ตอนที่ 2: สืบหาหลักฐาน
“ลูกเดินทางถึงที่พักหรือยัง” น้ำเสียงอบอุ่นดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือของผม
“ถึงแล้วครับแม่ มาถึงได้ประมาณ 2 ชั่วโมงแล้ว” ผมยกยิ้มในขณะที่เอาโทรศัพท์มือถือแนบหูและคุยกับแม่ ส่วนมือก็ค้นหาเสื้อผ้าและนำออกมาจากกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำและเข้านอน เพื่อชาร์จพลังให้พร้อมก่อนไปลุยหาข่าวในวันพรุ่งนี้
“โอเค ถึงที่หมายปลอดภัยเเล้วแม่ก็ดีใจ แล้วนี่ค่ำมืดดึกดื่นอาบน้ำอาบท่าเสร็จหรือยัง” น้ำเสียงเป็นห่วงดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือของผมอีกครั้ง
“กำลังจะไปอาบน้ำเลยครับแม่ ตอนมาถึงก็มัวแต่ไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านกับสารวัตรอุดม และยัยส้มป่อยอยู่นานเป็นชั่วโมง ผมเลยเพิ่งจะได้จัดของและเตรียมตัวออกไปอาบน้ำนี่แหละครับ”
“โอเค รีบๆ ไปอาบน้ำเลย อย่าให้มันดึกมากไปกว่านี้ แม่เป็นห่วงค่ำมืดดึกดื่นมองเห็นอะไรไม่ชัดเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ” เมื่อผมได้ยินน้ำเสียงที่เป็นห่วงของแม่ มันก็ทำให้ผมถึงกับยิ้มอย่างมีความสุข
“ได้เลยครับคุณแม่คนสวย”
“ไม่ต้องมาชมแม่ แม่รู้ตัวว่าสวย”
“โห่ แม่สวยไม่สวย มันต้องให้คนอื่นเขาชมไหมครับ” ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของแม่
“เอ่อ…ว่าแต่แม่ถามหน่อยสร้อยพระที่คุณปู่ให้ ลูกใส่ติดตัวอยู่หรือเปล่า” คุณแม่ถามอีกคำถาม เมื่อเธอนึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างได้
“ใส่อยู่ครับแม่” ผมก้มลงไปมองที่หน้าอกของตัวเอง และนั่นทำให้ผมเห็นสร้อยพระที่ผมใส่อยู่เป็นประจำมาตั้งแต่เด็ก และไม่เคยถอดมันออกเลยตั้งแต่ที่ผมได้รับสร้อยพระเส้นนี้มา
โดยที่มาที่ไปที่ทำให้ผมต้องใส่สร้อยพระเส้นนี้ติดตัวเอาไว้เสมอๆ เนื่องจากตอนเด็กๆ ผมนั้นมักจะเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ และมันมักจะทำให้ผมได้แผลและเลือดออกเป็นประจำทุกวัน ซึ่งในช่วงแรกๆ คุณแม่ก็คิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะความซนของผมที่มักจะชอบวิ่งและมักจะหกล้มและนั่นทำให้ต้องบาดเจ็บบ่อยๆ
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อผมโตขึ้นอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ยังเกิดกับผมอยู่เสมอๆ และบางครั้งมันก็ทำให้ผมบาดเจ็บจนเกือบถึงชีวิตอยู่หลายครั้ง เช่น เดินๆ อยู่ฝาท่อก็ชำรุดจนทำให้ผมตกลงไปในท่อ เดินๆอยู่รถยนต์จากบนถนนก็ขับพุ่งมาเฉี่ยวชน เดินๆ อยู่กระถางต้นไม้จากตึกสูงก็ตกใส่ผม เป็นต้น
จนกระทั่งวันหนึ่งครอบครัวของพวกเราเดินทางไปเยี่ยมคุณปู่ที่ต่างจังหวัด และนั่นทำให้ผมได้เจอกับคุณปู่เป็นครั้งแรก และเมื่อคุณปู่ได้เจอผมเป็นครั้งแรกเขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะวิ่งขึ้นห้องพระและหยิบเอาสร้อยพระประจำตระกูลออกมาและมอบให้กับผม จากนั้นคุณปู่ก็กำชับให้ผมใส่สร้อยพระเส้นนี้ตลอดห้ามถอดออกเด็ดขาด โดยไม่ได้บอกสาเหตุว่าทำไมถึงไม่ให้ผมถอดสร้อยพระเส้นนี้ และคุณปู่ก็พูดคุยและกำชับให้แม่ของผมคอยดูแลผมไม่ให้ถอดสร้อยพระเส้นนี้ออกเช่นกัน ก่อนจะพูดคุยกันด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด
และภายหลังที่ผมได้ใส่สร้อยพระเส้นนี้มันก็ทำให้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวผมหายไปอย่างน่าแปลกใจ และเมื่อคุณแม่ได้เห็นอย่างนั้นท่านยิ่งกำชับให้ผมใส่สร้อยพระเส้นนี้อยู่ตลอดเวลาห้ามถอดออกเด็ดขาด แม้กระทั่งช่วงที่ผมต้องอาบน้ำ ส่วนผมเองเพื่อความสบายใจของคุณแม่ผมก็ใส่สร้อยพระเส้นนี้อยู่ตลอดเวลาตามที่คุณเเม่บอก ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าทำไมคุณแม่ถึงต้องให้ผมใส่ก็เถอะ
“ดีแล้ว ลูกห้ามถอดสร้อยพระออกเด็ดขาดเลยนะ” คุณแม่ย้ำ
“ครับแม่” ผมยกยิ้มที่มุมปาก
“เอาล่ะ ถ้างั้นแม่ไม่กวนลูกแล้ว ลูกจะได้ไปอาบน้ำ”
“ครับแม่”
“แม่รักลูกนะ”
“ผมรักแม่ครับ” หลังจากที่ผมบอกรักแม่เสร็จแล้ว คุณแม่ก็กดวางสายทันที ส่วนผมเองก็ค้นเจอผ้าขนหนูและอุปกรณ์อาบน้ำของตัวเองเช่นกัน จากนั้นผมก็เดินออกนอกบ้านผู้ใหญ่บ้านเพื่อเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ห่างจากตัวบ้านไปพอสมควร โดยผมใช้เวลาอาบน้ำไปเพียง 15 นาทีเท่านั้น ในที่สุดผมก็อาบน้ำเสร็จ จากนั้นก็รีบเดินกลับเข้ามาในบ้านและรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอากาศในหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลและอยู่ท่ามกลางป่าเขาอย่างนี้ ตอนกลางคืนอากาศมักจะหนาวเย็นมากกว่าปกติ
“บ่าเสม คิงยะอะหยังอยู่ บ่าหลับบ่านอน (ไอ้เสม มึงทำอะไรอยู่ทำไมยังไม่นอน)” เสียงใสๆ ดังมาจากทางด้านหลังในขณะที่ผมกำลังยืนมองดูดาวบนท้องฟ้าอยู่บนระเบียงบ้านของผู้ใหญ่บ้าน
“ไม่ได้ทำอะไรหรอก เเค่ออกมามองดูดาวก่อนนอนสักหน่อยน่ะ” ผมหันหน้าไปพูดกับยัยส้มป่อย
“กูขอดูโตย (ฉันดูด้วย)” ยัยส้มป่อยเดินมายืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดูดวงดาวบนท้องฟ้า
“สวยเนอะ” ผมจ้องมองดูดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าสีหมึกก่อนจะพูดออกมา
“อืม” ส้มป่อยพยักหน้า
และท้องฟ้าในยามราตรีของหมู่บ้านกลางป่าอย่างนี้ มันทำให้ดวงจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้าสามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าที่เคย และบรรยากาศการมองดูดวงดาวอย่างนี้ก็หามองได้แค่เพียงในหมู่บ้านที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากๆ อย่างนี้เท่านั้น ส่วนถ้าคุณอยู่ในเมืองหลวงเช่นในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ หรือเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ผมเชื่อได้เลยว่าคุณไม่มีทางที่จะได้เห็นดวงจันทร์และดวงดาวชัดอย่างนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากว่ามันมีทั้งแสงไฟที่สว่างจ้าและฝุ่นควันจากการจราจรที่แสนวุ่นวาย คอยบดบังแสงจากดวงจันทร์และดวงดาวเหล่านี้ไปจนหมดนั่นเอง
และไม่ใช่เพียงแต่แสงจากดวงจันทร์และดวงดาวเท่านั้นที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า แต่ยังมีเสียงของแมลงต่างๆ ที่ร้องดังอยู่ภายในป่าคอยสร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกให้อีกต่างหาก อย่างในเมืองใหญ่ๆ นี่ไม่มีทางได้ยินเสียงของแมลงเหล่านี้อย่างแน่นอน
“แล้วมึงล่ะ ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน” หลังจากที่ผมเเละยัยส้มป่อยยืนซึมซับบรรยากาศของธรรมชาติอยู่ชั่วครู่ ผมก็หันหน้ามาถามยัยส้มป่อยที่ยืนอยู่ข้างๆ ทันที
“กูนอนบ่าหลับน่ะ (ฉันนอนไม่หลับน่ะ)” ยัยส้มป่อยตอบ
“ไม่ชินหรือว่ากลัวผี” ผมถาม
“ตึงสองอย่าง (ทั้งสองอย่าง)” ส้มป่อยยิ้มแห้ง
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้มึงก็ตั้งสติให้ดีๆ ถ้ามันไม่ไหวมึงก็บอกกูละกัน กูจะไปบอกสารวัตรอุดมให้ว่ามึงไม่สบาย” ผมส่งยิ้มให้ยัยส้มป่อยอย่างเป็นห่วง
“ตึงผี ตึงศพ จะบ่าหื้อกูกลัวได้จะได คนต๋ายหมดหมู่บ้านจะอั้น (ทั้งผี ทั้งศพ จะไม่ให้กลัวได้ยังไง คนตายหมดหมู่บ้านเลยนะนั่น)” ยัยส้มป่อยขนลุกและทำท่าทางลูบแขนตัวเองอย่างหวาดกลัว
“ก็ถ้ามึงไม่ไหวก็ให้รีบบอก” ผมย้ำอีกครั้ง
“บ่ๆ ถึงกูจะกลั๋วขนาดไหน กูก่อต้องไหว กูจะมายะตั๋วสำออยต่อหน้าสารวัตรอุดมบ่าได้ (ไม่ได้ๆ กลัวมากแค่ไหนกูก็ต้องไหว กูจะมาทำตัวสำออยต่อหน้าสารวัตรอุดมไม่ได้)”
“จ้าาา” ผมประชดยัยส้มป่อยที่เห็นผู้ชายมาก่อนเสมอ
“ผีก่อกลั๋ว ผัวก่อกลั๋วบ่าได้ อิเฮ้ย (ผีก็กลัว ผัวก็กลัวไม่ได้)” ยัยส้มป่อยมองผมด้วยสายตาที่จริงจัง และนั่นทำให้พวกเราทั้งสองคนหัวเราะพร้อมกันทันที
“ป่ะ ไปนอนกันเถอะ อากาศเริ่มเย็นแล้วเดี๋ยวจะไม่สบาย” ผมชวนยัยส้มป่อยเข้าบ้านทันที
“โอเค กูจะได้นอนโวยๆ ถ้าวันพูกตื่นขวาย สารวัตรอุดมจะด่าหัวเอา (โอเค ฉันจะได้รีบนอน เพราะถ้าวันพรุ่งนี้ตื่นสายโดนสารวัตรอุดมดุคงจะดูไม่ดี)” ยัยส้มป่อยยิ้ม จากนั้นพวกเราสองคนก็เดินกลับเข้าไปในบ้านของผู้ใหญ่บ้านและพากันเข้านอนทันที
เช้าวันต่อมา
“อีส้มป่อย มึงแต่งตัวเสร็จหรือยัง” ผมตะโกนเรียกยัยส้มป่อย เพื่อนสาวคนสนิทอยู่หน้าห้องนอน
“เอ่อๆ ถ้ากูกำเดียว กูใส่เต่วยีนแล้ว (เอ่อ รอกูแป๊ป กูใส่กางเกงยีนแล้ว)” ยัยส้มป่อยตะโกนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
“มึงนี่นะ ไหนบอกว่าจะไม่ตื่นสาย กลัวสารวัตรอุดมกินหัว (ดุ) เเล้วดันมานอนตื่นสายจะถึงเวลาออกเดินทางแล้ว”
“เอ่อๆ กูสุมาเต๊อะ หลับดีไปน้อย ก่ออากาศมันเย็น (เอ่อๆ กูขอโทษ นอนหลับสบายไปหน่อย ก็เพราะอากาศมันเย็นสบายนั่นแหละ) ยัยส้มป่อยเปิดประตูห้องออกมาอย่างรวดเร็วหลังจากที่เธอแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นพวกเราทั้งสองคนก็รีบวิ่งไปหาสารวัตรอุดมที่กำลังยืนคุยอยู่กับผู้ใหญ่บ้านข้างๆ รถตำรวจทันที
