บทที่ 1
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น! มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกแก!”
คนที่พูดชื่อ บิว เป็นน้องสาวฝาแฝดของบาส และเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกันกับหลิน สีหน้าท่าทางของบิวดูหมดอาลัยตายอยากประหนึ่งว่าตัวเองเป็นคนอกหักเสียเอง
“ก็ไม่มีอะไร หลินแค่คุยกับผู้ชายคนอื่นแล้วไง…”
“ไม่ได้! ยังไงก็ไม่ได้! หลิน! แกไม่รู้หรือไงว่าเป็นคนของใคร?!”
วรญา หรือ บิว เป็นแฝดผู้น้องของบาส เรียนอยู่อีกมหาลัยฯ พี่บิวเรียนคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาซึ่งตรงกับสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ ส่วนพี่บาสเรียนอยู่ที่สถาบันการบินตามรอยบิดาเขาไป
ทั้งคู่อายุห่างกับหลินสองปี แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ความสัมพันธ์ของพวกเราสนิทสนมกันประหนึ่งครอบครัวเดียวกัน
“หลินไม่ได้เป็นคนของใครทั้งนั้น พี่บิวพูดเบาหน่อยเดี๋ยวหยินมันได้ยินก็เป็นเรื่องอีก”
ตงหยิน หรือ หยิน เป็นน้องชายของหลินอายุห่างกันแปดปี และไอ้น้องชายเธอคนนี้ก็มีนิสัยรายงานทุกเรื่อง! อย่าให้มันได้รู้อะไร หยินรู้โลกรู้ พ่อบอกว่าหยินนิสัยเหมือนแม่
“ไม่มีอะไรเรื่องใหญ่เท่านี้อีกแล้ว! แกไม่เห็นหน้าพ่อแม่ฉันตอนขึ้นรถกลับบ้านหรือไง งงกันเป็นไก่ตาแตกว่าพวกแกเลิกกัน!”
ปกติคุณป้าคือแม่ของพี่บาสไม่ใช่คนดุอะไร แต่เพราะเรื่องนี้ท่านถึงดุลูกชายสุดที่รักอย่างพี่บาส หลินคิดแล้วก็ถอนหายใจ
“ไม่ต้องมาถอนหายใจ เล่าซะทีว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ทำไมแกกับพี่บาสถึงได้ออกห่างกันแบบนี้ แล้วนี่ต่างคนต่างมีใหม่เหรอ! หรือว่าจะเป็น…” บิวหันขวับไปมองหน้าเพื่อนสนิทที่ทำตัวเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว
บิวไม่อยากจะเชื่อว่าหลินจะไม่ชอบพี่ชายเธอแล้ว ความลับเรื่องนี้มันจะเป็นความลับก็ไม่ใช่ ปิดบังก็ไม่เชิง คนอื่นรอบตัวเรารู้เรื่องกันหมด เพียงแต่ว่าด้วยอายุของหลิน ด้วยครอบครัวของหลินคือลุงหยางที่หวงลูกสาวยิ่งกว่าอะไร
บ้านบิวเลยออกตัวมากไม่ได้ ส่วนพี่ชายก็ทำตัวเนียน ๆ เป็นมดแดงแฝงรังมะม่วงไปก่อน แต่ไหงถึงเป็นแบบนี้ไปได้!
“นี่คือเหตุผลที่แกไม่ไปเรียนต่อการบินใช่ไหม?” ถ้าเหตุผลเป็นเพราะพี่ชายเธอ บิวยอมรับว่ารู้สึกแย่นะ
“หลินเป็นนักบินก็ใช่ว่าจะได้บินกับเขาเสียเมื่อไหร่ เรื่องหลอกเด็กให้ตั้งใจเรียนทั้งนั้น” เขา! ปกติหลินเคยเรียกพี่บาสว่าเขาเสียเมื่อไหร่ แบบนี้แสดงว่าโกรธจริง!
หลินยังคงพูดติดตลกและตั้งใจทอดมันฝรั่งในกระทะต่อไป ไม่สนใจท่อนแขนที่กอดเอวเธอไว้ราวกับว่าจะไม่ยอมปล่อยหากไม่ได้คำตอบที่ทำให้ตัวเองพึงพอใจ
พูดแล้วก็ต้องหัวเราะกับความงี่เง่าของตัวเอง อยากจะเรียนสายเดียวกับคนที่ชอบ เพื่อที่เรียนจบไปจะได้ทำงานสายเดียวกัน ได้อยู่ใกล้ ๆ กันตลอดเวลา
เธอลืมไปได้ยังไงว่าโลกใบนี้มันช่างกว้างใหญ่นัก ไม่มีทางที่ได้ทำงานสายเดียวกันแล้วจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
พ่อของบาสและบิวเป็นนักบิน ส่วนแม่เป็นแอร์โฮสเตส ขนาดพวกท่านทำงานด้วยกันเป็นสิบ ๆ ปีไม่เห็นพ่อกับแม่จะได้บินไฟลต์เดียวกันเลย หลินเพิ่งมาแจ่มแจ้งก็ตอนตาสว่าง
“ทำไมจะไม่ได้ เส้นสายพ่อแม่ฉันตั้งเยอะ” เมื่อหลินนิ่งแบบที่ฟังเฉย ๆ บิวก็ยิ่งรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้ว
“หลินฉันไม่ตลก…พอแกบอกว่าจะสอบหมอไม่เป็นนักบินแล้ว ฉันรู้ว่าหมอคือความฝันของแก พอเห็นแกตั้งใจพวกเราเลยไม่ได้มาเซ้าซี้อะไร แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ แกจะเลิกกับพี่บาสจริงเหรอ?” บิวถามออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทจะถอดใจจากพี่ชายเธอง่ายดายแบบนี้
“เป็นหมอดีกว่าเป็นนักบินตั้งเยอะ” หลินตอบออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ปัจจุบันหลินสอบติดคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดัง กำลังเรียนอยู่ชั้นปีหนึ่ง
การได้ตามความฝันและทำมันสำเร็จทำให้เธอรู้สึกถึงความสุขที่แท้จริง
“เป็นหมอก็ไม่ต้องเลิกกับพี่ชายฉันก็ได้ แค่เรียนเยอะทำไมต้องเลิกกันแถมยังไปคุยกับผู้ชายคนอื่นด้วย”
หลินคิดว่าพี่บาสคงไม่ได้เล่าเรื่องที่โรงยิมวันนั้นให้น้องสาวของเขาฟัง รวมถึงไม่ได้บอกอะไรกับคนในครอบครัวด้วย เพราะเมื่อผลสอบเธอออกว่าสอบติดคณะแพทย์ เจ๊หนิงแห่งร้านราเมนคนโฉด ก็โทร. สายตรงไปหาแม่ของสองแฝดทันที ทุกคนนัดแนะร่วมรับประทานอาหารฉลองกันที่ร้านของแม่เธอ
ตอนนั้นหลินคิดว่ามันไม่มีอะไรที่จะต้องอธิบายกันมากมาย เพราะความสัมพันธ์ของเรายังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ ก็แค่แสดงความยินดีและกินข้าวกันนิดหน่อย กินเสร็จแต่ละครอบครัวก็แยกย้าย
เธอก็สนิทสนมกับพ่อแม่เขาเป็นอย่างดี ไม่ว่าใครจะดีจะร้ายคุณลุงคุณป้าก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย
ส่วนพ่อเธอก็สั่งเหมาหมูกระทะร้านดังย่านพระประแดงมาจัดเลี้ยงแบบชุดใหญ่ไฟกะพริบ ไม่ได้เลี้ยงแค่พนักงานในร้านราเมนของแม่หรือลูกน้องตัวใหญ่ยักษ์ของพ่อ
ชาวบ้านแถวนั้นใครผ่านไปผ่านมาก็มาหยิบไปได้เลย แต่มีข้อแม้ว่าต้องเอาเตาหมูกระทะมาคืนเพราะแม่เสียเงินค่ามัดจำเตาไฟ
เรื่องสำคัญในวันนี้รองลงมาจากการสอบติดหมอของเธอคือห้ามเตาหมูกระทะหายเด็ดขาด!
แต่เมื่อรถตู้บ้านเขามาจอดหน้าร้านหลินก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ ผู้ชายที่ไม่พบหน้ากว่าสองเดือนและเธอยังไม่พร้อมจะเจอหน้า
พี่บาสเดินเอาช่อกุหลาบมาให้และแสดงความยินดีกับเธอ
เสียงเฮดังลั่นเหมือนกับกำลังเชียร์มวยมากกว่า มีใครสักคนตะโกนเชียร์ก็บอกให้เธอรับช่อดอกไม้นั้น แต่หลินไม่ได้รับ ทั้งยังมองหน้าผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา
ผู้ใหญ่พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ แต่ทั้งเธอและเขาต่างมองหน้ากันด้วยต่างคนต่างความรู้สึก
บาสมีหวังแต่หลินไม่หวังอะไร…
ช่อกุหลาบสีแดงยังคงยื่นมาจากมือผู้ชายที่ปฏิเสธรักเธออย่างไร้เยื่อใยและค้างไว้อยู่แบบนั้น
หลินไม่รับไมตรีนั้น เพียงแต่มองหน้าเขาด้วยแววตาเช่นเดิมจนคนโดนมองหลุดปากพูดในสิ่งที่เธอไม่คิดว่าเขาจะหน้าด้านพูดออกมาให้เธออับอายแบบนั้น
และก็นั่นแหละ เมื่อเธออับอายเขาก็ต้องอับอายเหมือนกันที่ผู้หญิงไม่รับรัก!
“หลินไม่ได้ชอบพี่บาสแล้วค่ะ และหลินก็กำลังคุยกับผู้ชายคนใหม่มาสองเดือนแล้ว”