บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 หีบผนึกพลัง (ตอนต้น)

“ขอบคุณครับ ฝากจัดการที่เหลือด้วยนะครับ” เสียงนุ่มเอ่ยพร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อยอย่างนอบน้อม

“ครับ” นายตำรวจที่นั่งคุยกับเทพินตอบรับ ก่อนจะเก็บเอกสารมากมายใส่แฟ้ม “นี่ก็ดึกมากแล้ว ให้ไปส่งไหมครับ” นายตำรวจเอ่ยด้วยความ

หวังดี “กลับคนเดียวมันอันตรายนะครับ”

เทพินหันไปยิ้มละไมให้ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนนี้คงยังไม่มีโจรที่ไหนเข้าไปไกลแถวบ้านผมแน่ ๆ เพราะเพิ่งมีตำรวจไปเยือนหมาด ๆ นี่นา”

เมื่อเด็กหนุ่มยืนยันหนักแน่นตำรวจก็ไม่เซ้าซี้ เขาเดินออกจากโรงพักด้วยใบหน้าติดจะยิ้มแย้ม พอกลับมาถึงบ้านใบหน้ายิ้ม ๆ ก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย ดวงตาสีม่วงกวาดมองหาจิ้งจอกแคระสีขาวของเขาทันที

“เคไนน์” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกแล้วทิ้งตัวลงนั่งกับโซฟา จิ้งจอกสีขาวที่หลบซ่อนตัวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาในทันที “เอาล่ะ ได้เวลากลับมาคุยกันต่อแล้วนะครับ”

ดวงตาสีทองสบเข้ากับดวงตาสีม่วงอ่อนที่ยังคงจับจ้องมันไม่วางตา ความลึกล้ำของดวงตาคู่นั้นตรึงให้จิ้งจอกอสูรหยุดอยู่กับที่ รอยยิ้มมุมปากบนใบหน้าที่ดูน่ารักนั่นทำให้จิ้งจอกอสูรใจแกว่งมันไม่ชอบรอยยิ้มมุมปากของเทพิน... เพราะรอยยิ้มนั้นเหมือนกำลังจะแสยะและสื่อความว่ามีใครบางคนกำลังจะซวยและในสถานการณ์นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมัน

“เอาล่ะ จะยอมเล่าเองหรือจะให้ผมซักไซ้เองล่ะเคไนน์”

“เอ่อ ที่จริงข้าก็ไม่อยากจะพูดเท่าไหร่หรอก เพราะไม่อยากให้เจ้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้” จิ้งจอกอสูรเอ่ย ดวงตาสีทองเสมองออกไปทางอื่น เทพินเลิกคิ้วขึ้นแล้วส่ายหน้าไปมา

“ไม่ยุ่งไม่ทันแล้วล่ะครับ ในเมื่อตอนนี้นายเป็นสัตว์เลี้ยงของผม... เคไนน์”

“ข้าไม่ได้เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าเสียหน่อย!”

“แน่ใจนะ ? “

“มะ... ไม่รู้สิ” เห็นสายตาที่มองอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมรอยยิ้มมุมปากนั่นแล้ว เคไนน์รู้สึกเกรงใจเด็กหนุ่มตรงหน้าขึ้นมาฉับพลัน ถึงแม้ใจจะไม่ยอมรับเป็นสัตว์เลี้ยง แต่การหาเรื่องกับเทพินในช่วงอารมณ์คุกรุ่นไม่ใช่เรื่องดี

“ผมก็ไม่อยากทำให้นายลำบากใจ ที่จริงไม่รู้ก็ได้เพราะผมก็ไม่อยากจะยุ่ง แต่นายก็รู้ใช่ไหมว่าผมไม่ชอบปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่มันเสี่ยงกับชีวิต”

เพราะอยู่ด้วยกันมาหลายปี นิสัยของเทพินเป็นอย่างไรเคไนน์ย่อมรู้จักดี เขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเพียงเปลือกนอก มองโลกแง่ร้ายไปหน่อยและ... เกลียดที่สุดคือการถูกปัญหาวิ่งชน การที่มีเรื่องเกิดขึ้นและมีแววจะสร้างปัญหาให้เขานั้นเทพินไม่มีทางปล่อยมันผ่านไปแน่ ๆ

เขาจะหาทางเลี่ยงปัญหา... ไม่ได้แก้ปัญหาแต่อย่างใด

“แม้ว่าเรื่องที่รู้จะทำให้เสี่ยงมากขึ้นน่ะเหรอ” เคไนน์ยังคงไม่ยอมง่าย ๆ ระหว่างไม่รู้แล้วเสี่ยงน้อยกว่ากับรู้แล้วเสี่ยงมากขึ้น มันว่ามนุษย์ควรเลือกอะไรที่เสี่ยงน้อยกว่า

เทพินโคลงหัวไปมาแล้วถอนหายใจ

“จะเสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อยมันก็เสี่ยงเหมือนกันนั่นล่ะ ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องรู้”

“เฮ้อ ! เจ้านี่มันดื้อด้านเสียจริง”

“ผมก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว”

“ในเมื่อเจ้าอยากรู้ ข้าจะบอก แต่ข้าไม่อยากให้เจ้ามายุ่งในเรื่องนี้ เข้าใจหรือไม่” เคไนน์จ้องหน้าของเทพินอย่างจริงจัง ชายหนุ่มพยักหน้ารับยิ้มประจบเอาใจบาง ๆ ทันที

“ตามนั้น”

“งั้นข้าจะขอเล่าย้อนความก่อน ถึงช่วงที่พวกเราเจอกันเมื่อแปดปีก่อน... ในตอนนั้นข้าออกมาจากหมู่บ้านของตนเองเพื่อออกตามหาสิ่งนี้ เหตุผลที่ข้าออกตามหาก็คือมันเป็นสิ่งที่ถูกเล่าขานกันมาของเผ่าพันธุ์ว่าเป็นสมบัติที่เทพเจ้าได้มอบไว้ให้”

เทพินฟังอย่างตั้งใจ จิ้งจอกสีขาวนี่ไม่ค่อยเล่าเรื่องของตัวเองนัก ครั้งนี้เขาเล่าย้อนไปไกลแสดงว่าจะมีรายละเอียดของเรื่องมากเป็นแน่

“พวกเราตามหาอยู่นาน ในที่สุดก็รู้ว่าของสิ่งนี้อยู่ภายในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง... ไม่ใช่คฤหาสน์ของเจ้าหรอกไม่ต้องมาเลิกคิ้วมองแบบนั้น มันเป็นของตระกูลอื่นมาก่อน พวกตระกูลที่ได้รับพรจากเทพล้วนเก่งกาจ ข้าไม่อาจสามารถฝ่าไปได้จนตัดใจเพราะเจ้าเกลี่ยกล่อม แต่มันก็น่าแปลกใจจริง ๆ ที่สุดท้ายแล้วมันก็มาอยู่ในมือเจ้า”

“เพราะมีคนไปหามาแล้วมอบมันให้ผมต่างหาก” เทพินคิดว่าตาแก่ของตระกูลเขาคงรู้เรื่องนี้เลยใช้ความสามารถและอำนาจในการเอาหีบใบนี้มา แต่เขาค่อนข้างสงสัย ของสิ่งนี้ถ้าเป็นตามเรื่องเล่าของตระกูลจิ้งจอก จริง ๆ ทางตระกูลภาคีพิทักษ์ควรเก็บไว้เอง

“ต้องขอบคุณคนที่มอบมันมาให้เจ้า แต่ก็นึกสาปแช่งด้วยเช่นกัน” เคไนน์บ่นอุบ ดวงตาสีทองมีแววกรุ่นโกรธ ในใจนึกอยากจะข่วนหน้าคนมอบของชิ้นนี้ให้กับเทพิน

ถ้ามอบมันให้กับคนอื่นอาจจะไม่ได้เลวร้าย แต่การมอบมันให้กับเด็กหนุ่มที่ครอบครองจิ้งจอกอสูรอย่างเขานี่แหละที่เลวร้าย

“แล้วหีบนี่มีคุณสมบัติกับประวัติอะไรล่ะถึงทำให้นายบ่นอย่างนี้” เขายังคงไม่เข้าใจถึงรายละเอียด ได้ยินแต่คำบ่นของจิ้งจอกอสูร

