ตอนที่ 3: ศพ
รถตำรวจหลายคันค่อยๆ ขับออกจากบ้านผู้ใหญ่บ้านผ่านแนวป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ โดยตลอดสองข้างทางสามารถมองเห็นสัตว์ป่าน้อยใหญ่อยู่เป็นระยะๆ การันตีความอุดมสมบูรณ์ของป่าแถวนี้ได้เป็นอย่างดี นอกจากรถตำรวจจะขับผ่านแนวป่าที่อุดมสมบูรณ์แล้ว ในบางครั้งพวกเรายังขับผ่านแม่น้ำและลำธารขนาดเล็กหลายสายเพื่อมุ่งหน้าตรงเข้าไปในหุบเขาที่เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านที่เป็นเป้าหมายของพวกเราในครั้งนี้
ตลอดสองข้างทางที่พวกเราได้ขับรถผ่านมา นอกจากแนวป่า แม่น้ำและลำธารที่อุดมสมบูรณ์แล้ว ยิ่งพวกเราขับรถเข้าใกล้หมูบ้านที่เกิดเหตุมากขึ้นเท่าไหร่ พวกสัตว์ป่าเล็กๆน้อยๆ ก็เริ่มมองเห็นได้ยากมากขึ้นเท่านั้น ทั้งๆที่ยิ่งเดินทางเข้ามาในป่าอย่างนี้ควรที่จะมองเห็นสัตว์ป่ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วพวกเราก็มองไม่เห็นผู้คนเดินทางสัญจรผ่านถนนเส้นนี้เลย เพราะข่าวการตายของผู้คนภายในหมู่บ้านที่อยู่ด้านหน้านี้ ทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบพื้นที่รู้สึกหวาดกลัว จนทำให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นพื้นที่ร้างและวังเวงไปซะอย่างนั้น
พวกเราใช้ระยะเวลาขับรถ 30 นาที ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านที่เกิดเหตุ จากหมู่บ้านชนบทที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาและธรรมชาติที่แสนสวยงาม หมู่บ้านที่ผู้คนอยู่อาศัยร่วมกันอย่างสงบสุขและมีความสุข หมู่บ้านที่ผู้คนอยู่อาศัยด้วยการทำอาชีพทำไร่ ทำนา และหาของป่ามาขายเลี้ยงชีพ หมู่บ้านที่ผู้คนในเมืองต่างอิจฉาวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและสุดแสนจะสโลว์ไลฟ์แบบในอุดมคติของใครหลายๆ คน
แต่ในวันนี้หมู่บ้านที่เคยมีบรรยากาศที่สุดแสนโรแมนติกกลับกลายเป็นหมู่บ้านที่มีบรรยากาศเศร้าหมอง เพราะทันทีที่พวกเราก้าวเท้าลงจากรถตำรวจ พวกเราก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ดีทันที ความเงียบ ความกดดัน ความโศกเศร้า ความทุกข์และความเสียใจ บรรยากาศเชิงลบต่างๆลอยตลบอบอวลอยู่ภายในหมู่บ้านนี้อย่างหนาแน่น จนทำให้พวกเราทุกคนที่ยืนอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ถึงกับรู้สึกไม่ดี จนแทบอยากจะหนีออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ทันทีที่มาถึง
แต่อย่างไรก็ตามด้วยภาระและหน้าที่ของพวกเราแล้ว มันทำให้พวกเราทุกคนต้องยืนอยู่ตรงนี้ต่อ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเราจะต้องสืบหาหลักฐานและสาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ตายให้ได้ว่ามันเกิดมาจากอะไรกันแน่ เชื้อโรคร้าย ภัยธรรมชาติ สัตว์ป่า ยาหรือสารพิษหรือการฆาตกรรม และการสืบหาหลักฐานและสาเหตุของพวกเราในครั้งนี้อย่างน้อยมันจะต้องเป็นประโยชน์และสามารถสืบสาวไปถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ตายให้ได้
“บ่าเสม กูขนคิงลุก (มึง กูขนลุกว่ะ)” ยัยส้มป่อยพูดเสียงสั่น หลังจากที่เธอรับรู้ได้ถึงบรรยากาศภายในหมู่บ้านแห่งนี้
“มึงยังไหวไหม ถ้ามึงไม่ไหว มึงนั่งอยู่ที่รถตำรวจนี่แหละไม่ต้องตามมา” ผมพูดด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นหน้าของเพื่อนสาวกำลังซีดเผือด
“คิงจะไปมาดูถูกกู บ่าอี้บ่อดาย กูสบายมาก (มึงอย่ามาดูถูกกู แค่นี้กูสบายมาก)” ยัยส้มป่อยยิ้มแห้งๆ
“เอาล่ะ ถ้าทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเราเข้าไปสืบหาหลักฐานภายในหมู่บ้านกันเถอะ โดยเดี๋ยวพวกเราทุกคนจะเดินไปที่กลางหมู่บ้านพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน จากนั้นพวกเราค่อยแบ่งทีมออกสืบหาหลักฐานอีกที” สารวัตรอุดมสั่งการ จากนั้นพวกเราก็เดินตามผู้ใหญ่บ้านเข้าไปยังกลางหมู่บ้านอันเงียบเหงาและโศกเศร้าแห่งนี้ทันที
ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรอุดม ผม ยัยส้มป่อย ตำรวจทีมสืบสวนอีก 10 นาย ค่อยๆ เดินตามผู้ใหญ่บ้านอย่างช้าๆ โดยในระหว่างทางพวกเราก็คอยมองสำรวจหมู่บ้านแห่งนี้ไปด้วย และนั่นทำให้พวกเรารู้อีกอย่างหนึ่งว่านอกจากผู้คนภายในหมูบ้านแห่งนี้จะตายกันหมดแล้ว แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยพวกเราก็มองไม่เห็นเลยแม้แต่ตัวเดียว เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
และยิ่งพวกเราเดินเข้าใกล้ส่วนกลางของหมู่บ้านแห่งนี้มากขึ้นเท่าไหร่ บรรยากาศก็ยิ่งเงียบเชียบมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เงียบจนกระทั่งพวกเราได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง และเมื่อผ่านไป 10 นาที ผู้ใหญ่บ้านก็พาพวกเราเดินทางมาถึงศาลากลางหมู่บ้านแห่งนี้ได้ในที่สุด
“เอาล่ะ พวกเรามาแบ่งทีมออกเป็น 4 ทีม ทีมละ 3 คน ทีมแรกมีผม ผู้ใหญ่บ้าน เสมและส้มป่อยจะออกสำรวจหมู่บ้านทางทิศเหนือ ทีมที่ 2 สำรวจหมู่บ้านทางทิศตะวันออก ทีมที่ 3 สำรวจหมู่บ้านทางทิศตะวันตก เเละทีมที่ 4 สำรวจหมู่บ้านทางทิศใต้ จากนั้นให้พวกเราเก็บรวบรวมพยานหลักฐานมาให้ได้มากที่สุด และช่วงเที่ยงให้พวกเรากลับมาเจอกันที่ศาลากลางหมู่บ้านแห่งนี้อีกครั้ง และเมื่อเสร็จงานแล้วพวกเราจะออกเดินทางกลับไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านทันที” สารวัตรอุดมสั่งการอีกครั้ง จากนั้นทีมตำรวจหน่วยสืบสวนทีมที่ 2, 3 และ 4 ก็แยกย้ายกันออกปฏิบัติหน้าที่ทันที
“เอาล่ะ ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ เชิญผู้ใหญ่บ้านนำทางพวกเราได้เลยครับ” สารวัตรอุดมหันหน้าไปพูดกับผู้ใหญ่บ้าน หลังจากที่เห็นว่าลูกน้องของเขาออกสำรวจหมู่บ้านตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว
“อย่างอั้น หมู่สารวัตรก่อโตยผมมาตางนี้เลยครับ (ถ้าอย่างนั้น พวกสารวัตรก็ตามผมมาทางนี้เลยครับ)” ผู้ใหญ่บ้านนำทางพวกเราทั้งสามคนไปที่บ้านหลังหนึ่งทันที
และบ้านที่ผู้ใหญ่บ้านพาพวกเรามานี้ เป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง มีห้องนอนอยู่ด้านบน ด้านหน้าเป็นชานบ้าน ด้านหน้าชานบ้านมีบันไดไม้ฟาดจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน หลังคาของบ้านถูกมุงด้วยกระเบื้อง ใต้ถุนบ้านมีท่อนไม้วางอยู่เต็มไปหมด ข้างบ้านมีเล้าไก่และคอกหมู แต่ในตอนนี้ไก่และหมูได้หายไปหมดแล้ว จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็พาพวกเราเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนของบ้านทันที
กรี๊ด!!!
