ตอนที่10
“โอเค ฉันเข้าใจแกก็ได้ แต่ถ้าเค้ากลับมาแกก็ต้องบอกไปตามตรง เข้าใจไหม เค้าจะยินดีคบกับแกหรือว่ายังไงก็ค่อยมาปรึกษากันอีกที”
“ไม่อะ ไม่พูดได้ไหม เอาไว้ให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนได้ไหม”
“โอ้ย...นึกถึงเงินค่าเครื่องที่มาสิ อย่าให้เสียเปล่า อีกอย่างถ้าแกรีบพูด แกก็จะได้รู้ไงว่าเค้าจะเอายังไงกับแก จะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลกับคำตอบของเขาอีก”
“ก็ได้” ปากที่พูดว่าได้ ใจตอนนี้กลัวจนหัวหด ไม่รู้ว่าหากเจอหน้าราเดนอีกครั้งเธอจะกล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจหรือเปล่า ทำไมมันต้องยากลำบากขนาดนี้ด้วยกับแค่พูดสารภาพความในใจออกไป
เมื่อได้เวลาของการรับประทานอาหาร เมเลอร์ก็พาสองสาวไปที่ห้องอาหารชั้นล่างที่ตอนนี้บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหารไทยที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ กลิ่นหอมเตะจมูกของสองสาวทำเอาพวกเธอท้องร้องไปตามๆ กัน
“อาหารไทย” มุขรินทร์หันไปยิ้มร่าตาเป็นประกายกับปารวี คิดว่ามาที่นี่จะไม่ได้แตะอาหารไทยเสียแล้ว นับว่าราเดนต้อนรับพวกเธอได้ดีมากเลยทีเดียว
“ผมมีเรื่องที่ต้องบอกพวกคุณครับ คือว่า วันนี้นายอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่ ธุระที่ต้องคุยอาจจะต้องเลื่อนไปก่อน นายบอกว่าถ้าพวกคุณอยากไปที่ไหนหรือทำอะไรให้บอกผมได้เลยครับ ผมจะอำนวยความสะดวกให้”
“คือ...เราสองคนไม่ได้มีแพลนอะไรค่ะ”
“โอเคครับ ถ้าพวกคุณเปลี่ยนใจบอกผมได้ตลอดเลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ทานอาหารให้อร่อยนะครับ”
สองสาวทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้หลังจากเมเลอร์ออกไปจากห้องอาหาร ปารวีเบาใจที่ไม่ต้องพูดอะไรที่ไม่กล้าพูดในเร็วๆ นี้ อย่างน้อยก็มีเวลาอีกตั้งนานกว่าราเดนจะกลับ ถึงตอนที่ต้องเจอหน้าเขาก็หวังว่าเธอจะมีความกล้ามากพอที่จะพูดความรู้สึกในใจออกไป
“สบายใจล่ะสิที่คุณราเดนยังไม่กลับ”
“ก็...” ปารวีพยักหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบให้มุขรินทร์ ยอมรับแบบไม่อ้อมค้อมเลยว่ารู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ
“หวังว่าถึงเวลาที่ต้องเจอหน้าคุณราเดนจริงๆ แกจะกล้าพูดนะ ถ้าแกยังขืนชักช้าฉันจะบอกกับเค้าเองว่าแกมาที่นี่ทำไม”
“ฉันพูดเองได้น่า ตอนนี้แกควรสนใจต้มยำกุ้งร้อนๆ ตรงหน้าก่อนดีไหม เพราะฉันจะทานให้หมดถ้าแกยังพูดไม่เลิก”
“เรื่องของกินฉันเคยยอมใครที่ไหน” ว่าแล้วมุขรินทร์ก็เอื้อมมือไปตักกุ้งตัวโตมาใส่จาน
สองสาวก็ง่วนอยู่กับอาหารไทยรสเลิศอย่างไม่มีใครยอมพูดยอมจา เพราะตั้งแต่ลงเครื่องมาก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง อีกทั้งอาหารที่เชฟชาวรัสเซียทำก็ทำได้ถึงเครื่องเสมือนคนไทยทำให้รับประทาน มื้อแรกในบ้านหลังนี้จึงเป็นสิ่งที่สองสาวประทับใจพอสมควร
หลังมื้อเย็นสองสาวก็อยากจะหาที่พักผ่อนชมวิวทิวทัศน์ด้านนอกให้สบายตา เมเลอร์จึงเสนอให้ปารวีและมุขรินทร์ขึ้นมานั่งกันที่ดาดฟ้าของบ้าน ที่ด้านบนมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และสามารถเดินเล่นมองสิ่งแวดล้อมรอบนอกตัวบ้านได้ชัดเจน
“ท่าทางคุณราเดนจะปาร์ตี้บนนี้บ่อยเหมือนกันนะ” มุขรินทร์เปรยขณะที่กำลังทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงริมสระว่ายน้ำ
“รู้ได้ไง”
“ก็มีบาร์อยู่ข้าวสระว่ายน้ำ แล้วก็เหมือนจะมีห้องกระจกอยู่ตรงนั้นด้วยด้วย”
ปารวีหันมองตามสายตาของมุขรินทร์ “จริงด้วย” เธอเองก็เพิ่งสังเกตเหมือนกัน หากเขาสังสรรค์บนดาดฟ้าบ่อย แล้วเค้าสังสรรค์กับใคร
“แกว่าเค้าจะปาร์ตี้กับใคร”
“เอาจริงป่ะ เท่าที่ฉันเคยดูหนัง ถ้าพระเอกชอบปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำก็จะมีเพื่อนสนิท แล้วก็อาจจะจ้างพวกสาวๆ มาเอ็นเตอร์เทนหลายๆ คนอะ”
“จริงเหรอ” สีหน้าของปารวีห่อเหี่ยวลงในทันที
“อย่าเพิ่งใจเสียไปสิ คุณราเดนอาจจะชอบนั่งดื่มกับเพื่อนชิวๆ เงียบๆ ก็ได้ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นแบบไหนก็ลองถามคุณเมเลอร์ดูไหมล่ะ”
“ไม่เอาค่ะ ถามมากจะดูเป็นคนไม่มีมารยาทเอา”
“เออ เอากับเพื่อนฉันสิ ไอ้โน่นก็อาย ไอ้นี่ก็ไม่กล้า นี่ถ้าไก่หวานมันมาด้วยมันบ่นแกหูชาไปแล้ว”
ปารวีนั่งก้มหน้างุด เธอก็กลายเป็นคนใจเสาะดื้อๆ จริงอย่างที่มุขรินทร์ว่านั่นแหละ เธอทิ้งตัวนอนหงายลงไปกับเตียงริมสระว่ายน้ำ เหม่อมองท้องฟ้าที่กำลังจะเปลี่ยนสีเงียบๆ เดาไม่ออกเลยว่าหากเธอสารภาพความในใจไปแล้วราเดนจะตอบกลับเธอว่าอย่างไร
“ลุกขึ้นมา” ในขณะที่ตาของปารวีกำลังจะปิดเธอก็ถูกมุขรินทร์รั้งแขนให้ลุกออกจากเตียง
“มีอะไรเหรอ”
“ฉันว่าฉันเห็นคุณราเดนกลับมาแล้วนะ”
“ไหนอะ”
“นั่นไง” มุขรินทร์รีบเดินนำปารวีมาเปิดม่านเพื่อมองไปยังโรงจอดรถ เมื่อครู่ที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือเพลินๆ เธอก็เห็นแสงไฟลอดผ่านม่านเข้ามาแยงตา เลยเลือกที่จะแง้มผ้าม่านดูแล้วก็เห็นว่าเป็นราเดนกำลังลงมาจากรถ จึงรีบมาดึงปารวีให้ลุกออกจากเตียง
“อ้าว แล้วทำไมเค้าบอกว่าคืนนี้จะไม่กลับล่ะ” เริ่มขมวดคิ้วมุ่นขณะมองไปยังราเดนที่กำลังยืนคุยอยู่กับใครบางคนที่โรงจอดรถ
“อาจจะเสร็จธุระเร็วก็ได้ ไปหาเค้าเลยไหม”