เคไนน์ถอนหายใจก่อนจะหยิบเอาหีบทองคำออกมา ในตอนนี้หีบนั้นไม่มีกระดาษติดอยู่แล้ว อัญมณีบนฝาหีบหม่นหมองไร้สีและไร้ประกาย เขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของหีบทองคำแต่ทั้งคู่ยังคงใจเย็นอยู่

“หีบนี่เป็นสมบัติเทพ ชื่อของมันคือ ‘หีบทวิลักษณ์’ ภายในบรรจุพลังของเทพผู้ดูแลมิติและกาลเวลา เปลวเพลิงและสายน้ำ... ท่านเทพีสุริยาและท่านเทพจันทรา”

“อ้อ... เพราะงั้นไอ้พลังสองสายที่พุ่งออกจากหีบหายไปนั่นก็...”

“อะไรนะ พลังพุ่งออกจากหีบ !! “ เคไนน์รีบเข้ามาตะปบคอเสื้อของเทพินอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเด็กหนุ่มพยักหน้า จิ้งจอกอสูรก็เขย่าคอเสื้อเขาทันที “เจ้าปล่อยพลังนั่นออกไปได้ยังไงไอ้บ้า ! พลังนั่นไม่ควรออกจากหีบนะเว้ย”

“ก็เพราะใครกันล่ะไปตบหน้าโจรที่ถือหีบอยู่ พอมันปล่อยมือจนหีบร่วงมันก็เปิดออกสิ” เทพินเลิกคิ้วมอง เขาไม่คิดจะเดือดร้อนตามเลยสักนิด

“ก็ได้ ข้าผิดเอง... แต่เจ้าเห็นหรือเปล่าว่าพลังนั่นพุ่งไปทางไหน”

“ไม่รู้สิ”

“ไม่ได้เรื่อง”

“อสูรที่ไม่รู้ว่าพลังของหีบเทพหายไปดูไม่ได้เรื่องมากกว่าอีก”

“นี่เจ้า !! “

“แต่เอาเถอะ ผมไม่ได้สนใจในพลังนั่นอยู่แล้ว แต่ก็คว้าสะเก็ดพลังของมันไว้ได้เหมือนกันถึงจะรู้สึกว่าพลังมันแปลก ๆ ก็เถอะ”

เทพินแบมือออก เผยก้อนพลังสีน้ำเงินปนสีส้มที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังโปร่งแสงมีอักขระวิ่งล้อมรอบเป็นวงกลม เขาโยนพลังนั่นลงบนโต๊ะอย่างสิ่งไร้ค่า ในขณะที่เคไนน์ผวาเฮือกทันทีที่ลูกพลังนั้นกลิ้งมาทางตน

“จะ... เจ้าคว้าพลังนั่นไว้ได้... ได้ไง ? “

“อ้อ เผลอยื่นมือไปจับก็คว้าได้เลย”

“แต่นั่นเป็นพลังเทพนะ ! “

“เอ่อ... จริงด้วยแฮะ” เทพินขมวดคิ้ว

เขาลืมคิดไปว่ามันเป็นพลังของเทพ ทำไมเขาถึงจับต้องและปิดผนึกมันได้อย่างมั่นคงแบบนั้น มันควรมีการขัดขืนมากกว่านี้สิ

แต่ถึงจะขัดขืนเขาก็รู้ว่าพลังเสี้ยวเล็ก ๆ นั่นสู้เขาไม่ได้อยู่ดี

“เฮอะ เรื่องของเจ้านี่มันมีปริศนาเยอะยิ่งกว่าข้าอีกนะเทน” จิ้งจอกอสูรมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างค้นหา แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า

“อย่าว่าแต่นายเลย ผมก็งงกับตัวเองเหมือนกัน” เทพินยกยิ้มมุมปากท้าทายสายตาค้นหาก่อนจะเบี่ยงเบนประเด็นไป “เอ้า สนใจเรื่องตรงหน้าก่อนดีกว่า พลังนี่คือของเทพีสุริยากับเทพจันทราใช่ไหม พลังของเทพมาผนึกอยู่ในหีบเล็ก ๆ นี่ได้ยังไงกัน”

