ตอนที่ 6 เวรกรรมของกู[1]
15.22 น.
‘เมื่อถึงวันที่ฉันต้องเป็นฝ่ายถอนตัวออกมาจากความสัมพันธ์หนึ่ง ความลักลั่นก็ตามมาอีกเป็นพรวน ฉันรู้สึกทั้งสับสน โล่งใจ และโหยหาในเวลาเดียวกัน
หากยังอยู่ตรงนั้นฉันก็เป็นเพียงนกสแกมเมอร์ท่ามกลางฝูงเพนกวิน ที่ดูเหมือนจะกลมกลืนแต่สุดท้ายก็แปลกแยก
ตอนนี้ฉันเข้าใจความรู้สึกของเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟแล้วว่า การต้องเดินอย่างไม่รู้จุดหมายขณะที่หิมะกำลังโปรยปราย และตัวเองเป็นเพียงส่วนเกินมันเป็นอย่างไร…’
ปลายนิ้วแตะบนแป้นพิมพ์ร้อยเรียงความคิดในหัวออกมาเป็นตัวอักษร ว่ากันว่าในงานเขียนจะสะท้อนตัวตนของผู้สร้างออกมา พรฟ้าเองก็ใส่เสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกตัวเองลงไป
พรฟ้ามีงานอดิเรกคือการแต่งนิยายมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย เฝ้าอ่านหนังสือและฝึกหัดฝีมืออยู่หลายปี กว่าจะเริ่มเขียนลงเว็บไซต์จริงจังก็ตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้ว
สาเหตุที่เลือกเรียนคณะเศรษฐศาสตร์เพราะต้องการศึกษาทางด้านพฤติกรรมมนุษย์และสังคม ยิ่งยุคสมัยนี้การแข่งขันทางเศรษฐกิจแสนจะดุเดือด ไม่เว้นแม้แต่ในแวดวงหนังสือหรือนิยาย เธอตั้งใจเอาความรู้จากตรงนี้มาปรับใช้กับการดันงานตัวเองให้ประสบความสำเร็จ
ล่าสุดนี้เธอเห็นสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งจัดกิจกรรมประกวดเรื่องสั้น พรฟ้าจึงเริ่มลงมือเขียนงานหมายจะเข้าร่วมด้วย ต่อให้ไม่ได้คว้ารางวัลใหญ่ก็ไม่น่าเสียดาย เพราะถือว่าได้โอกาสฝึกฝนตัวเองแบบหนึ่ง
วันนี้หญิงสาวเลิกเรียนตั้งแต่ช่วงบ่ายเลยกลับห้องมาพักเอาแรง ช่วงค่ำต้องออกไปร้านเหล้าเพราะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อกระชับมิตรระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้องต่อจากการล่ารายชื่อ ระหว่างรอเวลาเธอก็เปิดโน้ตบุ๊กพิมพ์งานไปพลาง
มือขาวเนียนชะงักเมื่อโทรศัพท์มือถือมีเสียงเรียกเข้า เหลือบมองชื่อที่แสดงบนหน้าจอแล้วก็นิ่งอยู่ครู่ก่อนจะกดรับสาย “ค่ะแม่”
“ทำอะไรอยู่เรา” หญิงวัยกลางคนกรอกเสียงมาตามสาย เวลาที่ออสเตรเล
คำถามง่าย ๆ แต่หาคำมาตอบได้ยากยิ่ง พื้นฐานพรฟ้าเป็นคนไม่ชอบการโกหก หลายครั้งจึงเลือกที่จะเงียบแทนพูดคำหลอกลวง
“หนูกำลังทำงานอยู่ค่ะ”
“ทำงาน?” แม่ของเธอถามทวน “งานของมหาลัยหรือเขียนนิยายอะไรนั่น”
“ค่ะ…” เมื่อโดนจี้จุดหญิงสาวก็ตอบออกไปตามตรง สีหน้าเธอหมองลงเมื่อได้ยินเสียงระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนจากคู่สนทนา
“ฟ้า ที่แม่ให้ลูกเรียนมหาลัยก็เพราะอยากให้เรียนสูง ๆ จะได้สบายไม่ต้องลำบากแบบแม่” น้ำเสียงผู้เป็นแม่เรียบนิ่ง
“หนูรู้ค่ะ”
“รู้อะไร?” น้ำเสียงของแม่เข้มขึ้น
“หนูแบ่งเวลาได้ค่ะแม่”
หากไม่นับเรื่องเงินทองพรฟ้านั้นพึ่งพาตัวเองมาตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมปลาย ยิ่งไม่มีผู้ปกครองคอยกวดขันเธอก็ต้องมีวินัยให้มาก เรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบต่าง ๆ จะไม่รู้ได้อย่างไร
“ถ้ารู้ก็สนใจแค่เรื่องเรียนเถอะ นักขงนักเขียนอะไรไร้สาระ เรียนเศรษฐศาสตร์ทั้งทีก็หัดอยู่กับความจริงไม่ใช่นั่งฝันไปวัน ๆ”
สิ่งที่สร้างความเจ็บปวดได้มากที่สุดไม่ใช่การโดนทำร้ายร่างกายหากแต่เป็นการโดนคนใกล้ตัวทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดต่างหาก ดวงตาคู่สวยรื้นน้ำ พรฟ้าพยายามกดข่มความเสียใจเอาไว้ในอก
“ไว้ค่อยคุยใหม่แล้วกัน” หญิงวัยกลางคนตัดบทสนทนา เวลาที่นี่ตรงกับช่วงหัวค่ำเธอต้องเตรียมพาลูกชายเข้านอน
“ค่ะ ฝันดีค่ะแม่” กล่าวจบก็รีบกดตัดสาย ความรู้สึกที่เก็บกักเอาไว้พรั่งพรูออกมาเป็นเสียงสะอื้นไห้ พรฟ้าต้องการกำลังใจจากผู้เป็นแม่มากที่สุด แต่สิ่งง่าย ๆ ก็ดูได้มายากไปซะทุกอย่าง
เธอเหนื่อยเหลือเกิน
———————-