ยัยส้มป่อยส่งเสียงกรีดร้องออกมาทันที หลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านได้เปิดประตูบ้านและพาพวกเราเดินเข้าไปด้านใน และนั่นทำให้พวกเรามองเห็นศพที่นอนตายอยู่ทางด้านใน 2 ศพ โดยสภาพศพที่นอนตายอยู่ภายในบ้านหลังนี้ ร่างกายมีลักษณะซูบผอม เหลือแต่ผิวหนังแห้งติดอยู่กับกระดูก ดวงตาทั้งสองข้างของศพเบิกกว้าง ลิ้นจุกปากคล้ายถูกทรมานก่อนตาย นิ้วมือ นิ้วเท้าทั้งสองข้างจิกเกร็งผิดปกติ ดูสยดสยองเป็นอย่างมาก ดังนั้น เมื่อยัยส้มป่อยได้เห็นศพดังกล่าว เธอถึงได้กรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญ และตอนนี้ยัยส้มป่อยถึงกับยืนตัวสั่นและล้มลงไปกับพื้น นอกจากนี้ยังมีใบหน้าที่ซีดขาวมากกว่าตอนเดินลงจากรถครั้งแรกเป็นอย่างมาก
“ยังไหวไหม” ผมถามยัยส้มป่อยด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเข้าไปพยุงตัวของยัยส้มป่อยให้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนด้วยขาอันสั่นเทา ส่วนยัยส้มป่อยเมื่อได้ยินคำพูดของผม เธอก็พยักหน้าทันทีเพื่อบอกผมว่าในตอนนี้เธอไม่ไหวแล้วนั่นเอง
“เสม พาส้มป่อยออกไปรอข้างนอกก่อน” สารวัตรอุดมมองยัยส้มป่อยอย่างเป็นห่วง
“ครับสารวัตรอุดม” จากนั้นผมจึงพยุงยัยส้มป่อยให้เดินออกมาด้านนอก เพราะดูเหมือนว่าในตอนนี้ยัยส้มป่อยจะมีอาการหวาดกลัวและเสียขวัญ ส่วนผมที่เห็นท่าทางของเพื่อนสาวก็ได้แต่เป็นห่วงและนั่งปลอบใจยัยส้มป่อยไปด้วย
“ศพมีลักษณะแบบนี้เหมือนกันทุกบ้านเลยไหมครับผู้ใหญ่” สารวัตรอุดมถามผู้ใหญ่บ้าน หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนดูศพอยู่นานสองนานและพากันเดินออกมาจากตัวบ้าน เข้ามาหาผมและส้มป่อยที่นั่งรออยู่บริเวณหน้าบ้าน
“ครับ อย่างตี้สารวัตรหัน ศพกู้ศพมีสภาพจะอี้หมดเลยครับ (ครับ อย่างที่สารวัตรเห็น ศพทุกศพมีสภาพแบบนี้เหมือนกันหมดเลยครับ)” ผู้ใหญ่บ้านตอบ
“แล้ว ศพอยู่มากี่วันแล้วครับ” สารวัตรอุดมถาม
“อยู่มาสองวันแล้วครับ”
“แล้วไม่มีคนมาจัดการศพพวกนี้เลยเหรอ” ผมถามผู้ใหญ่บ้าน
“บ่ามีเลยครับ จาวบ้านเปิ้นเจื้อว่า คนตายเพราะมีผีมาเอาวิญญาณไป เลยบ่อกล้าเข้ามาทำศพ เปิ้นกลั๋วกั๋น (ไม่มีเลยครับ ชาวบ้านแถวนี้เขาเชื่อว่าที่คนตายเป็นเพราะมีผีมาเอาวิญญาณไป เลยไม่มีใครเข้ามาจัดการศพเพราะกลัว)” ผู้ใหญ่บ้านตอบด้วยน้ำเสียงสั่นกลัวอยู่บ้าง
“ผี มันจะไปมีของอย่างนั้นได้ยังไง” สารวัตรอุดมถอนหายใจ หลังจากได้ยินเหตุผลที่ผู้ใหญ่บ้านพูด ส่วนผมเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสารวัตรอุดมทันที นี่มันยุคสมัยไหนแล้วยังมีคนเชื่อเรื่องผีอยู่อีกเหรอ
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมโทรบอกทางการให้มาช่วยจัดการศพเหล่านี้ให้ก็แล้วกันนะครับ” สารวัตรอุดมพูดเเละนั่นทำให้ผู้ใหญ่บ้านถึงกับยิ้มออกมาอย่างดีใจเพราะว่าเขาเองก็จนปัญญากับการจัดการศพเหล่านี้อยู่เช่นกัน เพราะจะปล่อยศพเหล่านี้เอาไว้อย่างนี้เฉยๆก็ไม่ได้อีก แล้วอีกอย่างคนที่หมู่บ้านของเขาก็รู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน
“ขอบคุณสารวัตรครับ” ผู้ใหญ่บ้านพูดขอบคุณ
“เอาล่ะ ทางผมของรบกวนผู้ใหญ่บ้านพาผมไปดูรอบๆ แถวนี้อีกหน่อยนะครับ เผื่อว่าผมจะหาหลักฐานเพิ่มเติมได้” สารวัตรอุดมพูดกับผู้ใหญ่บ้านต่อ ส่วนผมเองที่อยากจะตามไปทำข่าวกับสารวัตรอุดมและผู้ใหญ่บ้านแต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากว่าในตอนนี้ผมกำลังดูแลยัยส้มป่อยที่จิตตกและเสียขวัญอยู่ และนั่นทำให้ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้งไปให้สารวัตรอุดมและผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น
จนกระทั่งเวลาได้ผ่านมาถึงเที่ยงวัน ในที่สุดสารวัตรอุดม ผู้ใหญ่บ้าน ผมและยัยส้มป่อย รวมไปถึงตำรวจหน่วยสืบสวนทีมอื่นๆ ที่แยกย้ายกันออกไปหาหลักฐานก่อนหน้านี้ก็เดินย้อนกลับมาที่ศาลากลางหมู่บ้านอีกครั้ง จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็พากันเดินกลับมาที่รถตำรวจ
“เอาล่ะพวกเราเดินทางกลับกันเถอะ แล้วพวกเราค่อยไปสรุปงานกันต่อที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน ผมเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่ดีในหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว” สารวัตรอุดมพูด และนั่นทำให้ตำรวจหน่วยสืบสวนทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยทันที เพราะพวกเขาเองก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกตินี้หลังจากที่ออกไปสืบหาหลักฐานภายในหมู่บ้าน จากนั้นพวกเราก็พากันรีบขึ้นรถและขับรถออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไปอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งอยู่ภายในรถตำรวจขณะที่พวกเรากำลังมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน สายตาของผมดันหันไปเห็นผู้ชายผิวเข้มคนหนึ่งที่มีใบหน้าคมเข้ม คิ้วหนา ดวงตาคม นัยน์ตาดุ จมูกโด่งเชิดรับกับริมฝีปากบาง รูปร่างสูงใหญ่ แต่งตัวด้วยเสื้อและกางเกงหม้อห้อมเดินออกมาจากแนวชายป่าไม่ไกลจากหมู่บ้านที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ชายคนนี้หลังจากที่เขาเดินออกมาจากแนวชายป่าแล้ว เขาก็จ้องมองมาที่ผมทันทีราวกับว่าเขารู้ตัวว่าผมกำลังจ้องมองเขาอยู่
ระหว่างที่พวกเรากำลังสบตากันอยู่นั่นเอง รถตำรวจก็ค่อยๆ ขับออกห่างไปจนทำให้ผมคลาดสายตาไปจากเขา และผมเองก็เริ่มสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครและมาทำอะไรที่หมู่บ้านแห่งนี้
“เอ๊ะ! หรือว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นฆาตกร!” ผมอุทานขึ้นมาในใจ ในขณะที่รถตำรวจได้ขับออกมาไกลเกินกว่าที่ผมจะย้อนกลับไปหาผู้ชายคนนี้ได้แล้ว
