Caren’s story : 1
‘ K-Restaurant ’
ป้อกๆ
เสียงเคาะโต๊ะดังขึ้น ผมละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปมองเจ้าของมือด้วยความรู้สึกสงสัยก่อนจะเปลี่ยนเป็นอารมณ์ว่างเปล่าเมื่อสบสายตาของคนที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์
“คุโชว์” ผมเอ่ยชื่อน้องชายต่างมารดาออกมา ก่อนจะก้มลงทำงานของตัวเองต่อไป เหมือนไม่ได้ใส่ใจแต่จริงๆ แล้วกำลังรอฟังว่าหมอนั่นจะพูดอะไรออกมา
“ฉันอุตส่าห์มาหาหลังจากที่ไม่ได้เจอกันหลายปี ไม่คิดจะพูดอะไรสักคำเลยเหรอ? พี่ชาย ^^” หมอนั่นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยียวนแกมประชด
ผมชำเลืองมองด้วยแววตาเฉยชาวูบหนึ่ง ก่อนจะลากสายตากลับมาดูบัญชีในคอมพิวเตอร์ตรงหน้าต่อ
“ท่าทางสบายดีหนิ” ผมพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ
“เย็นชาจังเลยนะ”
“แล้วนายมีธุระอะไร คงไม่ได้มาเพราะคิดถึงหรอกใช่ไหม” ผมอดแขวะไม่ได้ เพราะทราบดีว่าหมอนี่กลับมาได้หลายเดือนแล้ว แต่เพิ่งจะโผล่หน้ามาให้ผมเห็น นี่น่ะเหรอการกระทำของน้องชาย เหอะ
เปล่าหรอก ผมไม่ได้โมโหเรื่องนั้น... แต่มีเหตุผลอยู่สองข้อที่ทำให้ผมไม่อยากข้องเกี่ยวกับคุโชว์ ข้อหนึ่งเพราะหมอนี่เป็นน้องชายคนละแม่ ข้อสองผู้หญิงของมันคือคนเดียวกับที่ทำให้หัวใจของผมป่วย ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้ผมไม่อยากนับญาติเข้าไปใหญ่
ผมเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถหักห้ามหัวใจตัวเองได้ และยิ่งรู้สึกเกลียดมากขึ้นเมื่อเห็นหน้าของคุโชว์ เพราะงั้นการที่เราสองพี่น้องไม่เจอหน้ากัน มันจะเป็นผลดีกับหัวใจผมมากกว่า ผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่จิตใจไม่ได้เข้มแข็งอะไรมากมาย ไม่อย่างนั้นผมก็คงจะตีสีหน้าซื่อแกล้งทำเป็นยิ้มยินดีกับทั้งสองคนได้
แต่นี่... ผมจ้องรอโอกาสอยู่ทุกลมหายใจที่จะฉกฉวยอินอินคืนมาเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดไปของหัวใจให้เต็ม
น้องชายตัวดีกระตุกยิ้มมุมปาก เชื่อว่ามันคงจะคาดเดาความคิดอ่านของผมทั้งหมดได้ เพราะถ้ามันร้ายไม่ได้ครึ่งหนึ่งของผมล่ะก็ คงจะไม่มีหน้ามายืนยิ้มอยู่อย่างวันนี้ได้ เหอะ
“จริงๆ แล้ว... ว่าที่ภรรยาฉันต่างหากที่คิดถึงนาย”
เส้นเลือดบนขมับซ้ายกระตุกวูบ ผมตวัดสายตาขุ่นๆ ไปมองคุโชว์นิ่ง
“การ์ดเชิญงานหมั้น” คุโชว์ชูซองสีชมพูหวานแหววขึ้นเพื่ออวดสายตาของผมชัดๆ ก่อนจะโบกไปมากลางอากาศอย่างยั่วประสาท “อินอินคงดีใจมากถ้าเห็นนายไปร่วมงานด้วย”
“แน่ใจเหรอว่ายัยนั่นอยากเจอหน้าฉัน”
“อืม... ฉันเชื่อว่าอินอินคงแปลกใจมาก”
เชื่อเถอะว่าน้องชายตัวแสบมาที่นี่เพื่อเยาะเย้ยผมเท่านั้น
“ขอบใจ ถ้าหมดธุระแล้วก็กลับไปซะ” ผมรีบฉวยการ์ดเชิญนั่นมาก่อนจะไล่น้องชายตัวแสบออกไปเพื่อตัดปัญหาที่กำลังก่อกวนอารมณ์ทิ้งก่อนที่มันจะสร้างความปั่นป่วนให้จิตใจของผมมากไปกว่านี้
“หึๆ แต่ว่าฉันคิดถึงนายจริงๆ นะคาเร็น ...พี่ชายสุดที่รัก” คุโชว์ยิ้มหวานประชดก่อนจะเดินนวยนาดออกจากร้านไปอย่างใจเย็น
“....” ผมมองตามด้วยสายตาสะอิดสะเอียน ขนลุกเป็นบ้า
แอ๊ด~
“หือ...” ผมเงยหน้าขึ้นอีกรอบเมื่อได้ยินเสียงผลักประตู ก่อนจะได้ยินเสียงหอบเล็กน้อยพร้อมกับเสียงพูดที่ดังตามมาติดๆ
“เจ้านายคะ โทษทีค่ะ ประชุมที่ชมรมเพิ่งเสร็จ” มินตราผู้จัดการร้านเดินเข้ามาพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
“เธอน่าจะบริหารเวลาให้ดีกว่านี้นะมินตรา ถ้าทำตัวบกพร่องไปมากกว่านี้ฉันได้พิจารณาเงินเดือนเธอใหม่แน่ แต่... เพราะระหว่างที่เธอไม่อยู่ ไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลยสักคน งั้นวันนี้ฉันจะยกโทษให้”
“ฮู้ว~! เจ้านายอารมณ์เสียอะไรมาหรือเปล่าเนี่ย” ยัยนั่นทำท่าปาดเหงื่อ เดินเข้ามาเท้าศอกสองข้างกับเคาน์เตอร์แล้วยื่นหน้าระรื่นเข้ามาใกล้ จนผมต้องขมวดคิ้วกับท่าทางระริกระรี้ที่ไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกเลยสักนิดนั่น
“มินตราพาลูกค้ามาให้เจ้านายด้วยนะ” สิ้นเสียงพูดของยัยนั่นประตูร้านก็ถูกเปิดพร้อมกับคนจำนวนเกือบสิบคน เดินตามกันเข้ามาภายในร้าน
เหมือนทุกครั้งที่ยัยนั่นประชุมเสร็จก็มักจะพาคนในชมรมมากินเลี้ยงกันที่นี่ จนแทบจะกลายเป็นธรรมเนียมของพวกนั้นไปแล้ว
เฮ้อ~ ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ถ้าหากว่าหนึ่งในกลุ่มของพวกเขาไม่มีท็อฟฟี่เพื่อนไอ้น้องชายตัวแสบอยู่ด้วยล่ะก็ผมคงจะยินดีต้อนรับมากกว่านี้ จู่ๆ ผมก็เกิดอารมณ์เหม็นขี้หน้าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคุโชว์ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
คุโชว์จะรู้ตัวไหมว่าถูกผมเกลียดมากขนาดไหน
“ขอบอกว่าวันนี้จัดหนัก เพราะยังเคลียร์เรื่องที่ประชุมไม่ลงตัวเลย ยิ่งพวกนี้นั่งนานเท่าไหร่เจ้านายก็จะยิ่งได้เงินเยอะขึ้นเท่านั้น เป็นไง หัวการค้าใช่ไหม”
ปั้ก!
ผมดีดหน้าผากยัยมินตราไปทีหนึ่ง
“โอ๊ย O “ไม่ต้องมายิ้ม รีบๆ ไปรับออร์เดอร์แล้วส่งให้พ่อครัวโน่น”
“ชิ! ไม่เคยจะเห็นความดีกันเลย เดี๋ยวก็หนีไปอยู่กับคุโชว์ซะเลยนี่” แล้วยัยนั่นก็สะบัดหน้าพรืดใส่ผม เดินตูดปัดไปยังโต๊ะของพวกลูกค้า
ผมมองตามด้วยสายตาหงุดหงิด หน็อย... คิดจะไปอยู่กับคุโชว์งั้นเหรอ เดี๋ยวก็ไล่ออกจริงๆ หรอก ฮึ่ย!!!