บท
ตั้งค่า

Caren’s story : 1/2

“พวกนายจะสั่งเบียร์มาทำไมกันมิทราบ” จู่ๆ ก็มีเสียงแหวแหลมๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากโต๊ะนั้น

ผมชำเลืองมองอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะสะดุดสายตาเข้ากับผู้หญิงเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าหวานใสถูกล้อมกรอบไปด้วยเส้นผมสีแดงประกายม่วง จมูกโด่งเป็นสันน่ามอง กับริมฝีปากจิ้มลิ้มน่าทะนุถนอมขับให้ใบหน้าเรียวมนของเธอดูมีเสน่ห์น่าค้นหามากขึ้น

เหมือนรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ วินาทีนั้นเอง เธอตวัดสายตามาทางผม ทำให้เราทั้งคู่สบสายตากันเข้าอย่างจัง วูบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่าง แต่มันก็ชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น ก่อนจะยิ้มเป็นมิตรกลับไปให้เธอในฐานะเจ้าของร้านกับลูกค้า

ยัยนั่นเลิกคิ้วพลางกะพริบตาปริบๆ ทำสีหน้างวยงงตอบกลับมาก่อนจะหันกลับไปปะทะคารมกับเพื่อนร่วมโต๊ะต่ออย่างไม่สนใจผมอีกต่อไป

“ก็กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องนี่นา”

“หุบปากไปเลยไฮด์”

ผมตวัดสายตามองผู้หญิงคนนั้นอีกรอบ อุตส่าห์ละสายตาออกมาแล้วเชียว แต่เพราะว่าเธอเสียงดังก็เลยอดไม่ได้ที่จะมองใหม่... เป็นสมาชิกใหม่งั้นเหรอ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน...

“น่าๆ อย่าทำเป็นเคร่งนักเลย เธอเองก็กำลังเฮิร์ทเรื่องรุ่นพี่คุโชว์อยู่ไม่ใช่เหรอ?”

คุโชว์งั้นเหรอ... คำพูดของผู้ชายอีกคนทำให้ผมหูตาตั้ง มองผู้หญิงคนนั้นอย่างสนใจมากขึ้น ทำไม? เธอเกี่ยวข้องยังไงกับคุโชว์ ทำไมถึงได้ถูกเพื่อนร่วมโต๊ะแซวแบบนั้น? อยากรู้ชะมัด!

“ริคอส!”

“อย่าโมโหเลยนะ ฉันรู้ว่าการ์ดเชิญงานหมั้นมันทำให้เธอปวดใจ เพราะงั้นก็ย้อมใจสักหน่อยอาการปวดใจจะได้ทุเลาลงไง”

“ฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งของแบบนี้ อีกอย่าง! นายอยากจะกินเองไม่ใช่เหรอ อย่าเอาฉันมาอ้าง”

“ฮ่าๆ” ริคอสหัวเราะชอบใจ แต่ก่อนที่สองคนนั้นจะเถียงกันบานปลายเสียงเข้มๆ ของท็อฟฟี่ก็ดังขึ้น

“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว โตแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อน จะได้กัดกันทุกทีที่มีโอกาสน่ะ”

“เหอะ! ก็หมอนี่มันกวนประสาทฉันก่อนหนิ”

“ก็เธอชอบขัดใจฉันนี่นา”

“ริคอส” ยัยนั่นแยกเขี้ยวใส่ริคอส

“เฮ้! ไม่ฟังกันเลยใช่ไหม” ท็อฟฟี่พูดเสียงดังขึ้นมาเล่นเอาสองคนนั่นเงียบกริบลงทันใด

“เอ่อ... แล้วสรุปจะสั่งไหมเบียร์น่ะ” มินตราเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

“ไม่!/สั่ง!” เสียงของผู้หญิงคนนั้น โซอี สินะ กับเสียงของริคอสดังประสานขึ้นมาพร้อมกัน แล้วสองคนนั่นก็จ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร

“เอ่อ... แฮะๆ” มินตรายิ้มแห้งๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก

แล้วคนที่ปิดประเด็นเรื่องนี้ก็คือท็อฟฟี่

“เฮ้อ!~ เอาเป็นว่าไม่สั่งละกัน เปลี่ยนเป็นน้ำอัดลมแทน เพราะวันนี้เราต้องคุยเรื่องงานกันต่อ ส่วนเธอถ้าเสร็จธุระแล้วก็มานั่งด้วยกัน เจ้านายเธอคงไม่ว่าอะไรหรอกนะ” ประโยคหลังหมอนั่นหันมามองผมด้วยแววตาเกรงใจกึ่งๆ ขออนุญาตไปในตัว

“ได้ค่ะ... อาหารที่สั่งมีเท่านี้นะ งั้นเดี๋ยวมินตรามา เอาเมนูไปส่งก่อน”

ไม่นานยัยมินตราก็เดินกลับมาที่โต๊ะ ก่อนจะนั่งลงไม่ลืมหันมาก้มหัวเป็นเชิงขออนุญาตแกมขอโทษกับผมก่อน

เฮ้อ... อยู่กันเยอะแบบนั้นถ้าผมเอ่ยห้ามก็ดูเป็นคนใจร้ายแย่น่ะสิ ถึงจะไม่ชอบใจเท่าไหร่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ปล่อยเลยตามเลยละกัน

จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะฟังสิ่งที่พวกนั้นกำลังคุยกันหรอก แต่มันลอยมาเข้าหูเอง...

“เสียงโหวตในการไปออกค่ายครั้งนี้เสมอกัน... ถ้างั้นจะตัดสินกันที่อะไรดี” ท็อฟฟี่เอ่ยขึ้นเป็นเชิงปรึกษาสมาชิกในชมรม ผมไล่สายตามองทีละคนทำให้นับจำนวนได้ทั้งหมด 12 คน

“ถ้างั้นก็ควรจะยืดเวลาออกค่ายไปเป็นฤดูหนาวดีไหม” หนึ่งในนั้นเสนอความเห็น

ผมเองก็พอจะรู้จักชมรมบาสเกตบอลนี้อยู่บ้าง เพราะมินตราเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมนี้เหมือนกัน แม้ว่าจะเพิ่งเข้าร่วมได้ไม่นานก็เถอะ อีกอย่างพวกนี้ก็มักจะยกโขยงกันมากินข้าวที่นี่กันบ่อยๆ ทำให้ผมได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันไปด้วย แม้ว่าจะไม่ได้อยากรู้สักนิดก็เถอะ เพราะเหตุนี้จึงไม่แปลกที่ผมจะรู้ชื่อของแต่ละคน

“ช่วงนั้นเรามีแข่ง ลืมไปแล้วเหรอ” ลีแคลเอ่ยขึ้น

“ใช่ค่ะ ถ้าเลื่อนก็คงเป็นต้นปีหน้าเลย ช่วงนั้นตารางแข่งยังว่าง” ลีลาร์เสริม

“ไม่ได้หรอก ต้องคิดเผื่อตารางแข่งที่ยังมาไม่ถึงด้วย ถ้าจะออกค่ายน่ะ ก็ต้องช่วงเวลานี้เหมาะที่สุดถึงแม้สภาพอากาศจะไม่เป็นใจก็เถอะ” ไฮด์เอ่ย

“ถ้างั้น... ก็มีสองทางเลือกแล้วล่ะค่ะประธาน คือไปกับยุบค่ายนี้” มินตราเสนอความเห็น

“ถ้ายุบแล้วเด็กๆ ที่รอการไปของพวกเราล่ะ? จะรู้สึกยังไง” ริคอสเอ่ยออกมาอย่างคนที่มีจิตใจสูงส่ง แต่เชื่อเถอะว่าหมอนั่นคือซาตานในคราบนักบุญดีๆ นี่เอง อย่าได้หลงไว้ใจเด็ดขาด

“...สาวๆ ที่ไร้เดียงสาในหมู่บ้านเชิงเขา ฉันเองก็อยากเจอสักครั้ง เพราะแถวนี้มีแต่อย่างยัยนี่ เห็นแล้วปวดจิต!” ริคอสทำท่าน้ำลายยืดก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเบื่อหน่ายแล้วชี้มือไปทางโซอีในประโยคท้าย

ยัยนั่นร้ายกาจขนาดนั้นเชียว

“ว่าไงนะริคอส!”

“เอ่อ อย่าเพิ่งออกนอกเรื่องได้ไหม แล้วรุ่นพี่ล่ะคิดว่ายังไง” เสียงหนึ่งดังขึ้น

“อืม... ฉันเห็นด้วยกับเรื่องที่ไม่ควรจะยุบค่ายนี้”

“ถ้าอย่างนั้นคำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้วหนิ” โซอีสำทับความคิดของท็อฟฟี่ไปอีก

“เฮ้อ!~ ก็คงจะเป็นอย่างนั้น” ท็อฟฟี่ขานตอบ

“สรุปคือเราจะไปค่ายนี้ใช่ไหมคะ?” มินตราถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“อืม! เอาล่ะ... จะมามัวเถียงกันไปก็ไม่มีความหมาย เอาเป็นว่าค่ายนี้ฉันจะไม่บังคับ รับเฉพาะคนที่สมัครใจจะไปจริงๆ เท่านั้น”

“สุดท้ายก็ต้องไปอยู่ดีสินะ” ไฮด์ยักไหล่ พูดออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ถ้างั้นก็ตามนี้เลยนะคะ แล้วต้องให้สตาฟหาลูกทีมเพิ่มเหมือนเดิมหรือเปล่า?” มินตราเอ่ยขึ้นพร้อมกับจดบันทึกลงบนสมุด อ้อ... ลืมบอกไปว่ายัยนี่รับหน้าที่เป็นเลขาของทีม

“อืม... ก่อนอื่นให้รวบรวมชื่อของคนภายในชมรมที่สมัครใจไปค่ายกันซะก่อน หลังจากนั้นก็ให้หาสมาชิกมาเพิ่ม”

“สมมุติว่าฉันจะไปด้วย ฉันก็ต้องหาสมาชิกข้างนอกมาด้วยใช่ไหม?” โซอีเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

“ใช่แล้วโซอี พูดให้ถูกก็คือพวกเราเป็นหัวหน้าทีมที่ต้องมีลูกทีมยังไงล่ะ ส่วนจำนวนของลูกทีมก็ขึ้นอยู่ที่ว่าจะหามาได้มากน้อยแค่ไหน อันนี้ไม่ได้บังคับ” ไฮด์พูด

“แล้วถ้าหาไม่ได้เลยสักคนล่ะ?”

“ก็... ไม่เป็นไร ถ้าเธอจะไร้น้ำยาขนาดนั้น”

“ไฮด์!” โซอีขมวดคิ้ว เรียกชื่อหมอนั่นเสียงแข็ง

...ผมรู้สึกว่าพวกผู้ชายจะชอบแกล้งยัยนี่เป็นพิเศษ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกสนใจอยากรู้เรื่องของเธอมากขึ้น

โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเธอเกี่ยวข้องยังไงกับคุโชว์

“ก็ตามนั้นล่ะ” ท็อฟฟี่ยักไหล่

“ถ้างั้นก็เหลือแค่กำหนดวันที่จะออกค่ายสินะครับ” ลีแคลเอ่ยขึ้น

“อืม... ลีลาร์ช่วยกำหนดวันให้ทีนะ” ท็อฟฟี่หันไปพูดกับสาวน้อยน่ารักอีกคนที่นั่งอยู่ในกลุ่ม

“ได้ค่ะประธาน ^^”

“ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ กินข้าวกันเถอะ” ท็อฟฟี่เอ่ยกับทุกคน

“คร้าบ~/คร่า~”

ออกค่ายงั้นเหรอ... หึ! งั้นมินตราก็ต้องลางานที่ร้านอีกแล้วน่ะสิ สงสัยผมคงต้องคิดทบทวนเรื่องเงินเดือนของเจ้าตัวใหม่จริงๆ แล้วสิ
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel