ตอนที่ 2/3
...เมื่อวันออกค่ายมาถึง ฉันก็ได้รู้ว่าสองคนที่ถูกโอนมาอยู่ในทีมของฉันคือใคร
อินอิน ว่าที่คู่หมั้นของคุโชว์ กับโพซีแฟนของท็อฟฟี่
ทั้งยุ่งทั้งแสบงั้นเหรอ เหอะ! ถ้ารู้ว่ายัยสองตัวนี่จะมาอยู่ในทีมของฉันล่ะก็ ฉันปฏิเสธไปตั้งแต่วันแรกแล้ว ฮึ่ย! ดันหลวมตัวตอบรับความช่วยเหลือของท็อฟฟี่ซะได้ บ้าเอ๊ย
ระหว่างที่กำลังรอสมาชิกคนอื่นอยู่นั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น...
“^^ อินอินค่ะ ฝากตัวด้วยนะคะ” ยัยนั่นส่งยิ้มใสซื่อมาให้ฉัน
แล้วฉันก็... ยิ้มตอบไปอย่างทำอะไรไม่ได้ กร๊าซซซซ
“^^ โซอีค่ะ” อยากกัดลิ้นตัวเองชะมัด ไปญาติดีกับยัยนั่นทำมายยยย!! >O<
...ตามมาด้วยเสียงที่สอง
“โพซีค่ะ ^^”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ฉันยิ้มตอบอีกคน
“ช้าจังเลยมินตรา” เสียงไฮด์บ่น
“เอ๊ะ... มินตราเหรอ” ยัยอินอินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจเบาๆ อะไรกันยัยนี่... ท่าทางแปลกๆ
“มาแล้วมั้งน่ะ” ริคอสเอ่ยขึ้นคล้อยหลังเสียงของไฮด์ไปได้ไม่นาน
“ลีลาร์เรียกเพื่อนๆ ของเธอขึ้นรถได้แล้ว” ลีแคลหันไปบอกน้องสาว เมื่อมินตราและคนอื่นๆ เดินมาถึงจุดนัดพบ
หมอนั่น... จู่ๆ หัวใจฉันก็สั่นแปลกๆ เมื่อสบสายตาเข้ากับเจ้าของนัยน์ตาคมเข้มสีดำอย่างไม่ได้ตั้งใจ ถึงมันจะแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าประหลาดที่ถูกบดบังภายใต้กรอบม่านดวงตาคู่นั้น
“คาเร็น” เสียงผู้หญิงที่ยืนข้างๆ ฉัน(อินอิน) เอ่ยชื่อนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงเบาโหวง สีหน้าโกรธขึ้งขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“เฮ้! มินตรา คาเร็น พวกเธอ...” นั่นคือเสียงของคุโชว์ ท่าทางหมอนั่นเองก็แปลกใจน่าดู
“ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะคุโชว์ ^^” มินตรายิ้มทักทายคุโชว์ตามมารยาท
“เอ่อ... นั่นสิ ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเธอในที่แบบนี้”
“คุโชว์... มานี่หน่อยสิ” จู่ๆ ยัยอินอินก็เดินเข้าไปดึงแขนคุโชว์ออกจากวงสนทนา ท่าทางยัยนั่นดูลุกลี้ลุกลนยังไงชอบกล ฉันว่ามันต้องเกี่ยวกับคาเร็นแน่ๆ หึๆ ท่าทางงานนี้จะสนุกซะแล้วสิ
“พี่ท็อฟฟี่ แน่ใจนะว่าจะไม่มีปัญหาน่ะ” โพซีเดินเข้าไปกระซิบถามประธานชมรม พลางมองไปทางอินอินกับคุโชว์ด้วยสายตาเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า...”
ระหว่างนั้นอินอินก็เดินกลับมาด้วยท่าทางไม่พอใจ
“โทษทีนะคะ แต่ว่าฉันคง”
“อินอิน” คุโชว์ที่วิ่งตามมาเรียกชื่อยัยนั่นเอาไว้ ทำให้ถ้อยคำที่กำลังจะหลุดจากปากของยัยนั่นหยุดชะงักกลางคัน แล้วหันไปมองหน้าคุโชว์นิ่ง
“ฉันไม่อยากไป นายจะให้ฉันทำยังไง” ยัยนั่นพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาต่อหน้าทุกคน
จู่ๆ ก็กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจไปได้ คิดไม่ถึงเลยว่าคาเร็นจะมีอิทธิพลต่ออินอินมากขนาดนี้
“แต่ว่าฉันต้องไปดูแลเรื่องอาหาร เธอลืมไปแล้วเหรอ?”
“งั้นนายก็ไปคนเดียวสิ” อินอินกำลังจะเดินหนีแต่คุโชว์ก็รั้งท่อนแขนเอาไว้
อร๊าย~! จะจับมือถือแขนต่อหน้าฉันก็ให้มันน้อยๆ หน่อย ฮึ่ย!! ชักหงุดหงิดแล้วนะ
“ไม่เอาน่า... อินอิน อย่างอแงสิ”
“ฉันไม่ได้งอแงนะ ...ปล่อย”
“ถ้างั้นก็เลิกทำตัวเป็นเด็กๆ สิ” คาเร็นแทรกขึ้นกลางคัน
พรึบ
ทุกคนหันไปมองเขาเป็นตาเดียวไม่เว้นแม้กระทั่งคุโชว์กับอินอิน
คาเร็นเดินเข้ามาหยุดยืนระหว่างสองคนนั้นก่อนจะจ้องหน้าอินอินนิ่ง โดยที่สายตาคู่นั้นไม่คิดจะเหลียวมองคุโชว์ น้องชายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“...ไหนว่าจะเป็นเพื่อนร่วมโลกที่ดีต่อกันไง? ถ้าเธอเป็นแบบนี้ ก็แสดงว่ายังรู้สึกอะไรๆ กับฉันอยู่ ไม่ใช่หรือไง?”
รู้สึกอะไรๆ หรืออาลัยอาวรณ์ชักสงสัยแล้วสิ
“...!!!” อินอินกัดริมฝีปากแน่น
“พูดเรื่องอะไรของนายคาเร็น” คุโชว์เอ่ยออกไปเสียงแข็ง
“ก็ได้! ฉันจะไปค่ายในครั้งนี้ นายจะได้รู้ว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรๆ กับนายเลยคาเร็น”
“เฮ้! ไม่ได้!” คุโชว์เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาทันที
ความรู้สึกที่เหมือนกำลังเห็นพายุตั้งเค้าอยู่ลางๆ นี่มันอะไรกันนะ ตื่นเต้นชะมัด ฉันนี่มันนิสัยเสียจริงๆ ที่อยากเห็นคู่รักทะเลาะกัน แถมยังอยากสุมไฟให้มันระอุขึ้นไปอีก
“เฮ้ย! คุโชว์” ท็อฟฟี่เลยต้องออกโรงเข้ามากระตุกไหล่เพื่อนเพื่อเตือนสติ
ล้อรถยังไม่ทันหมุนก็ส่อแววจะไปไม่รอดซะแล้วไอ้ค่ายอาสาเนี่ย
คุโชว์สะบัดมือท็อฟฟี่ออกอย่างไม่สนใจ จ้องหน้าอินอินกับคาเร็นสลับกันไปมาด้วยแววตาขุ่น
“...ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?”
“ฉันแค่จะพิสูจน์ให้พี่ชายนายรู้ว่าเขาคิดผิดไง”
“คำพูดของคาเร็นมันสำคัญมากนักเหรอ”
เอาเฮ้ยทะเลาะกันแล้ว! ฉันแอบสะใจนิดๆ อุวะฮ่าๆ เอาเลย ทะเลาะกันเยอะๆ เลย เพราะฉันจ้องเสียบแทนที่เธอตลอดเวลา อินอิน อย่าเผลอก็แล้วกัน
“ก็คิดว่าคงสำคัญนะ เพราะมันทำให้แฟนแกเปลี่ยนใจได้ หึ”
คาเร็นยิ้มเยาะ ก่อนจะยักไหล่ เดินหิ้วกระเป๋าขึ้นรถบัสไปอย่างสบายใจเฉิบ
ขอซูฮกให้เลยคาเร็น
เสียงคุโชว์กัดฟันกรอด! ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ
“ก็ได้! ตามใจเธอละกัน” แล้วคุโชว์ก็หิ้วกระเป๋าเดินผ่านหน้าอินอินขึ้นรถบัสไปอย่างขุ่นเคือง
“...!!!”
ยัยอินอินเม้มปากแน่น ท่าทางเคืองไม่น้อยกับคำพูดเย็นชาของคุโชว์ ก่อนจะลากกระเป๋าไปเก็บที่ท้ายรถแล้วก้าวขึ้นรถบัสไปอีกราย
“เฮ้อ~ เอาล่ะ คนที่เหลือก็รีบๆ ขึ้นรถกันได้แล้ว เดี๋ยวจะสายไปมากกว่านี้” ท็อฟฟี่ตะโกนบอกคนอื่นๆ
“ซีเตือนแล้วนะพี่ท็อฟฟี่” ยัยโพซีตวัดสายตาฉุนๆ ใส่ท็อฟฟี่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินขึ้นรถบัสไป เล่นเอาท็อฟฟี่มองตามอย่างเพลียๆ
หึๆ ค่ายอาสางั้นเหรอ...
ฉันว่าเป็นค่ายทดสอบหัวใจซะมากกว่า และฉันนี่แหละจะเป็นบททดสอบให้พวกนายเอง คุโชว์อินอิน
แล้วมาดูกันว่าเกมนี้ใครจะชนะ คิกคิก