“อ้ายสารวัตรอุดมเจ้า พ่อหลวงเจ้า สวัสดีเจ้า (พี่สารวัตรอุดมคะ ผู้ใหญ่บ้านคะ สวัสดีค่ะ)” ยัยส้มป่อยเเละผมยกมือไหว้สารวัตรอุดมและผู้ใหญ่บ้านทันทีที่มาถึง
“สวัสดีพี่สารวัตรอุดม สวัสดีผู้ใหญ่บ้านครับ พวกผมขอโทษนะครับที่ลงมาช้าไปหน่อย” ผมขอโทษทั้งสองคน หลังจากที่เห็นว่าทั้งสองคนยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็เพิ่งจะลงมาก่อนหน้านี้ได้ไม่นาน ว่าแต่ถ้าพวกเราพร้อมแล้วก็เริ่มออกเดินทางกันเถอะครับ” สารวัตรอุดมส่งยิ้มให้กับพวกผม จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็พากันไปขึ้นรถทันที
“ครับ/เจ้า (ค่ะ)” ผมและยัยส้มป่อยพยักหน้า ก่อนที่จะเปิดประตูเเละเดินขึ้นไปบนรถ
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้นอกจากสารวัตรอุดม ผมและยัยส้มป่อย และทีมตำรวจหน่วยสืบสวนแล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็ร่วมเดินทางไปกับพวกเราด้วย เนื่องจากว่าผู้ใหญ่บ้านนั้นค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพื้นที่หมู่บ้านที่เกิดเหตุ ดังนั้น การมีผู้ใหญ่บ้านไปช่วยนำทางและพาเดินดูสถานที่ต่างๆ ก็จะช่วยให้การทำงานของพวกเรานั้นเสร็จรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ตัดภาพมาทางหมู่บ้านที่เกิดเหตุการณ์ผู้คนตายทั้งหมู่บ้าน ในตอนนี้บริเวณชายป่านอกหมู่บ้านมีชายหนุ่มผิวเข้ม หน้าตาคมเข้ม หล่อเหลา คิ้วหนา ดวงตาคม นัยน์ตาดุ จมูกโด่งเชิดรับกับริมฝีปากบาง รูปร่างสูงใหญ่ แต่งตัวด้วยเสื้อและกางเกงหม้อห้อม สวมใส่รองเท้าแตะ นอกจากนี้บนบ่าซ้ายและขวาของชายหนุ่มคนนี้ยังมีค่างแว่นตัวเล็กๆ สองตัวนั่งเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน
และไม่ไกลจากชายหนุ่มผิวเข้ม นัยน์ตาดุคนนี้มีผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ผิวขาวสว่างมีออร่า อายุประมาณ 17-18 ปี และมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ตาตี๋ ผิวขาวสไตล์หนุ่มเหนือ อายุประมาณ 19-20 ปี เดินอยู่ด้วยกัน เเละในตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนก็กำลังเดินสำรวจอยู่รอบๆ หมู่บ้านราวกับกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างอยู่
“ก๋องคำ บัวตอง พี่ว่าพวกเราสามคนแยกกันสำรวจหมู่บ้านเถอะ เดี๋ยวพี่จะเดินไปสำรวจทางนู้น ส่วนทั้งสองคนก็สำรวจทางนี้ต่อละกัน” ชายหนุ่มผิวเข้ม นัยน์ตาดุพูดกับทั้งสองคนที่มาด้วยกัน
“ครับปี้ / ได้เจ้า” สองหนุ่มสาวตอบรับพร้อมกัน จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันออกสำรวจรอบหมู่บ้านทันที และในระหว่างนี้เองมีรถตำรวจหลายคันขับผ่านพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้าน ชายหนุ่มหันหน้ามองตามรถตำรวจหลายคันที่ขับผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ใส่ใจพวกตำรวจเหล่านี้มากเท่าไหร่ เพราะว่างานของเขาและของตำรวจเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันอยู่แล้วนั่นเอง
