Chapter 6 ชื้อกุหลาบให้ตัวเอง
“สวัสดีครับ มีช่อดอกไม้มาส่งคุณอรอินทร์ครับ” เจ้าหน้าที่บอกเสียงนุ่ม
ฉันหน้าเหวอทำตัวไม่ถูก รู้สึกเสียหน้านิดๆ ยิ้มเก้อเมื่อรู้ว่าไม่ใช่ของตัวเอง ทั้งที่มั่นหน้าเดินยิ้มออกมารับ
เสียงกรี๊ดของอรอินทร์ดังออกมาจากข้างใน เมื่อเธอได้ยินเสียงของบุรุษหนุ่มจากร้านดอกไม้
“กรี๊ด! ใครส่งมาให้ฉัน ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย กะทิแตงไทย” อรอินทร์บอกอย่างตื่นเต้น หันมาถามผู้ช่วยของตัวเองที่ทำหน้าตื่นเต้น
ฉันยิ้มเจื่อนตอบกลับเจ้าหน้าที่ที่มาส่งดอกไม้ “ค่ะ”
อรอินทร์รีบวิ่งออกมารับช่อดอกไม้เองที่หน้าบ้านอย่างดีใจ
“ขอบคุณมากนะคะ ใครส่งมา มีการ์ดหรือเปล่า” อรอินทร์ยกช่อกุหลาบขึ้นมาสูดกลิ่นเบาๆ จากนั้นก็หาการ์ดที่อยู่ข้างใน
[ดอกไม้สวยๆ สำหรับคนสวยของผมครับ...ภูมินทร์] ข้อความในการ์ดทำให้อรอินทร์แปลกใจ
“ภูมินทร์ เราเคยรู้จักคนชื่อภูมินทร์ด้วยเหรอวะ” อรอินทร์บ่นพึมพำ แต่ก็เดินยิ้มเข้าไปข้างในเพราะอยากอวด
ฉันกำหมัดแน่นอย่างโมโห แน่นอนว่าฉันรู้จักเจ้าของช่อกุหลาบสีแดงช่อโตคนนั้นเป็นอย่างดี
“สงสารคนดีใจเก้อ อุตส่าห์วิ่งออกมารับ แต่ก็ไม่ใช่ของตัวเอง” เสียงตะโกนจากกำแพงข้างบ้านบอกออกมาลอยๆ ยิ่งทำให้โมโหหนักขึ้นมากกว่าเดิม จะเรียกว่าทั้งอายทั้งโมโหก็ได้
แน่นอนว่าเจ้าของเสียงเป็นคู่ปรับและโจทก์เก่าของฉันมาหลายปี ผู้ชายโลกแคบและใจแคบ มิหนำซ้ำยังปากร้ายเหมือนป้าวัยทองก็ไม่ปาน
“มันเรื่องของนายมั้ย มีอย่างอื่นทำนอกจากยุ่งเรื่องชาวบ้านไปวันๆ หรือเปล่า” ฉันตะโกนถามกลับอย่างโมโห
“ขอโทษที่คิดดังไปหน่อย ไม่คิดว่าจะมีคนร้อนตัวอยู่แถวนี้ด้วย” เขาตอบกลับและวางสายยางที่รดน้ำต้นไม้อยู่เดินผิวปากเข้าบ้านเหมือนจงใจยั่วโมโห
ดูเหมือนว่าการกระทำของชายหนุ่มจะมีอิทธิพล นรานิลดิ้นเร่าตามแรงยั่วของอีกฝ่ายง่ายๆ กำมือแน่นมองตามด้วย ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความโกรธ แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้เช่นเคย
“ไอ้บ้า! ไอ้ผู้ชายปากร้าย ฉันขอแช่งให้นายเป็นโสดตลอดชีวิต” คนโมโหด่าตามหลังด้วยความโกรธ มันเป็นทางเดียวที่จะระบายความโกรธ
แน่ล่ะ! เวลานี้ฉันก็ต้องรีบสะสาง ภารกิจทำลายล้างกำจัดความโมโห มือกำโทรศัพท์แน่นเดินเลี่ยงไปหลังบ้าน ต่อสายถึงร้านดอกไม้ทันที
[S Flower สวัสดีค่ะ ยินดีให้บริการคุณลูกค้า] ปลายสายตอบกลับมาเสียงหวาน
[ขอสายเจ้าของร้านค่ะ]
[สักครู่นะคะ] เด็กในร้านกรอกเสียงใสตอบกลับและยื่นโทรศัพท์ให้เจ้านายที่อยู่ข้างๆ
[สวัสดีค่ะ]
[คุณทำงานแบบนี้ได้ยังไง ฉันสั่งดอกไม้ แต่กลับส่งให้ผิดคน ฉันจะยกเลิกออเดอร์ที่เราทำสัญญากันไว้ทั้งหมด ฉันไม่อยากร่วมงานกับคนไม่มืออาชีพอย่างพวกคุณ]
อย่าเข้าใจผิดนะ! ฉันไม่ได้โกรธที่พวกเขาส่งดอกไม้ให้อรอินทร์ แต่โกรธที่พวกเขาทำให้ฉันเสียหน้ากับผู้ชายข้างบ้าน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันพาลโมโหร้านดอกไม้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
[ใจเย็นๆ นะคะ ไม่ทราบว่าลูกค้าจากไหนคะ]
[คนสั่งชื่อว่าภูมินทร์ รบกวนดูข้อมูลว่าต้องส่งให้ใคร แล้วคุณส่งไปให้ใคร] ฉันเค้นเสียงเข้มตอบออกมาด้วยความโกรธ
[ขอเวลาตรวจเช็กสักครู่นะคะ]
หลังจบประโยคฉันก็ได้ยินเสียงกดแป้นพิมพ์ของปลายสาย เวลาในการตรวจเช็กไม่ทำให้ความโมโหของฉันลดลงแม้แต่นิดเดียว
[ขออภัยค่ะ คุณลูกค้า เด็กในร้านพิมพ์ชื่อผิดจากนรานิลเป็นอรอินทร์ เดี๋ยวทางร้านจะโทรฯ แจ้งคุณอรอินทร์ให้นะคะ ว่าทางเราส่งผิด]
[ไม่ต้อง] น้ำเสียงราบเรียบ บอกให้ถึงระดับความร้อนในอารมณ์ลดลง
[ขอบคุณมากนะคะ] ปลายสายบอกอย่างดีใจ
[แต่ฉันยังยืนยันความต้องการเดิม ขอยกเลิกออเดอร์ของบริษัทฮักทั้งหมด] ฉันบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ เพราะเกลียดความไม่เป็นมืออาชีพที่สุด
[ขอประทานโทษนะคะคุณนรานิล จะให้ทางร้านชดเชยยังไงก็ได้ เดี๋ยวทางร้านส่งเพิ่มไปให้ใหม่อีกช่อเป็นการขอโทษ แต่อย่ายกเลิกออเดอร์เลยนะคะ] เจ้าของร้านละล่ำละลักบอกด้วยความกลัว
ฮัก...บริษัทจำกัดรักใช้บริการดอกไม้จากร้านนี้ให้คู่เดตเมื่อมีการนัดเดตกัน รวมถึงงานอีเว้นท์ก็สร้างรายได้ให้ร้านดอกไม้ร้านนี้ 6 หลักปลายๆ ต่อเดือน
นอกจากนี้ ฮัก...บริษัทจำกัดรัก ยังให้บริการรวมไปถึงจัดหาร้านอาหาร แต่งตัวและปรับบุคลิกภาพของลูกค้าก่อนด้วย
[ฉันเกลียดความไม่เป็นมืออาชีพของพวกคุณ ยังดีที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับฉันก่อน แต่ถ้าหากว่าส่งไปให้ลูกค้าของฉันผิดคน คุณรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น]
[ขอประทานโทษจริงๆ ค่ะ เด็กที่ร้านเพิ่งเข้ามาใหม่ ให้โอกาสเด็กสักครั้งนะคะ]
[ไม่ค่ะ] ฉันตอบกลับอย่างใจร้ายและกดวางสายไปทันที เสียเงินไม่ว่า แต่ฉันจะไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด
**ว่าซื้อกุหลาบให้ตัวเอง ฉันซื้อกุหลาบให้ตัวเอง
ต้องทนเดียวดายวังเวง อย่างนี้
จะส่งความรักไปให้ใคร เมื่อคนคนนั้นไม่เคยมี
บอกรักตัวเองอีกทีนะเรา
เก็บดอกไม้รอคอยเพื่อใครสักคน
ที่ไม่รู้ว่าฉันจะเจอเมื่อไร
กลีบดอกไม้รอวันเวลาจะโรยร่วงไป
ต่างอะไรกับใจที่มันยิ่งเหงา
*,**
เก็บดอกไม้รอคอยเพื่อใครสักคน
**
เสียงฮัมเพลงดังขึ้นข้างกำแพงหลังจากที่ฉันกดวางสายโทรศัพท์ ตอกย้ำให้ฉันยิ่งอายมากขึ้น
‘อ้ายยยย! ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย ตาทนายบ้านี่จะตามก่อกวนฉันไปถึงไหน’
คุณเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้หรือเปล่า ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไง ในเวลาที่อายแทบแทรกแผ่นดินหนีไม่ทันแบบนี้
ใช่! กูรูอย่างฉันต้องเชิดหน้าเหมือนอย่างพญาหงส์ ไม่มีความตื่นตระหนกหวาดกลัวในแววตา ผู้หญิงสวยๆ อย่างฉัน จะต้องมั่นใจในทุกการกระทำของตัวเอง ตาทนายปากเปราะนั่นคงไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เขาก็คงแค่ปากดีกับฉันคนเดียว
‘แต่มันก็ไม่แน่หรอกนะ ปากเปราะขนาดนั้น’ ความรู้สึกของฉันเถียงกันเอง
‘ช่างปะไร ใครแคร์’
ฉันเลือกที่จะไม่ตอบโต้เขา ไม่ใช่เพราะกลัวนะ แต่เพราะไม่อยากทำเป็นร้อนตัวให้เขาเห็นต่างหาก แต่ก็เดินกลับเข้ามาในออฟฟิศอย่างไม่สบอารมณ์
อรอินทร์ยังยิ้มหน้าระรื่นกับช่อดอกไม้ที่ตัวเองได้รับ ฉันปรายหางตาไปมองเล็กน้อยก่อนจะกลับไปนั่งประจำโต๊ะของตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ
“วันนี้ไม่มีดอกไม้ของคุณโซดาเหรอ แปลกจังนะ” แตงไทยถามขึ้นมาลอยๆ เหมือนพูดกับกะทิมากกว่า
“ตั้งใจทำงานดีกว่ามั้ย ถ้าลูกค้าคอมเพลน ฉันจะตัดเงินโบนัสปลายปีให้หมด” ฉันดุกลบเกลื่อน
“ค่ะ” แตงไทยพยักหน้ารับเสียงเบา เดินกลับไปนั่งทำงานต่อหงอยๆ
เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของฉันดังขึ้น
[สวัสดีค่ะฮัก บริษัทจำกัดรัก ยินดีให้บริการค่ะ]
[VIP 8 ค่ะ] ปลายสายแจ้งรหัสตามกติกาที่กำหนดไว้ เพื่อความสะดวกสำหรับการเรียกดูข้อมูลและให้บริการ บริษัทจะใช้รหัสในการดำเนินการทั้งหมด
รหัสเมมเบอร์ VIP ฉันจะดูแลเองเกือบทั้งหมด ส่วนรหัส เมมเบอร์ ทั่วไปที่มีมากกว่าหลายเท่า อรอินทร์จะเป็นคนดูแล และมีผู้ช่วยอย่างกะทิและแตงไทย
ฉันพยักพเยิดให้แตงไทยส่งแฟ้ม VIP ที่วางอยู่บนโต๊ะมาให้พร้อมกับกรอกเสียงหวานตอบลูกค้า
“วันนี้คุณ VIP 8 ต้องการให้ฮักดูแลในเรื่องไหนบ้างคะ”
รหัส VIP 8 เป็นลูกค้าลำดับต้นๆ หรือจะเรียกว่าตั้งแต่ปีแรกของการก่อตั้งบริษัท แต่ถึงตอนนี้เธอก็ยังโสด นั่นก็หมายถึงว่า...ดีกรีความยากก็มากขึ้นตามไปด้วย
ฉันยอมรับว่าระบบในปีแรกไม่ค่อยรัดกุม ทุกอย่างคือการเรียนรู้ เริ่มต้น หลังจากฟังความเห็นก็นำข้อบกพร่องมาปรับปรุงและแก้ไขระบบงานมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีระบบที่สมบูรณ์ในวันนี้
