บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 ของขวัญวันเกิดล่วงหน้า (ตอนต้น)

หลังจากเก็บของทุกอย่างที่ซื้อมาเข้าที่ไปหมดแล้ว เทพินก็กลับ มาให้ความสนใจกับจิ้งจอกสีขาวขนาดเท่าลูกบาสอีกครั้ง ใบหน้าจิ้งจอก น้อย ๆ หงิกงอด้วยความไม่พอใจ หางสีขาวตบพื้นเสียงดังชัดเจน ดวงตาสีทองอร่ามจ้องมาที่เขาเขม็ง

“หิวแล้วสินะ จะกินอะไรล่ะ” เด็กหนุ่มถามเสียงเรียบไม่ได้สุภาพอีกพลางสวมผ้ากันเปื้อนสีฟ้าเดินเข้าห้องครัว จิ้งจอกไม่ยอมตอบเอาแต่จ้องหน้าเขานิ่ง แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหยิบวัตถุดิบออกมาเตรียมไว้

“ไม่ตอบแสดงว่าไม่หิวแล้ว ? “

“ทำไมกลับดึกจังล่ะ” เสียงนุ่มดังขึ้นจากจิ้งจอกขาว เสียงแยกไม่ออกว่าเจ้าของเสียงนั้นเพศอะไร แต่ฟังไปคล้ายเสียงของเด็กผู้ชายมากกว่า

“ก็ไปฉลองกับเพื่อนนิดหน่อยหลังสอบเสร็จน่ะ แล้วก็ซื้อของกลับมาตุนไว้นี่ไง ไม่เห็นหรือไงว่าถือของเข้าบ้านมากมายขนาดไหน แถมยังไม่มาช่วยกันถืออีก โกรธอะไรล่ะ ? “

“...” จิ้งจอกน้อยยังคงเงียบ

“แล้วนี่จะกินหรือเปล่า ไม่กินจะเก็บของแล้วนะ”

“กินสิ” จิ้งจอกขาวตอบรับด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย มันกระโดดขึ้นโต๊ะไปนั่งรออย่างสงบเสงี่ยม

เทพินปรายตามองแวบหนึ่งอย่างเอ็นดูก่อนจะเริ่มลงมือทำอาหาร ไม่ได้ว่ากล่าวจิ้งจอกขาวที่นั่งบนโต๊ะอย่างเสียมารยาท เพราะเขาเข้าใจว่ามันนั่งอย่างคนธรรมดาไม่ได้

จิ้งจอกอสูรตนนี้เองก็เป็นพวกที่บกพร่องเหมือนเขา

เพราะมันเป็นอสูรที่ไม่สามารถกลายร่างให้มีร่างกายเป็นมนุษย์ได้อย่างอสูรทั่วไป อีกทั้งร่างกายไม่อาจเจริญเติบโตมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เพราะแกนพลังของมันปริร้าวจากอาการบาดเจ็บสาหัสทำให้รวมพลังมากไม่ได้ มันจึงจะเป็นจิ้งจอกแคระสีขาวอย่างนี้ไปอีกนานหลายสิบปี

เขาเก็บจิ้งจอกแคระนี่ได้ตอนอายุเก้าขวบ ตอนนั้นมันอยู่ในสภาพใกล้ตาย เขาก็แค่เก็บมันมารักษาให้เท่านั้น เมื่อหายดีก็ปล่อยมันไป... แต่ปล่อยไปได้เพียงสัปดาห์เดียวมันก็กลับมาอีกพร้อมบาดแผลที่มากกว่าเดิม ลำบากเขาต้องรักษาให้ เป็นอย่างนี้อยู่สี่ห้าครั้ง เขาเลยตัดสินใจจับมันล่ามโซ่ใส่ปลอกคอ บังคับขู่เข็นอยู่เกือบสองสัปดาห์กว่ามันจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่อง ๆ อย่างนี้

แต่ก็ไม่ถึงกับเชื่องเสียทีเดียว เพราะตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้มันยังไม่ยอมบอกชื่อของตนเลยสักครั้ง เขาเลยตั้งชื่อใหม่ให้มันเสียเลย

“เคไนน์ เสร็จแล้ว”

“อืม” จิ้งจอกน้อยกระดิกหางมองจานที่วางตรงหน้าอย่างหิวโหย เสียงท้องร้องเบา ๆ นี่อาจจะทำให้ใครก็รู้สึกเอ็นดู แต่กับเทพินที่คุ้นเคยกันมานานกลับหัวเราะเยาะออกมา

“ไม่โตเลยจริง ๆ “

“อย่ามาย้ำปมด้อยข้านะ” เคไนน์มุ่ยหน้าลง “มีพัสดุส่งมาถึงเจ้าด้วย วางอยู่ในห้อง”

“มาส่งเมื่อไหร่ ส่งจากที่ไหน ? “

“ตอนบ่าย... ส่งมาจากบ้านใหญ่”

“งั้นเหรอ” เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วนั่งขมวดคิ้วอย่างสงสัย มองหน้ากล่องที่จ่าหน้าถึงเขาและผู้ส่งเป็นบ้านใหญ่ พร้อมทั้งมีเขียนระบุไว้อีกต่างหากว่าเป็น ‘ของขวัญวันเกิดล่วงหน้า’

ไม่เห็นบ้านใหญ่แจ้งว่าจะส่งขอมาให้ ?

...ตาแก่นั่นคิดอะไรอยู่กันแน่นะ

เทพินแขวะใส่บุคคลที่คาดว่าเป็นผู้ส่งพัสดุมาให้ในใจ ส่งของมาไม่บอกกล่าวกันเลยสักนิด คิดบ้างไหมว่าถ้าที่บ้านไม่มีเคไนน์อยู่จะทำอย่างไร แถมไม่ได้ลงผนึกกันขโมยอีกเกิดหล่นหายไปที่ไหนใครจะไปเก็บกลับมา

เทพินนั่งจ้องกล่องพัสดุนั้นเป็นกล่องธรรมดาขนาดไม่ใหญ่มากน่าจะประมาณลังเบียร์ได้ ของข้างในเป็นยังไงไม่รู้ แต่น้ำหนักของมันไม่ได้หนักอะไร ไม่น่าจะเกินครึ่งกิโลกรัม ลองเขย่ากล่องตอนที่ถือแล้วก็ไม่มีเสียงกลิ้งใด ๆ นอกจากเสียงกระทบกันเบา ๆ ของวัตถุซึ่งน่าจะเป็นโฟมกัน กระแทก เทพินเดาว่าเป็นของบอบบางที่อาจจะแตกหักเสียหายได้ พอลองแกะดู... สิ่งที่อยู่ในนั้นกลับเป็นหีบใบเล็กเก่าแก่ขนาดเท่าฝ่ามือซะอย่างนั้น

แล้วจะใส่กล่องใหญ่ ๆ มาเพื่ออะไรฮะ ?!

เทพินอยากจะกุมขมับจริง ๆ ถ้าเป็นไปได้อยากจะเตะโด่งคนห่อพัสดุมากกว่า ไม่รู้จักเลือกสรรกล่องให้พอดีกับสิ่งของกันเลยหรือไง

หลังจากสรรเสริญคนห่อพัสดุในใจแล้วเทพินก็หันมาสนใจหีบใบเล็กเก่าแก่แทน หีบใบเล็กขนาดเท่าฝ่ามือนี้ทำจากทองคำอย่างดี ประดับด้วยไพลินสลับกับซิทรินไปมารอบฝาหีบแปดชิ้น ที่รอยต่อระหว่างฝาหีบและตัวหีบทั้งสามด้านมีกระดาษเปื่อย ๆ เขียนด้วยภาษาที่อ่านไม่ออกติดเอาไว้

สรุปนี่ของขวัญหรือกล่องคำสาปกันแน่ เก่าชะมัด

“เฮ้อ~ ส่งอะไรมาให้ล่ะเนี่ย ไร้สาระซะจริง” เด็กหนุ่มตาสีม่วงบ่นออกมาหลังจากมองของสิ่งนั้นแล้ว “ไปทำความสะอาดบ้านดีกว่าเรา... กินเสร็จแล้วก็เก็บจานด้วยนะเคไนน์”

พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปห้องครัวเพื่อนหยิบไม้กวาดออกมาเตรียมทำความสะอาดอย่างที่ว่าไว้ โดยไม่สนใจหีบเล็ก ๆ ใบนั้นอีก ส่วนจิ้งจอกอสูรกินเสร็จก็วิ่งเข้าห้องนอนเลย

เทพินทำความสะอาดบ้านในส่วนที่เป็นห้องนอนก่อน บ้านของเขาเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดไม่ใหญ่โตแต่ก็นับว่าบ่งบอกว่าพอมีฐานะอยู่บ้าง มันมีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องครัว ห้องสมุด หนึ่งห้องน้ำและหนึ่งห้องนั่งเล่น สัดส่วนขนาดเหมาะแบบอยู่สองคนตามแบบบ้านทั่วไป ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเหลืองนวลและน้ำตาลเข้มเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นในห้องนอนที่เป็นสีขาว และเครื่องเรือนสีน้ำเงินตามความชอบส่วนตัว ของประดับตกแต่งในบ้านหลังนี้มีไม่มาก นอกจากของใช้จำเป็นที่เหมาะสำหรับอยู่คนเดียวแล้ว อื่น ๆ ก็ไม่มีเลย และไม่คิดจะซื้อมาเพิ่มด้วยถ้าไม่เห็นว่าจำเป็น

หลังจากจัดการทำความสะอาดทั้งบ้านจนเรียบร้อยดีแล้วซึ่งใช้เวลานานพอสมควร เขาเตรียมตัวจะเดินออกจากห้องครัวที่ทำความสะอาดเป็นที่สุดท้ายเพื่อไปอาบน้ำ

กรุกกรัก ๆ

เสียงดังเบา ๆ ราวกับวัตถุขยับนั้นทำให้เทพินหันมองที่มาของเสียง แต่ไม่เห็นมีอะไรขยับ เขาขมวดคิ้วแวบหนึ่งก่อนจะเดินต่อไปจนถึงหน้าประตู

กรุกกรัก ๆ

เสียงนั้นดังอีกครั้ง ทำให้เขาต้องชะงักอีกรอบแล้วหันกลับไปดู แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรขยับทั้งนั้น เด็กหนุ่มขมวดคิ้วหนักหรี่ตาลงอย่างจับผิด ครั้งนี้เขามั่นใจว่าไม่ได้หูฝาดแน่ ๆ แต่กลับไม่มีสิ่งใดขยับเลย แถมบ้านของเขาก็ไม่ได้ใหญ่กวาดตามองครั้งเดียวก็เห็นแทบจะทั้งบ้านแล้ว

จิ้งจอกแคระของเขาไม่ได้อยู่ในห้องครัว จะบอกว่าเสียงดังมาจากห้องอื่นก็ไม่ใช่ เพราะเสียงมันอยู่ใกล้ ๆ เขานี่เอง เขาเปิดสัมผัสให้มากขึ้นกว่าเดิมและจับต้องไปรอบ ๆ อย่างจริงจัง

กรุกกรัก ๆ กรุกกรัก ๆ

คราวนี้เสียงดังชัดเจน เสียงนั้นเกิดจากหีบทองคำที่ขยับไปมาได้เองโดยไม่ต้องมีคนจับ คิ้วของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น ใบหน้ามีความเคร่งเครียดอย่างฉับพลัน ดวงตาสีม่วงวาวโรจน์และคมกริบมองไปที่ของขวัญที่เพิ่งได้รับมา

