ตอนที่ 1: การตายปริศนา
เมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกดิน ช่วงเวลาค่ำคืนก็เดินทางมาถึงอีกครั้ง และนั่นทำให้ท้องฟ้าในเวลานี้ปรากฏให้เห็นดวงจันทร์ดวงกลมโตที่ส่องแสงสว่างสีเหลืองนวล และนอกจากดวงจันทร์ดวงกลมโตที่ส่องแสงสว่างอยู่บนท้องฟ้าสีหมึกในเวลานี้แล้ว รอบข้างของดวงจันทร์ดวงนี้ยังเต็มไปด้วยดวงดาวนับล้านดวงที่แข่งขันกันส่องแสงสู้กับดวงจันทร์
นอกจากนี้หากคุณจ้องมองท้องฟ้าในเวลานี้แล้ว นานๆ ครั้งคุณอาจจะได้เห็นแสงของดาวตกที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าและหายลับไปกับแนวทิวเขา ดูแล้วช่างเป็นบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณได้ออกมาตั้งแคมป์ท่ามกลางป่าเขา เพื่อเฝ้ามองดูดวงจันทร์และดวงดาวนับล้านดวงอย่างนี้กับคนในครอบครัวหรือคนที่คุณรัก
ณ หมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่ผู้คนได้สร้างขึ้นท่ามกลางหุบเขาและค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านอื่นๆเป็นอย่างมาก และไม่ต้องพูดถึงตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่เลยเพราะการเดินทางจากตัวเมืองมายังหมู่บ้านแห่งนี้อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมงอย่างเเน่นอน
ภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีจำนวนครัวเรือนอยู่ไม่ถึง 30 ครัวเรือนและมีผู้คนอยู่อาศัยประมาณ 50 คนเพียงเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพียงหมู่บ้านขนาดเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับหมู่บ้านอื่นๆ ในปัจจุบันที่มีจำนวนครัวเรือนและผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเป็นชาวไร่ ชาวนา และหาของป่ามาขาย และนั่นทำให้ผู้คนภายในหมู่บ้านแห่งนี้ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่ายและสงบสุข ท่ามกลางบรรยากาศของธรรมชาติที่เเสนจะอุดมสมบูรณ์
แต่อย่างไรก็ตามในค่ำคืนนี้ที่หมู่บ้านแห่งนี้กับมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น เมื่อจู่ๆท้องฟ้าที่เคยสว่างจ้าด้วยแสงจากดวงจันทร์สีเหลืองนวลและดวงดาวบนท้องฟ้านับล้านดวงกับถูกเมฆหมอกสีดำเคลื่อนที่เข้ามาบดบังจนทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
บนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านมีฝูงนกแสกนับร้อยตัวบินมารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่พวกมันจะพากันบินไปเกาะตามต้นไม้ กิ่งไม้ รั้วบ้าน หรือตามหลังคาบ้านของผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ และพากันส่งเสียงร้องดังระงมจนแสบแก้วหู
นอกจากฝูงนกแสกนับร้อยตัวแล้ว ยังมีฝูงแมวดำนับร้อยตัวเดินออกมาจากแนวชายป่าเข้ามาภายในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ก่อนที่พวกมันจะพากันแยกย้ายและส่งเสียงร้องอยู่ตามท้องถนนและตามบ้านเรือนของผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้เช่นกัน และจากนั้นไม่นานบรรดาหมาที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านก็พากันหอนออกมาอย่างโหยหวนพร้อมๆ กันอย่างไม่ได้นัดหมาย ราวกับว่าพวกมันกำลังรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง
และก็เป็นที่น่าแปลกใจทั้งๆ ที่มีเสียงนกแสกร้องดังจนแสบแก้วหู เสียงแมวดำที่ส่งเสียงดังจนน่ารำคาญ และเสียงหมาที่หอนออกมาอย่างโหยหวน แต่มันกับไม่ทำให้ผู้คนที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่เสียงดังรบกวนเหล่านี้สามารถปลุกผู้คนที่กำลังนอนหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาได้ง่ายๆ แท้ๆ
และช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดนี้ก็เกิดขึ้นเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น จากนั้นกลุ่มของเมฆหมอกสีดำก็เคลื่อนที่ผ่านออกจากดวงจันทร์อย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้แสงจากดวงจันทร์และดวงดาวสามารถส่องลงมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ได้อีกครั้ง และทันทีที่แสงสว่างได้ส่องลงมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ ฝูงนกแสกและแมวดำนับร้อยตัวที่เคยอยู่เต็มหมู่บ้านก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าพวกมันไม่เคยปรากฏตัวที่หมู่บ้านแห่งนี้มาก่อน นอกจากนี้ฝูงหมาที่เคยเห่าหอนรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงทุกชนิดที่เคยอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยเช่นกัน
“บ่าเสม คิงขะใจ๋ยกของโวยๆ อ้ายสารวัตรอุดม เปิ้นจะออกรถแล้ว (ไอ้เสม มึงรีบๆ ยกของ สารวัตรอุดมเขาจะออกเดินทางแล้ว)” เสียงใสๆ ของหญิงสาวหน้าตาน่ารัก แต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนสีน้ำเงิน สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวสะพายกระเป๋าเก็บของใบใหญ่อยู่บนหลัง เร่งให้ผมรีบเก็บของเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง
“เอ่อๆ รู้เเล้ว ถ้ามึงอยากให้กูยกของเสร็จเร็วๆ มึงก็มาช่วยกูยกของสิ อีวอก” ผมบ่นเสียงดัง เมื่อเห็นว่าของที่ผมต้องยกนั้นมีทั้งกล้องถ่ายวิดีโอ ขาตั้งกล้องวิดีโอ กระเป๋าแบตสำรอง กระเป๋ากล้องถ่ายรูป เเละยังมีของอื่นๆ ที่ใช้ในการทำข่าวอยู่ภายในกระเป๋าใบใหญ่ และของทั้งหมดนี้ผมต้องเป็นคนยกเพียงคนเดียว ส่วน 'ยัยส้มป่อย' คนที่สั่งให้ผมยกของทั้งหมดนี้กำลังยืนส่งยิ้มสวยมาให้ผมซะอย่างนั้น
“คิงนี่หยั่งใดบ่าเสม กูเป๋นแม่ยิง จะหื้อกูยกของหนักได้จะใด คิงนั้นน่ะยกๆ ไป จะไปปากนัก (อะไรของแกเนี่ย ฉันเป็นผู้หญิงจะให้ไปยกของหนักได้ยังไง แกนั่นแหละยกไป อย่าบ่น)” เสียงของยัยส้มป่อย เพื่อนสนิทของผมพูดอีกครั้งในขณะที่เธอกำลังยืนหัวเราะผมที่กำลังหอบของพะรุงพะรังเดินเข้ามาหาเธอ
“อีวอก” ผมด่ามันทันที และนั่นทำให้ผมถูกยัยส้มป่อยมองตาเขียว
สำหรับ ‘ส้มป่อย’ เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก อายุ 24 ปี ใบหน้ากลมรูปไข่ ผิวขาวใสแก้มแดงระเรื่อ ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน คิ้วเรียวเล็กโก่งดั่งคันศร จมูกโด่งรับกับริมฝีปากบาง เธอเป็นหญิงสาวชาวเชียงใหม่แท้ๆ และเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม
ส่วนผมมีชื่อว่า 'เสม' ชื่อจริง 'นาย เกษม นามสกุล ใจกล้า' เป็นชายหนุ่มตัวเล็ก ส่วนสูง 165 เซนติเมตร น้ำหนัก 65 กิโลกรัม อายุ 24 ปี ผิวขาวใสมีออร่า ใบหน้าเรียวได้รูป คิ้วเข้ม ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเชิดรับกับริมฝีปากอวบอิ่ม เส้นผมสีน้ำตาลหยักศก เมื่อมองโดยรวมแล้วผมก็ดูดีพอจะสู้กับไอดอลเกาหลีได้เหมือนกันนะ ไม่ได้กะจะอวยตัวเองหรอกนะครับ แต่ผมนั้น 'หล่อและน่ารัก' จริงๆ
โดยในวันนี้ผมแต่งตัวด้วยเสื้อยืดเเละกางเกงยีนสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว คล้ายๆกับยัยส้มป่อย และการที่พวกเราเลือกที่จะแต่งตัวแบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าชุดแบบนี้ มันเหมาะสมสำหรับใส่ทำงานและออกพื้นที่ในการหาข่าวมากกว่าการใส่เสื้อเชิ้ตนั่นเอง
โดยผมและยัยส้มป่อยนั้น พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งเเต่สมัยเรียนปี 1 โดยพวกเรานั้นเรียนคณะการสื่อสารมวลชนในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ และเมื่อพวกเราทั้งสองคนเรียนจบ พวกเราก็มาทำงานเป็นนักข่าวในที่เดียวกันนั่นก็คือที่องค์การโทรทัศน์เเละวิทยุเพื่อการสื่อสารมวลชนจังหวัดเชียงใหม่ และนั่นยิ่งทำให้ผมเเละยัยส้มป่อยสนิทสนมกันมากขึ้น เเละในทุกๆ วันพวกเราสองคนจะคอยแบกกล้องเพื่อออกไปหาข่าวตามสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่จนทำให้พวกเราทั้งสองคนนั้นรู้จักแทบทุกซอกทุกมุมของจังหวัดเชียงใหม่เลยทีเดียว
ส่วนการออกหาข่าวของผมและยัยส้มป่อยนั้น พวกเราทั้งสองคนก็ไม่ได้ออกเดินทางไปหาข่าวกันเองซะทุกครั้ง เพราะในบางครั้งพวกเราทั้งสองคนจะขอร่วมเดินทางไปกับทีมตำรวจหน่วยสืบสวนของสำนักงานตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ โดยมี 'สารวัตรอุดม' เป็นหัวหน้าทีมของหน่วยสืบสวนนี้ และในการออกหาข่าวในครั้งนี้พวกเราทั้งสองคนก็ออกเดินทางติดตามไปกับสารวัตรอุดมอีกเช่นเคย เเละข่าวที่พวกเราต้องไปทำในวันนี้นั่นก็คือการตายปริศนาของผู้คนภายในหมู่บ้านกลางป่าที่ห่างไกลในอำเภออมก๋อย
“อ้ายสารวัตรอุดมเจ้า พวกเฮาสองคนพร้อมแล้วเจ้า (พี่สารวัตรอุดมคะ พวกเราสองคนพร้อมแล้วค่ะ)” ยัยส้มป่อยส่งยิ้มหวานให้กับสารวัตรอุดม ชายหนุ่มผิวแทน ใบหน้าคมเข้มคล้ายกับพระเอกในตำนานอย่างคุณมิตร ชัยบัญชา ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีดำ จมูกโด่งริมฝีปากบาง รูปร่างสูงใหญ่ ส่วนสูง 180 เซนติเมตร กล้ามเนื้อแน่นเพราะออกกำลังกายเป็นประจำ พอสารวัตรอุดมได้สวมใส่ชุดตำรวจพอดีตัวเเล้ว ยิ่งทำให้สารวัตรอุดมกลายเป็นตำรวจหนุ่มหล่อเหลา ถูกใจบรรดาสาวๆ เป็นอย่างมากโดยเฉพาะยัยส้มป่อยที่แอบปลื้มสารวัตรอุดมอยู่เช่นกัน
“ครับ ขนของกันเสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ” สารวัตรอุดมยิ้มหวานส่งให้ยัยส้มป่อย
“เจ้า (ค่ะ)” ยัยส้มป่อยเขินอายหน้าแดงและตอบเสียงเบา ส่วนผมได้แต่กรอกตามองบนรัวๆ จนลูกตาแทบจะเหลือแต่ตาขาว เพราะก่อนหน้านี้ยัยส้มป่อยยังพูด คิง คิง ฮา ฮา (กู กู มึง มึง) กับผมอยู่เลย พอมาเจอหนุ่มหล่อพูดเพราะขึ้นมาทันทีเลยนะ
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ เพราะกว่าที่พวกเราจะเดินทางไปถึงหมู่บ้านกลางป่า น่าจะใช้เวลาเกือบวันพอดี และเมื่อพวกเราเดินทางไปถึงแล้ว พวกเราจะไปพักที่บ้านผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านข้างเคียงก่อน และพรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยเข้าไปที่หมู่บ้านที่เกิดเหตุ” สารวัตรอุดมพูดให้ผมและยัยส้มป่อยฟัง
และหลังจากที่พวกเราได้พูดคุยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราทั้งหมดก็เริ่มต้นออกเดินทางทันที โดยในการเดินทางครั้งนี้มีทีมตำรวจหน่วยสืบสวนเดินทางไปทั้งหมด 10 นาย เเละมีผมและยัยส้มป่อยที่เป็นนักข่าวเพียงสองคนเท่านั้นที่เดินทางไปกับทีมตำรวจเหล่านี้ และเนื่องจากว่าผมเเละยัยส้มป่อยออกหาข่าวกับทีมตำรวจหน่วยสืบสวนนี้ด้วยกันบ่อยๆ ดังนั้น มันจึงทำให้พวกเราทั้งสองคนรู้จักกับพี่ๆ ตำรวจกลุ่มนี้เป็นอย่างดี และทำให้พวกเราทั้งหมดนั้นค่อนข้างที่จะสนิทสนมกันพอสมควร
“พี่สารวัตรอุดมพอจะเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับว่าที่หมู่บ้านที่พวกเรากำลังจะไปนั้นมันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นครับ” ผมที่นั่งอยู่เบาะหลังถามสารวัตรอุดม
“ทางตำรวจก็ไม่ทราบแน่ชัด รู้เเต่เพียงว่ามีคนแจ้งข่าวมาว่ามีคนในหมู่บ้านที่พวกเรากำลังจะไปนั้น จู่ๆ พวกเขาก็ตายอย่างปริศนาทั้งหมู่บ้าน” สารวัตรอุดมพูดเสียงเครียด ส่วนผมและยัยส้มป่อยที่ได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจและอุทานพร้อมกันทันที
“ตายหมดทั้งหมู่บ้านเลยเหรอครับ” ผมถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ใช่เเล้ว และที่พวกเราได้ข่าวก็เป็นเพราะว่ามีญาติของคนในหมู่บ้านนั้นเดินทางไปเที่ยวหากัน แต่ดันไปเจอคนในหมู่บ้านนั้นตายกันหมด จากนั้นเขาก็ตกใจเเละโทรไปแจ้งความตำรวจในพื้นที่ เเละตำรวจในพื้นที่ก็ประสานงานมาที่ส่วนกลางจังหวัดเชียงใหม่ เเละหัวหน้าของพี่ก็สั่งการให้ทีมตำรวจหน่วยสืบสวนรับคดีนี้มาดูแลนั่นแหละ" สารวัตรอุดมพูด
“โดนฆ่าหรือว่าอะหยังเจ้า (ถูกฆาตกรรมหรือว่าเกิดจากอะไรคะ)” ยัยส้มป่อยพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
“ทางนี้ก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน พวกเราถึงต้องเข้าไปดูพื้นที่นั่นแหละ เผื่อจะได้หลักฐานอะไรมาบ้าง” สารวัตรอุดมตอบ
“ก็หวังว่าพวกเราจะได้เบาะแสอะไรมาบ้างนะครับ เพราะการที่คนตายทั้งหมู่บ้านอย่างนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว” ผมวิเคราะห์ ส่วนสารวัตรอุดมและยัยส้มป่อยก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของผม
“ถ้าเป็นคดีฆาตกรรมจริงๆ ก็หวังว่าพวกเราจะสามารถจับตัวคนร้ายคนนี้ได้เร็วๆ เพราะการที่พวกเราปล่อยให้คนร้ายที่สามารถฆ่าคนได้ทั้งหมู่บ้านอย่างนี้เอาไว้เนี่ย มันตัวอันตรายชัดๆเลย” สารวัตรอุดมพูดเสียงเครียด
และเมื่อผมและยัยส้มป่อยได้ฟังสารวัตรอุดมพูดจบก็รู้สึกเครียดขึ้นมาทันที เพราะครั้งนี้ถือว่าเป็นคดีใหญ่เป็นอย่างมากที่พวกเราทั้งสองได้ลงมาหาข่าว และยิ่งคดีเกี่ยวข้องกับการตายของคนจำนวนมากแล้วด้วย มันยิ่งทำให้พวกเราทั้งสองรู้สึกกดดันมากยิ่งขึ้นไปอีก
ผ่านไปได้ 6 ชั่วโมงจากการขับรถออกจากตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ผ่านตัวอำเภอ ผ่านหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกล ผ่านแนวป่า ภูเขา และแม่น้ำ ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านข้างเคียงของหมู่บ้านที่เกิดเหตุการณ์การตายของผู้คนทั้งหมู่บ้าน แต่ถึงจะบอกว่าเป็นหมู่บ้านข้างเคียงแต่หมู่บ้านแห่งนี้ก็อยู่ห่างจากหมู่บ้านที่เกิดเหตุถึง 10 กิโลเมตร และทันทีที่พวกเรามาถึงที่หมู่บ้านแห่งนี้ พวกเราก็มาถึงในจังหวะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าพอดี เเละนั่นทำให้พวกเรารีบมุ่งหน้าไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านแห่งนี้ทันที
ภายหลังจากที่พวกเรามาถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้านเรียบร้อยแล้ว สารวัตรอุดม ผมและยัยส้มป่อย รวมถึงพี่ๆ ทีมตำรวจหน่วยสืบสวนก็พากันเก็บของ จากนั้นพวกเราก็มานั่งพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านข้างเคียงอยู่นานสองนาน ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวและเข้านอน เพื่อที่ว่าในวันพรุ่งนี้พวกเราจะได้ออกเดินทางไปที่หมู่บ้านที่เกิดเหตุด้วยกันได้ตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อเข้าไปรวบรวมหลักฐานต่างๆ เพื่อหาสาเหตุการตายของผู้คนในหมู่บ้าน และหลักฐานที่อาจจะนำไปสู่การจับกุมตัวคนร้ายในคดีนี้ได้
