฑ์มาใหม่ ส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นไม่ก็คนแก่ที่ไม่แม้แต่จะเคยจับอาวุธมาก่อน ย่อมไม่อาจต้านกองทัพที่ถูกฝึกมาอย่างดี กองทัพทหารเกณฑ์จำนวนสองพันเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดคนล้วนแล้วแต่ตายสิ้นในสมรภูมินี้

แต่ใครจะคาดคิดหนุ่มน้อยชาร์ลที่ถูกกระสุนยิงใส่ล้มลงตั้งแต่การปะทะกันครั้งแรกกับฟื้นคืนมาราวกับปาฎิหาริย์

" เฮือก... " สูดหายใจเข้าอย่างแรง คงเป็นสิ่งแรกที่คนเราจะทำหลังฟื้นคืนจากความตาย เมื่อตั้งสติได้ก็ลุกขึ้นนั่งอย่างเร็วราวกับไม่รู้สึกถึงรูกระสุนที่ท้อง

" ที่ไหนกันวะ ถ้าฉันเป็นอะไรนะจะฟ้องไอ้บริษัทเวนนั้นให้เจ้งให้หมดเลย " ร่างกายนั้นยังคงเป็นหนุ่มน้อยชาร์ล ลี เบอแกรม จากเมืองชายแดนคนเดิม แต่ภายในนั้นกับเป็นนายอิทธิ พรางกูล ที่พึ่งปลดประจำการทหารออกมาไม่กี่วัน แต่ใครจะคิดว่าหลังจากไปซื้อรถยนต์มือสองจากร้านที่เพื่อนแนะนำ ยังไม่ทันได้ออกมาพ้นร้านเท่าไร เบรกรถกับมีปัญหาเบรกไม่อยู่พุ่งชนเสาไฟฟ้าอย่างแรง รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในร่างนี้แล้ว

" แล้วที่นี้มันที่ไหนกัน " อาการปวดหัว ดวงตาพร่ามัวคงเป็นความรู้สึกแรกที่อิทธิรู้สึก กว่าจะตั้งสติและปรับตัวไปกับการอยู่ในร่างใหม่ได้

" เฮ้ย ทำไมมีศพคนอยู่เต็มไปหมดเลยวะ " พอสติกับมาแจ่มชัด สิ่งแรกที่อิทธิเห็นกับเป็นศพจำนวนมากมายอยู่รอบตัวเต็มไปหมด อิทธิลุกขึ้นยืนอย่างไว มองไปทางไหนก็มีแต่ซากศพ

" แหวะ " แม้แต่อิทธิก็ทนไม่ได้ ได้แต่อ้วกจนแทบหมดไส้หมดพุง ต้องรวบรวมสติอีกครั้งอยู่พักใหญ่

" เกิดบ้าไรขึ้นวะ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายเราขับรถออกมาแล้ว รถมันก็เบรกไม่ได้ แล้วก็มาอยู่นี้ " อิทธิรวบรวมความคิดพยายามนึกเรื่องราวทั้งหมดแต่พยายามนึกก็นึกไม่ออก แต่เวลาไม่คอยเขาท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง มีเพียงเขายืนอยู่ท่ามกลางศพทหารคนอื่น ๆ อย่างโดดเดียว

" ฮัลโหล...มีใครอยู่ไหม...ไม่สิ ยังมีใครรอดอยู่ไหม...ใครยังไม่ตายบ้าง..." อิทธิตัดสินใจเดินออกไปจากจุดตรงนี้ สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือซากศพ ทุกเสียงที่ตะโกนมีเพียงเสียงของเขาเองที่สะท้อนกลับมา

" ไป ชิ้ว ๆ ๆ " สิ่งเดียวที่ยังคงมีชีวิตนอกจากเขา ก็คงเป็นเหล่านกกาที่จิกกินซากศพอยู่

" แกว๊ก ๆ ๆ ๆ " เสียงนกร้องชวนขนลุกขนพอง ฟ้าก็ยิ่งมืดลงเรื่อย ๆ อุณหภูมิก็ลดลงเรื่อย ๆ

" หนาวจริงวุ้ย พวกแกอย่าลุกขึ้นมานะเว้ย ถ้าจะลุกก็ขอแบบคนเป็น ๆ อย่ามาแบบผีนะ กูคนไทยนะเว้ย คาถาไล่ผีมีเยอะ อย่าคิดลุกมาเชียว " ไม่รู้ว่าเพราะความมืดแล้วอยู่ท่ามกลางศพจำนวนมาก หรือป่าวถึงทำให้อิทธิเริ่มฟุ่งซ่านขึ้นมา

สองชั่วโมงต่อมากว่าอิทธิจะเดินออกมาจากกองซากศพมาได้

" เอาวะอย่างน้อยก็ไม่มีอะไรมาให้ตกกระใจเล่น " เมื่อเดินออกมาพ้นอิทธิก็ค่อยโล่งใจ แต่ปัญหาต่อมาก็คือเขาไม่รู้จะไปทางไหนต่อ

" กว่าจะเดินพ้นมาได้โล่งใจไปเปราะนึง แต่ปัญหาต่อมาคือจะไปทางไหนต่อไม่อยากไปตายในป่านะแทน " หลังจากตัดสินใจอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าเดินตามทางที่ดูโล่งกว่าทางอื่น

" รอดตายจากรถชน ตื่นมากลางซากศพแล้วจะมาจบที่หลงทางตายกลางป่าแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย " ไม่กี่อย่างที่อิทธิทำได้ก็คือย่ำเท้าเดินไปข้างหน้าและใช้ปากบ่นไปตลอดทาง

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

สองชั่วโมงผ่านไป

สามชั่วโมงก็ผ่านไปแล้ว ตลอดทางสองข้างทางมีแต่ต้นไม้ ใบหญ้าและแมลง พอมืดมองอะไรก็ไม่ค่อยเห็น เดินอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางจนในที่สุดอิทธิก็หมดความอดทน

" พระเจ้าเว้ย...นี้กะจะให้ตายซ้ำสองอยู่ในป่านี้หรือไง ถ้าอย่างงั้นก็น่าปล่อยตายตั้งแต่ตอนรถชนแล้ว ถ้าจะให้โอกาสอีกครั้งก็หาทางรอดให้หน่อยสิเว้ย " อิทธิได้แต่ระบายความในใจ โมโหก็โมโห แต่อีกใจก็รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสที่สองกับเขา

" ดูท่าเราใกล้บ้าขึ้นทุกที่มาตะโกนด่าพระเจ้ากลางป่า " เมื่อบ่นไปไม่ได้อะไรขึ้นมา อิทธิก็ต้องเดินต่อ

" !@#$%^7 " แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเดินต่ออิทธิก็ได้ยินเสียงคนคุยกันดังขึ้นมาไกล ๆ

" ขอบคุณพระเจ้า " เหมือนพระเจ้าได้ยินเสียงของเขา

" เฮ้ ใครก็ได้ผมอยู่ตรงนี้ ได้ยินไหม ยูฮู้ " อิทธิตะโกนโดยหวังว่าเสียงคนที่เขาได้ยินจะได้ยินเขาแล้วมาช่วยพาเขาออกจากป่านี้ที อิทธิก็อยากวิ่งไปตามหาต้นเสียงแต่ก็กลัวพลัดหลงกันไป จึงได้แต่ตะโกนให้อีกฝ่ายมาหา

" ขอบคุณพระเจ้าผมรู้ท่านไม่ถอดทิ้งผม ทางนี้ วู้ฮู้ ทางนี้โว้ย ๆ " อิทธิรู้สึกซาบซึ้งจริง ๆ

เสียงเดินเข้ามาใกล้ จนทำให้ได้ยินเสียงพูดขึ้นชัดเจนยิ่งขึ้น

" !@#$%^&^ "

"*&^%$$%^ "

เสียงคุยกันเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ แต่แปลกอิทธิกับฟังไม่รู้เรื่อง

" ไม่ใช่ภาษาไทยและก็ภาษาอังกฤษ ฟังแล้วไม่คุ้นเลย ดูท่าต้องใช้ภาษาใบ้คุยกันแทนแล้วสิ " ถึงจะไม่ใช่คนไทย คงคุยกันอยากแต่อย่างน้อยก็ยังเจอคน อย่างน้อยก็คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าหลงอยู่คนเดียวในป่าตอนกลางคืนอีกแล้วละ

เมื่อฟังจากเสียงอิทธิก็พอจะรู้ว่าเข้ามาใกล้ในระยะไม่กี่เมตร แต่ด้วยความมืดกับต้นไม้ทำให้ยังมองไม่เห็น อิทธิก็พยายามตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจะได้รู้ว่าอยู่ตรงไหน แต่พอพยายามฟัง

" โอ๊ย... " ก็รู้สึกปวดแปร๊บที่ศีรษะ

" เสียงมาจากทางนั้น ดูดี ๆ ละอย่าให้พลาด "

เมื่อความปวดหัวหายไปกลับทำให้อิทธิฟังเข้าใจสิ่งในสิ่งที่พวกเขาพูด พอจะตอบกลับก็ต้องหน้าซีดลงเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายคุยกัน

" ถ้ามันใส่เสื้อสีฟ้ากางเกงสีแดงละก็ยิงมันเลย แล้วไปเอาขึ้นเงินกัน "

" พวกหนีทัพมีเยอะ โชคดีจริง ๆ ที่มาเดินลาดตระเวณนี้ "

จะไม่ให้เขาหน้าซีดได้อย่างไร ตั้งแต่ฟื้นมาเขาก็สำรวจตัวเองแล้ว ตัวเขาสวมเสื้อสีฟ้า กางเกงสีแดงกับรองเท้าบู๊ตที่ทำจากหนังสัตว์ ซึ่งมันน่าจะตรงกับที่อีกฝ่ายพูด

" ไอ้พระเจ้า แค่หลงอยู่ในป่ามันไม่พอใช่ไหม กะส่งคนมาฆ่าฉันให้ตายสนิทเลยหรอไง " คำสรรเสริญเปลี่ยนเป็นคำกรนด่าไปในทันที

แต่อิทธิไม่มีเวลามาบ่น เขาต้องหาทางหลบหนีไปก่อนที่อีกฝ่ายมาเจอ

" แกร๊บ " กิ่งไม้เจ้ากรรมดันมาอยู่ข้างหลัง พออิทธิก้าวถอยหลังก็เหยียบมันอย่างจัง เสียงกิ่งไม้หักรู้สึกมันจะดังชัดกว่าทุกที

" ตรงนั้น " เสียงตะโกนดังชัด ราวกับอยู่ข้าง ๆ กัน แต่ที่น่าตกใจคือเสียงต่อมา

" เปรี้ยง " เสียงดังฟังชัดกึกก้องไปทั่วป่า เหล่านกกาต่างโบยบิน เสียงกระสุนปืนชัดเจน อิทธิถึงกับตัวแข็งทื่อ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนอีกฝ่ายพูด

" รีบไปดูเร็วว่าโดนไหม ก่อนมันจะหนีไป "

แล้วจะอยู่ทำอะไร เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของเขา เมื่อคิดได้อย่างนั้นอิทธิก็รีบวิ่งอย่างไม่คิดผ่าดงต้นไม้โดยไม่สนทิศทาง

" มันกำลังหนี รีบไปเร็วอย่าปล่อยให้มันหนีไปได้ " เสียงพูดคุยไล่หลัง และก็ตามด้วยเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง

" เปรี้ยง " อิทธิได้แต่ก้มหลบ ขาก็วิ่งไป ใจก็คิดสาปแช่งความโชคร้ายของตนเอง แต่ปากก็ตะโกนด่า

" ต่อให้ตายก็จับ ไม่ได้หรอกเว้ยยย "

" เปรี้ยง " อยากตะโกนด่าด้วยความซะใจ แต่อีกฝ่ายตอบกลับด้วยกระสุนปืนที่บินเฉียวไปโดนต้นไม้ อิทธิจึงได้แต่ก้มหน้าวิ่งไปข้างหน้า ไม่กล้าพูดท้าทายอีกฝ่ายแล้ว

' คอยดูเถอะถ้าฉันรู้นะว่าเป็นใคร ครั้งน่าจะเอาคืนให้สาสมเลย ' อิทธิได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกเสียง วิ่งต่อไปโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะหาเขาไม่พบและหลุดออกจากป่านี้สักที เจอคนที่ไม่คิดจะฆ่าเขา