“จากเรื่องเล่าในหมู่จิ้งจอกอสูร พลังที่อยู่ในหีบคือพลังของเทพทั้งสองที่ปนเปื้อนมลทินซึ่งได้มาตอนเกิดสงครามเทพเจ้า ส่วนที่ปนเปื้อนนี้ไม่สามารถลบล้างได้ เพราะถ้าลบหมายถึงต้องลบพลังทั้งหมดของเทพเจ้า หรือการดับสูญ ฉะนั้นจึงทำการผนึกพลังปนเปื้อนไว้ในหีบทวิลักษณ์มากกว่าครึ่ง และเก็บมันไว้ในแดนมนุษย์”

เทพินฟังและคิดตาม เขาเคยได้ยินเรื่องสงครามเทพเจ้านี้มาบ้างเหมือนกัน เมื่อประมาณหมื่นกว่าปีก่อนได้เกิดสงครามระหว่างเทพเจ้าด้วยกันเอง เป็นสงครามครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดการล้างโลก โดยแบ่งฝ่ายเป็นเทพแห่งการก่อเกิดและเทพแห่งการทำลาย

มีการสันนิฐานไว้ว่าเกิดความขัดแย้งของเหล่าทวยเทพในด้านการปกครองสามภพ จึงได้ต่อสู้กันโดยมีมนุษย์และปีศาจเข้าร่วมด้วย โดยเทพทั้งสองฝ่ายมอบพลังให้ผู้ที่เข้าร่วมทัพโดยเรียกพลังนั้นว่า ‘พร’ และมีเทพจำนวนน้อยนิดและอสูรวางตัวเป็นกลาง พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมสงคราม ทำเพียงเฝ้ามองและคล้อยตามผู้ชนะในสงครามเท่านั้น

ซึ่งผลสุดท้ายแล้วผู้ชนะก็คือเทพแห่งการก่อเกิด

แต่เพราะสงครามที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ทำให้ เทพเจ้าอ่อนแอลง เทพเจ้าจึงกลับแดนสวรรค์ไม่ได้ลงมาข้องเกี่ยวกับมนุษย์แล้ว แต่เพราะการคงอยู่ของสิ่งที่เรียกว่าพร ทำให้พลังของเทพเจ้ายังคงหมุนวนอยู่บนโลกและคงอยู่ในประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานไม่ลืมเลือน

จากการคาดเดาพลังที่เทพทั้งสองผนึกเอาไว้น่าจะเป็นพลังจากเทพที่เท่ากันหรือเหนือกว่าจึงได้มีพลังทำให้ปนเปื้อนมลทินขนาดนี้ ซึ่งมีเพียงไม่กี่องค์ในประวัติศาสตร์ที่เขาพอนึกออก...

“ผมพอเข้าใจถึงความพิเศษของหีบแล้ว แล้วพลังเทพมีมลทินนี่มีแค่ของเทพีสุริยากับเทพจันทราเท่านั้นงั้นเหรอ ผมไม่คิดว่าเทพที่พลังเปื้อนมลทินจะมีเท่านี้”

เทพินหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด เคไนน์ถอนหายใจแล้วกล่าว

“พลังที่อันตรายแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เทพที่ยิ่งใหญ่โดนเข้าไปมีแต่จะดับสูญ ไม่ต้องหวังว่าจะยื้อชีวิตไว้ได้เลย เพราะพลังนี้เป็นของเทพแห่งการทำลายโดยตรง”

“...” ไม่ต่างจากที่เขาคิด เทพระดับนั้นก็สมควรที่ต้องสละพลังออกมามากกว่าครึ่งเพื่อผนึก ยังไงเสียพลังยังดีกว่าดับสูญ

“อีกอย่างนอกจากพลังเทพที่เปื้อนมลทิน พลังของเทพแห่งการทำลายยังคงกัดกินอยู่ภายในหีบนี้ พลังของมันมากพอที่จะก่อหายนะขนาดใหญ่ให้กับแผ่นดินได้เลยทีเดียว”

“แล้วนายมาเก็บกลับไปสินะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel