บทที่ 4 ของขวัญวันเกิดล่วงหน้า (ตอนปลาย)
“เฮอะ! ที่มาปล้นก็เพราะเห็นว่าเป็นเด็กหรอก แถมอยู่คนเดียวด้วย ปล้นง่าย ๆ ไม่เปลืองแรงแบบนี้เป็นโจรที่ไหนก็อยากจะมาปล้น ถึงจะมีของน้อยแต่ก็ดีกว่าไม่ได้นั่นแหละ” โจรหมวกไอ้โม่งเบอร์สองพูดพลางหัวเราะ “ที่สำคัญ... ปล้นก่อนได้เปรียบด้วย”
“ใช่เลย” โจรหมวกไอ้โม่งเบอร์สามพูดสำทับอย่างเห็นด้วย
“แบบนี้ก็ได้เรอะ ?” เทพินถอนหายใจเฮือกอย่างเอือม ๆ กับเหล่าโจรสมัยนี้ ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเศรษฐกิจมันไม่ค่อยดี แต่การปล้นไม่เลือกแบบนี้ก็เป็นภัยได้เหมือนกัน...
“โจรบุกปล้นกันง่าย ๆ อย่างนี้เชียว” จิ้งจอกอสูรพึมพำพร้อมกับโบกหางสีขาวฟูเบา ๆ มันไม่เคยเจอโจรปล้นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสสถานการณ์แบบนี้ในสังคมมนุษย์ มันหันมาพูดกับเด็กหนุ่มใกล้ตัว “ให้ข้าจัดการให้เอาไหมเทน อย่างไรเสียมนุษย์ทั่วไปที่ไม่ได้รับพรไม่มีทางมองเห็นอสูรอย่างข้าได้อยู่แล้ว”
“หือ ?” เทพินเงยหน้าขึ้นมองจิ้งจอกอสูรแล้วเลิกคิ้วประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าจิ้งจอกอสูรที่อยู่แต่บ้านอย่างเกียจคร้านจะนึกอยากช่วยเหลือเขาขึ้นมา
“ทำหน้าแบบนั้นหมายความอย่างไร อยากจะหาเรื่องข้าหรือ ?” จิ้งจอกอสูรแยกเขี้ยวขู่ใส่ เทพินถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วส่ายหน้า
“แค่มองหน้าก็ว่าหาเรื่องแล้วเหรอ”
“แกพูดกับใครวะไอ้หนู ! “ โจรหมายเลขหนึ่งพูดพร้อมกับตั้งปืนจ่อไปที่ขมับของเทพินเตรียมยิงใส่ทันทีที่เด็กหนุ่มมีพิรุธ เด็กหนุ่มหน้านิ่งสงบก่อนจะชี้นิ้วไปที่อสูรที่ยืนสี่เท้าอยู่ไม่ไกลแล้วถาม
“มองเห็นนี่ไหม ?”
“เห็นอะไร ? “ โจรเบอร์หนึ่งมองแล้วเอียงคออย่างสงสัย ตรงที่เด็กหนุ่มชี้ไปนั้นว่างเปล่าในสายตาของมัน เทพินมองโจรสลับกับจิ้งจอกอสูรก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาไม่น่าถามเลย ก็น่าจะรู้อยู่แล้วแท้ ๆ ว่าคนธรรมดาไม่มีทางมองเห็นอสูรได้
แต่ก็ดีเหมือนกัน... ไม่รู้จะได้ไม่กลัว
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่สิ่งลี้ลับเท่านั้นเอง” เทพินแสยะยิ้มทันทีที่พูดจบ โจรหมวกไอ้โม่งรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทันที เมื่ออยู่ดี ๆ เด็กหนุ่มที่เป็นเหยื่อของมันพูดถึงสิ่งลี้ลับขึ้นมาในเวลานี้ ซึ่งเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินไปตั้งนานแล้ว
“พูดอะไรน่ะ ผีเผอไม่มีจริงหรอก !!” โจรเบอร์หนึ่งขึ้นเสียงใส่ เทพินหัวเราะหึในลำคอก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ก็ยังไม่ได้บอกสักคำว่าเป็นผี” เขาหมายถึงอสูรต่างหากล่ะ อสูรมีอำนาจมากกว่าผีอีกและมีหลายเผ่าพันธุ์ที่คนธรรมดามองไม่เห็น
“เฮ้ย บ้านนี้ของน้อยจริง ๆ ว่ะ แบบนี้จะขายได้เท่าไหร่กันเนี่ย” โจรเบอร์สองบ่นออกมาเสียงดังขณะมองหาของมีค่าในบ้านเพิ่มเติม เสียงของโจรคนนี้เรียกความสนใจของเด็กหนุ่มให้หันกลับไปมองอีกครั้ง
“เอาน่า ขายได้ดีกว่าไม่มีขายแล้วกัน”
“นั่นสิ” โจรเบอร์หนึ่งพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหันกลับมาสนใจเด็กหนุ่ม “ต่อไปก็เก็บผู้เห็นเหตุการณ์ซะ”
“จะฆ่าชิงทรัพย์หรือไง” เทพินเบ้ปากนิด ๆ
“แน่อยู่แล้วสิวะ จะปล่อยให้แกไปแจ้งพวกตำรวจรึไง” สามโจรหัวเราะก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม เทพินถอยหลังเล็กน้อยเพื่อตั้งหลัก ดวงตาสีม่วงมองคนที่คิดจะมาทำร้ายเขาสองมือกำหมัดแน่นเตรียมลงมือ แต่พวกโจรนั้นเดินเข้ามาใกล้เขาเพียงสามก้าวก็ต้องชะงัก
“หีบนี่... ทำจากทองคำนี่นา” สายตาของพวกโจรทั้งหมดย้ายไปมองหีบทองคำใบเล็กที่ยังคงวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ จิ้งจอกอสูรที่ยืนเฉยมานานหันขวับไปมองตามทันที
“โอ้โห ทำจากทองคำทั้งอันเลยนะเนี่ย”
“ทองแท้รึเปล่าวะ”
“แท้ว่ะ แถมเพชรพลอยที่ฝังอยู่ก็เจียระไนอย่างดี ของราคางามเลยนะเนี่ย” โจรเบอร์หนึ่งที่จับหีบขึ้นมาสำรวจตอบกลับด้วยสีหน้าตื่น ๆ ก่อนจะหันมามองหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังหน้าซีด เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นพลางยื่นมือออกไปห้าม
“อย่า...”
“ห้ามไม่ได้หรอกไอ้หนู พวกเราจะเอาโว้ย ฮ่า ๆ “ พูดจบโจรเบอร์สองก็เก็บหีบนั้นใส่ลงในถุงของมัน เทพินหันไปทางโจรแล้วส่ายหน้า ดวงตาสีม่วงอ่อนไม่ได้จับจ้องไปที่พวกโจรแต่สายตาของเขากำลังมองจิ้งจอกอสูรที่กำลังยืนแยกเขี้ยวอยู่เบื้องหน้าพวกมัน
ห้ามไม่ทันแล้ว !
“กล้าดียังไงมาแตะต้องหีบนั่น เจ้าโจรชั้นต่ำ !! “ จิ้งจอกอสูรพูดเพียงเท่านั้นแล้วตวัดอุ้งเท้าเล็กๆ ตบหน้าอีกฝ่ายแต่กลับเกิดเสียงดังเพี้ยะ !
“โอ๊ย ! “ โจรที่ถูกตบหน้าร้องเสียงหลงแล้วยกมือขึ้นกุมแก้มที่ถูกตบ “อะไรวะ” มันทำหน้าเอ๋อ ๆ มองซ้ายมองขวาเพื่อหาตัวคนทำร้ายมัน
“เป็นอะไรไปวะ อยู่ ๆ ก็ร้องออกมา” เพื่อนโจรถามอย่างแปลกใจ
“รู้สึกเหมือนมีคนมาตบหน้าเลย”
“คิดไปเองรึเปล่า” เพื่อนโจรเบอร์สามพูดแล้วตบบ่า และไม่นานเจ้าคนตบบ่าก็โดนตบตามเพื่อนไปติด ๆ
เพี้ยะ !
“โอ๊ย ! อะไรวะ !! “ อีกคนที่อยู่ดี ๆ ก็ถูกตบหันมองซ้ายมองขวามองหน้าตัวคนร้าย อาการเดียวกับคนก่อนหน้านี้เป๊ะ ๆ จิ้งจอกอสูรกระตุกยิ้มแล้วทำท่าจะตบอีกรอบ เทพินเห็นเลยรีบร้องห้าม
“หยุดนะเค...”
เพี้ยะ !
ปึก !!
หีบทองคำหลุดจากมือของโจรลงกระแทกพื้น กระดาษเก่าที่ปิดหีบไว้ก็ขาดวิ่น พลอยที่อยู่บนฝากล่องทั้งแปดชิ้นกลายเป็นพลอยขาวใสไร้ประกาย ฝากล่องเปิดออกพร้อมกับอะไรบางอย่างภายในกระโจนออกมาอย่างรวดเร็วและไม่มีใครที่มองทันนอกจากเทพินที่เบิกตากว้างขึ้นก่อนอะไรบางอย่างนั้นจะทะยานออกจากบ้านไปแล้วทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ
โจรที่มองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่ได้สนใจกล่องอีกต่อไป มันหันไปมองหน้าเทพินหลังจากมีเสียงร้องเตือนของเขา สายตาของโจรทั้งหมดก็ย้ายมาที่เทพินทันที เด็กหนุ่มตาสีม่วงยิ้มแห้ง ๆ แล้วปรายตามองต้นเหตุที่ทำหน้าบึ้งเหมือนกำลังจะฆ่าคน
“แกเองสินะที่บังอาจตบหน้าฉัน !! “ โจรชี้หน้าเทพิน
“เปล่า ไม่ใช่ผม” เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา
“หน็อยแน่ ในเมื่อกล้าทำร้ายพวกเราอย่างนี้ ก็ปล่อยให้มีชีวิตต่อไปไม่ได้ ! ต้องฆ่า !! “
“ใช่ ๆ ตบหน้าไปสามครั้งต้องสับเป็นสามชิ้น ฆ่า ! ฆ่า ! “ โจรหมวกไอ้โม่งถือมีดเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มมากขึ้น เทพินยังคงพยายามปรามแต่ไม่เป็นผลเลยสักนิด
“นี่ฟังกันก่อน...”
“ฆ่า ! ฆ่า ! ฆ่า ! “
“ฟังก่อนสิฟะ ! แค่ตบหน้าถึงกับต้องฆ่ากันเลยเรอะ ! ประสาทกลับกันหรือไง !! “ เทพินโวยวายอย่างเหลืออด
“ฆ่า ! ฆ่า ! ฆ่า ! “
พอกันที !
“ในเมื่อไม่ฟัง จะหาว่าผมโหดไม่ได้แล้วนะ !! “ เด็กหนุ่มพูดเสียงดังทำให้พวกโจรที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ชะงัก รวมไปถึงจิ้งจอกอสูรที่หันมาเลิกคิ้วมองเขาด้วย พอเห็นใบหน้าเรียบเฉยมีเส้นเลือดปูดที่ขมับ จิ้งจอกสีขาวนวลก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดในทันที
เทพินพุ่งเข้าประชิดตัวโจรที่อยู่ใกล้ที่สุด เขาใช้มือปัดมีดของอีกฝ่ายออกจากนั้นก็หมุนตัวตีศอกเข้ากลางลำตัว ส่งให้โจรคนแรกลงไปซบพื้นอย่างรวดเร็ว เทพินตวัดดวงตาสีม่วงคู่โตหันไปมองโจรข้างตัวอีกสองคน ขาเรียวเล็กแต่แข็งแรงเตะตัดขาคนหนึ่งให้ล้มลงแล้วเหยียบซ้ำไม่ปล่อยให้ลุกขึ้นมาได้อีก ก่อนจะหันไปเตะผ่าหมากให้โจรคนสุดท้าย
ผัวะ !
“อ่อก ! “ ทีเดียวจุกหน้าเขียวแล้วล้มตึงลงไปเลย
จิ้งจอกอสูรสะดุ้งโหยงแล้วยกอุ้มมือขึ้นปิดปากด้วยสีหน้าสยองเล็กน้อย ดูท่าเขาจะไปกระตุ้นต่อมโกรธให้กับเด็กหนุ่มเข้าเสียแล้ว แต่เขาก็จำเป็นต้องปกป้องหีบนั่นเหมือนกัน เพราะงั้นต่อให้ถูกซ้อมเขาก็รับได้
“ชิ ! เพราะโจรพวกนี้แท้ ๆ ทำให้ผมต้องลงมือจนได้” เทพินยกมือขึ้นเสยผมแล้วถอนหายใจการอัดโจรให้สลบไม่ได้ยากเกินรับมือ “ต้องเก็บกวาดเจ้าพวกนี้ก่อนสินะ จากนั้น...”
เทพินหันไปจ้องหน้าจิ้งจอกอสูรเหมือนเขาเป็นเหยื่อรายต่อไป แล้วยิ้มแสยะได้อย่างน่ากลัว เคไนน์รู้สึกเหมือนขนทั้งร่างลุกชัน มันจ้องหน้าเทพินเขม็งเช่นกัน ท่าทางระมัดระวังยิ่ง
ถ้าเทพินพุ่งเข้ามา... มันจะหนีจริง ๆ ด้วยนะ
“เคไนน์...”
“วะ... ว่าไง ? “
“นายใช้ภาพมายากับพวกนั้นด้วยสินะมันถึงได้สติแตกแบบนั้น”
“ข้าเปล่า” จิ้งจอกอสูรส่ายหน้าอย่างขึงขัง “ต่อให้ข้าทำแต่เป้าหมายของเวทมายาก็ไม่ควรจะตกที่เจ้า แต่ควรจะเป็นพวกมันฆ่ากันเอง”
“งั้นแล้วทำไม...” อย่าบอกนะว่าเขาซวยเอง
“คงจะเป็นเพราะหีบนี้กระมัง”
“นายรู้จักเจ้าหีบนี่ด้วยเหรอ” เทพินเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง มองจิ้งจอกแคระที่ดูแล้วอายุมันคงไม่เกินสองร้อยปีอย่างไม่เชื่อถือ
“ข้ารู้จักสิ... ก็มัน...” เคไนน์ท่าทางอึกอักลังเลใจ เขาอยากจะพูดแต่ก็เหมือนจะยังเรียบเรียงคำพูดไม่ได้
“นายไปตั้งสติก่อนไป เดี๋ยวผมจัดการเจ้าพวกนี้เรียบร้อยแล้วค่อยมาคุยกับนายอีกทีก็แล้วกัน” เทพินพูดพลางถอนหายใจ เขาละสายตาจากเคไนน์หันไปมองหาเชือกมามัดโจรที่บังอาจปล้นบ้านหนุ่มน้อยผู้อ่อนแอบอบบางอย่างเขา เมื่อมัดเสร็จเขาก็จับโจรไปไว้หน้าบ้านแล้วโทรแจ้งตำรวจ
จิ้งจอกอสูรที่หลบมุมเงียบ ๆ ไม่พูดจาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มที่ยืนคุยอยู่กับตำรวจที่เพิ่งมาถึง เขาพูดคุยได้อย่างฉะฉานและคล่องแคล่ว รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ดูตื่นกลัวนิด ๆ ขณะเล่าเรื่อง โกหกได้อย่างลื่นไหลและสมจริงจนน่ากลัว
เป็นคนที่มีทักษะความตอแหลสูงจนน่าตกใจ
“จริง ๆ นะครับคุณตำรวจ ตอนที่ผมกำลังตกใจกลัวอยู่น่ะมีผู้ชายตัวสูง ๆ ตาสีทอง ๆ มาจัดการพวกโจรแล้วก็ไปเลย ผมเลยจับโจรมัดเอาไว้แล้วโทรเรียกคุณตำรวจมา...” เทพินปั้นเรื่องสด ๆ ให้ตำรวจฟัง โดยยืมรูปลักษณ์ของจิ้งจอกอสูรมานิดหน่อยบวกกับจินตนาการ ทำแบบนั้นแล้วเรื่องก็ดูจะสมจริงขึ้นอีกนิด
“นอกจากตาสีทองแล้วยังมีอะไรเด่น ๆ อีกไหม ? “ ตำรวจถาม
“ก็เอ่อ...” เทพินทำท่าครุ่นคิดก่อนตอบ “ใส่หมวกสีขาวครับใส่ผ้าปิดปากด้วย เห็นหน้าไม่ค่อยชัดเท่าไหร่เลย”
“โอเค เข้าใจแล้ว ถ้ายังไงช่วยไปลงบันทึกที่สน. ด้วยนะครับ” นายตำรวจจดบันทึกบางอย่างแล้วพยักหน้า เทพินยิ้มแห้ง ๆ แล้วพยักหน้ารับอย่างง่าย
“ได้ครับ” เทพินเหลือบมองจิ้งจอกอสูรเล็กน้อยแล้วพึมพำ “เฝ้าบ้านนะเคไนน์”
“อะไรนะครับ ? “
“เปล่าครับคุณตำรวจ แค่ต้องปิดบ้านเท่านั้นเองล่ะครับ”
