บทที่ 2 ครอบครัวตัวเอง
“ใช่สิตั้งแต่มีบ้านหลังโต มีรถเกือบสิบคันให้เลือกใช้ บ้านมีแม่บ้านมันทำแบบนี้กับคนเป็นแม่สินะ” แม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาใช้ว่าฉันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้จนพอแม่อ้าปากพูดฉันก็สามารถเดาออกได้เลยว่าประโยคที่ออกจากปากจะเป็นแบบไหน “ฉันขอแม่บ้านมาช่วยบ้างไม่เคยให้”
“จริงเหรอคะที่ฟางไม่เคยให้ แม่นึกดีๆ สิว่าฟางจ้างมาอยู่กับแม่แล้วกี่คน”
“…”
“แต่ไม่มีใครทนได้เพราะแม่กดขี่เขาเกินคนไงคะถึงจะมากี่คนทำแบบนี้คำว่าทนคงใช้ไม่ได้”
มันคือความจริงทั้งนั้นแหละที่คนอย่างฉันเอ่ยออกจากปากไปต่อหน้าพ่อกับแม่ซึ่งมันดูปกติสุดทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยพวกท่านทั้งสองโกรธฉันเข้าเส้นที่ได้กล่าวว่าแบบนี้ออกมาทั้งที่มันเป็นความจริงทุกอย่างแต่คงแทบน้อยครั้งในการหลุดพูดออกจากปากของฉันยกเว้นวันนี้
ไม่ได้โกรธที่ท่านไม่รับฝากเตแต่มันคือสิ่งที่ต้องทำให้ท่านทั้งสองรับรู้เอาไว้บ้างไม่อย่างงั้นมันต้องเป็นไปอีกเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งอีกเหตุผลหนึ่งมันละเอียดอ่อนจนแทบทำการอธิบายไม่ถูกด้วยซ้ำ จากที่ฉันรับรู้เรื่องแม่บ้านมาเข้าหูนี่ไม่ใช่เพราะเห็นกับตานะแต่เพราะได้ยินจากคนอื่นเล่าสืบกันมาทั้งนั้น
ขนาดฉันได้ยินยังรู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แล้วคนที่ไม่รู้จักได้ยินมันจะเป็นยังไง
ถ้าไม่ตีสีใส่ไข่เพิ่มกันสนุกปาก
โลกของการนินทาไม่มีที่สิ้นสุดหรอกไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ช่างต่อหน้าไม่กล้าลับหลังอย่าถามหาเลยเละทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเครือญาติ เพื่อนฝูงหรือแม้แต่คนในครอบครัวก็ใช่ว่าจะไม่มี เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอหลายเหตุและผลความเกลียดชังมักอยู่ในความจริงและก็การนินทา
“ใครมันบอกแกยัยฟาง”
“ไม่มีใครบอกค่ะแค่รับรู้แล้วเห็นจริงมากกว่า”
“ฉันไม่เชื่อ”
แม่ยิ่งทำหน้าเข้มขึ้นหลายเท่าเมื่อได้ยินคำตอบของฉันที่กลายเป็นว่าทำให้ไม่เชื่อเข้าไปกันใหญ่ ความเชื่อของแม่เมื่อมองคนอื่นหรือว่าเมื่อเจอกับความรู้ทันแปลกที่แม่ท่านจะเกลียดไปโดยปริยาย การปิดกั้นทางคำตอบเกิดขึ้นในทันทีโดยที่ไม่สามารถรับอะไรได้อีก
ไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก
ประโยคนี้ใช้กับแม่และก็พ่อได้เลย
“ฟางโตแล้วนะแม่ รู้ทุกอย่างนั่นแหละอีกอย่างที่ฟางส่งมาก็เป็นแม่บ้านเขาเป็นเด็กที่บ้านฟางมีเหรอเกิดอะไรขึ้นจะไม่รู้” เด็กไม่ได้ฟ้องแต่เลือกปิดบังให้เหตุผลอื่นว่าจะลาออกทั้งที่มาทำงานบ้านแม่ได้ไม่กี่วันแบบนี้มันน่าสงสัยแค่เค้นหรือหลอกถามนิดหน่อยไม่นานทุกอย่างก็รับรู้ได้หมด “ทุกครั้งเลือกไม่สนเพราะคิดว่าเป็นเหตุผลอื่นก็ได้แต่ไม่ใช่เลยหลายคนที่ออกล้วนมีเหตุแบบเดียวกัน”
“หึพวกมันก็ว่าไปเรื่อย ทำงานไม่ดีมาโทษคนจ้างหน้าไม่อาย”
“ฟางกลับก่อนนะคะ”
“นี่คิดว่าปีกกล้าขาแข็งออกไปอยู่กับผัวแล้วคิดจะลืมพวกฉันงั้นเหรอ แกนี่มันเหลือเกินจริงๆ”
เป็นพ่อที่พูดออกมาย้ำเพื่อทำให้ฉันยินยอมทำสิ่งที่พวกท่านต้องการเมื่อก่อนอาจได้แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ฉันควรรู้ว่าตัวเองควรพอมานานแล้วอย่าไปตามใจมากเกินกว่าเหตุด้วยซ้ำ
“ฟางไม่เคยคิด ฟางไม่มีความคิดแบบนั้น”
“แกเถียงฉันทุกคำแบบนี้มันหมายความว่าไม่เคยเหรอ”
“…”
แล้วถ้าไม่เถียงหรืออธิบายให้กระจ่างจะถือว่าเป็นลูกที่ดีใช่ไหม
สังคมครอบครัวต้องการแบบนี้สินะ
“แกปฏิเสธทั้งที่ทำแบบนี้ต้องการอะไร”
“…”
“แกอิจฉาพี่สาว แกอยากได้รับความสนใจแบบนี้ฉันว่ามันเป็นเด็กมีปัญหาแล้วยัยฟาง”
“…”
ฉันไม่เคยอิจฉา
ฉันไม่เคยอยากเอาชนะพี่แฟ
และฉันก็ไม่ได้เป็นเด็กมีปัญหาเรื่องแบบนี้
“ทำไมไม่เถียงพ่อแกล่ะ”
แม่ลุกขึ้นมาใกล้ฉันมากก่อนใช้มือออกแรงผลักลงบนศีรษะของฉันอย่างแรงจนเมื่อแรงผลักเกิดขึ้นมีเหรอที่ร่างกายฉันเมื่ออยู่นิ่งเฉยมันจะไม่เสียหลักก้าวเท้าถอยไปทางด้านหลังตามแรงผลักที่มีตามมาติดๆ กันอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด
“…”
“แกมันจะเถียงอะไรในเมื่อเป็นแบบนั้น”
“…” แม่ผลักอีกซ้ำๆ
“เป็นความอับอายของฉัน!”
“…” ได้ยินแล้ว
“เป็นก้อนเนื้อที่ถ้าฉันรู้ว่าเกิดมาแล้วทำให้ชีวิตพังฉันจะเลือกฆ่าให้ตาย”
“…” แต่ก้อนเนื้อก้อนนี้ก็มีหัวใจไม่ใช่ตายด้านเรื่องความเสียใจ
“ได้ยินมั้ยอีฟาง ฉันทำแกตายแน่ๆ แค่นี้ก็อยากบีบคอแกจะตายห่าอยู่แล้ว”
“…” ได้ยินจนไม่อยากจะได้ยิน
“ยิ่งเห็นหน้าลูกแกก็ยิ่งอยากฆ่า”
ปึก... เส้นความอดทนขาดสะบั้นลงเป็นที่เรียบร้อยเมื่อประโยคที่ออกมาจากแม่คือการคิดฆ่าลูกฉันแค่นี้มือของตัวเองมันก็ต้านทานสะบัดมือของแม่ออกไปด้วยความแรงไม่มากนักทว่าเสียงมือฉันกระทบกับมือแม่มันดังกว่าปกติ ความเงียบเป็นชนวนชั้นดีให้สายตาของพ่อที่นั่งไม่ไกลตึงขึ้น
“แกทำร้ายแม่แกทำไมอีฟาง!”
