ตอนที่ 3/4
บ้านหลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียว มีห้องครัว ห้องน้ำ และก็ห้องนอนหนึ่งห้อง สภาพดีกว่าห้องแถวชั้นเดียวหน่อยนึง แต่ก็นับว่าสบายกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ในตอนแรก นึกว่าจะต้องกางเต็นท์นอนรวมกันที่โรงเรียนซะอีก แต่กางเต็นท์ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบละนะ
“เดี๋ยวเธอสองคนใช้ห้องน้ำก่อนเลยนะ” มินตราหันไปพูดกับอินอินและโพซีหลังจากเราทั้งสี่เข้ามาในห้องนอนที่ป้าจัดเตรียมไว้ให้แล้ว ส่วนคุณป้าก็ออกไปสรวลเสเฮฮากับหนุ่มๆ ข้างนอกห้อง
ป้าดูกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที =__=+
“อืม” ยัยอินอินขานตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เหมือนไม่สบาย
“มีอะไรหรือเปล่า?” มินตราถามกลับ
“เปล่าหนิ... เธอนั่นแหละมีอะไรหรือเปล่า?”
คราวนี้มินตราถึงกับทำหน้างง
“หมายความว่ายังไงอินอิน ฉันไม่เข้าใจ”
“ช่างเถอะ ไปกันเถอะซี”
“อื้ม”
ฉันมองตามสองคนนั้นไปจนพ้นประตู ก่อนจะลากสายตากลับมาที่มินตรา
“พวกเธอสองคนมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า?”
“หืม?”
“ทำไมยัยนั่นถึงพูดกับเธอแบบนั้น”
“ไม่รู้สิ” มินตรายักไหล่ ตอบออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
ชิ! ฉันเลิกสนใจมินตรา แล้วบอกก่อนจะออกมา
“ฉันออกไปเดินเล่นข้างนอกนะ ถ้าสองคนนั้นเสร็จแล้วเธอก็อาบก่อนเลย แล้วถ้าฉันยังไม่กลับมาก็ให้พวกผู้ชายใช้ห้องน้ำไปเลยไม่ต้องรอ”
“อย่าไปไหนไกลล่ะ” มินตราเงยหน้าขึ้นมามองฉัน
“รู้แล้วน่า ไปนะ” ฉันยิ้มให้ยัยนั่นโดยไม่พูดอะไรก่อนจะเดินออกมา
อย่าไปไหนไกลงั้นเหรอ... หึ! ฉันยักไหล่ ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา เอาน่า... ยังไม่มืดสักหน่อย ไหนๆ ก็มาแล้วขอลองสำรวจป่าเล่นๆ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
ฉันมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าลับสายตาคนจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินออกนอกเส้นทาง เร้นกายเข้ามาในป่าซึ่งอยู่ติดกับหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว เดินลัดเลาะไม่นานฉันก็พบกับทางเดินเท้าที่ชาวบ้านใช้สัญจรเพื่อเข้ามาหาของป่ากัน ฉันเดินไปตามเส้นทางที่พงไม้ถูกแผ้วถางไปเรื่อยๆ โดยไม่ลืมสังเกตเส้นทางรอบข้างไปด้วย
ถ้าเดินไปเรื่อยๆ มันจะโผล่ที่ไหนกันนะ ความอยากรู้ทำให้ฉันเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เพื่อย่นเวลาให้สั้นลง เพราะต้องเผื่อเวลาขากลับด้วย
ซ่า...
เสียงนั่น!
คำตอบฉายชัดอยู่ตรงหน้าทันทีที่ฉันเหลือบสายตาไปมอง
O_o น้ำตก!
สายน้ำสีขาวใสไหลลงมาจากหน้าผาเบื้องหน้าสู่แม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง สายน้ำนี้ไหลต่อไปเรื่อยๆ ตามลำธารที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง น้ำใสสะอาดจนสามารถมองเห็นพื้นหินด้านล่างและตัวปลาได้ชัดเจน ไอเย็นฉ่ำกับกลิ่นอากาศที่สดชื่นคล้ายกำลังเชิญชวนผู้มาเยือนให้เพลิดเพลินกับความสวยงามของธรรมชาติตรงหน้า
“มีที่แบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย” ฉันพึมพำเบาๆ ก่อนจะก้มลงถอดรองเท้า และก้าวลงไปเหยียบแผ่นหินใหญ่ซึ่งมีหินอีกสองสามก้อนเรียงตัวกันลดหลั่นลงไปคล้ายขั้นบันไดทอดลงสู่ธารน้ำเบื้องล่าง
ฉันกำลังจะย่างเท้าลงไปเหยียบหินอีกก้อนด้วยหัวใจที่พองโต ทว่า...
หมับ!
“ทำอะไรน่ะ!”
เฮือก!
ฉันหันขวับไปมองเจ้าของมืออย่างตกใจ
“คาเร็น” ทว่าจังหวะที่ฉันหันกลับมานั้นเร็วเกินไปกอปรกับความตกใจที่จู่ๆ ก็มีคนมาจับไหล่ทำให้เท้าข้างหนึ่งพลั้งขยับไปโดนตะไคร่หินและลื่นเข้าอย่างจัง
“ว้าย” ฉันร้องเสียงหลง เบิกตากว้างเมื่อร่างกายเซวูบทำท่าว่าจะหงายหลังตกน้ำ
“เฮ้ย” หมอนั่นรีบกระโดดลงมาแล้วคว้าข้อมือฉันเอาไว้ได้ทัน แต่ทว่า... ช้าไปแล้วเพราะร่างกายฉันเอียงตัวไปกว่าครึ่ง ถึงคาเร็นจะจับข้อมือเอาไว้แต่หมอนั่นก็ไม่สามารถดึงฉันให้กลับไปยืนได้ ตรงกันข้ามเขากลับถูกฉันดึงให้เสียหลักและลอยหวือลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่างแทน
ตูม!
เสียงน้ำกระเซ็นเป็นวงกว้าง ตามมาด้วยเสียงลำตัวกระแทกกับหินใต้ผิวน้ำ เพราะธารน้ำตื้นแค่ระดับเอวทำให้ร่างของเราทั้งคู่สัมผัสกับพื้นดินอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าวงแขนของคาเร็นก็โอบรัดฉันเอาไว้แน่น ทำให้ศีรษะรอดจากการถูกกระแทก ส่วนแผ่นหลังก็โดนหินขูดเล็กน้อย ถึงหมอนั่นจะทับอยู่ด้านบนแต่เพราะเขากอดฉันเอาไว้จึงช่วยลดแรงกระแทกจากพื้นหินได้พอสมควร
แต่... ฉันก็ตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นอยู่ดี
“คะคาเร็น...” ฉันเรียกชื่อเขาเสียงเบาโหวงเมื่อเห็นว่าแน่นิ่งไป ไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวสักที จนฉันชักใจคอไม่ดีเกรงว่าเขาอาจจะหยุดหายใจไปแล้วก็ได้
...แต่จะเป็นไปได้ยังไงก็ฉันยังได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นอยู่เลยนี่