เขาเดินเข้ามาใกล้กล่องอีกครั้ง หยิบมันขึ้นมาสำรวจอย่างใจเย็น มันยังคงสั่นอยู่จนเขารู้สึกได้ และสั่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าสงสัยว่ามีอะไรที่อาจจะอยู่ภายใน

แต่หีบที่ปิดผนึกด้วยอาคมอย่างนี้สิ่งที่อยู่ภายในคงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาอย่างแน่นอน และถึงจะอยากรู้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในคืออะไร เทพินก็ไม่คิดจะเสี่ยง

คติของเขาคือไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับปัญหา

และไอ้ของที่ดูแล้วจะเป็นปัญหาโคตร ๆ แบบนั้นเขาก็เก็บความอยากรู้กลับไปอย่างรวดเร็ว

แกร๊ก !

เสียงของอะไรบางอย่างถูกปลดแว่วเข้าหู นั่นทำให้เทพินชะงักแล้วหันไปมองยังทิศทางของเสียงที่ไม่ใช่หีบตรงหน้า ดวงตาสีม่วงอ่อนหรี่ลงอีกครั้ง ดูเหมือนบ้านเขากำลังจะถูกบุกรุก จิ้งจอกอสูรที่มีสัมผัสไวอยู่แล้วรีบกระโจนมาหาเขาในทันที

“มีคน... เข้ามา...” จิ้งจอกอสูรกระซิบบอก เทพินพยักหน้ารับรู้

เขาวางหีบทองคำลงกับโต๊ะอย่างใจเย็น ยืดตัวขึ้นเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ใบหน้าที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึกมาตลอดภายในบ้านเริ่มปรับเปลี่ยนอารมณ์

“หยุดอย่าขยับ ! “ ร่างสูงของคนในชุดคลุมดำสวมหมวกไอ้โม่งถือปืนสั้นสามคนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เทพินคิ้วกระตุกทันทีที่เห็นพวกเขา

บ้านเขากำลังถูกโจรปล้นเหรอ ?

“โอ้ ปืนล่ะ ของจริงใช่ไหม” จิ้งจอกอสูรเอ่ย ดวงตาสีทองวาววับจับจ้องไปที่ปืนสีดำเงานั่นโดยไม่ได้เหลียวแลมนุษย์สามคนนี้เลยแม้แต่น้อย

“พวกคุณ... ต้องการอะไร ? “ เทพินเอ่ยถามออกไป มือทั้งสองข้างยกขึ้นสูงเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขายอมจำนนแล้ว แต่ดวงตายังจับจ้องไปที่กระบอกปืน ท่าทางยังใจเย็นอยู่ได้แม้จะถูกปืนส่องอยู่

“ของมีค่าทั้งหมดนั่นแหละ ! เฮ้ยพวกเรา ขนไปให้หมด” โจรหมวกไอ้โม่งเบอร์หนึ่งตอบอย่างไม่ใส่ใจ อีกสองคนที่เหลือพยักหน้ารับแล้วแยกย้ายกันไปรื้อค้นขนของมีค่าออกมา ไม่ได้หันมาสนใจเด็กหนุ่มกับจิ้งจอกอสูรเลยสักนิด

ไม่สิ มันมองไม่เห็นจิ้งจอกอสูรต่างหาก เคไนน์ใช้พลังพลางสายตามาตั้งแต่แรกแล้ว คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้

“คิดมาปล้นที่นี่น่ะคิดผิดแล้วล่ะ บ้านผมเป็นบ้านเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีของมีค่า ปล้นไปก็ไม่ได้อะไรหรอก” เทพินพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเบื่อหน่าย เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบ้านหลังนี้จะมีโจรมาปล้น บ้านหลังเล็กที่สุดในหมู่บ้านเลยนะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel