บทที่ 8
หลังจากการแนะนำผ่านพ้นไปแล้ว รอยซ์ก็พาเธอไปโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่บนยกพื้น การสนทนาในโต๊ะอาหารค่ำวันนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องสนุกสนาน
โจนน์สังเกตเห็นอยู่ว่า บุคคลที่มีความสุขที่สุดในค่ำวันนี้คือป้าเอลิเนอร์ เพราะนางมีแขกให้สนทนาปราศรัยด้วยกว่าสามร้อยคน แต่บุคคลที่นางพยายามจะชวนพูดคุยมากที่สุดคือเอริค อาจจะเป็นเพราะนางนึกสนุกที่จะยั่วยุเนื่องจากเขาไม่ยอมพูดจากับใครเลยแม้แต่คนเดียว
“อาหารอร่อยถูกปากไหมเจ้าคะ” โจนน์หันไปถามสามีซึ่งตักนกยูงอบใส่จานเป็นครั้งที่สอง
“ก็พอกินได้” สีหน้าเขาขมวดมุ่น “แต่มันน่าจะรสชาติดีกว่านี้ในเมื่อพริสแชมเป็นผู้กำกับอยู่ทั้งคน”
และในตอนนั้นเองที่พ่อบ้านเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลัง เมื่อได้ยินเจ้านายพูดออกมาเช่นนั้น เขาก็ตอบด้วยน้ำเสียงชาเย็นว่า
“ดูเหมือนกระผมจะให้ความสนใจในเรื่องงานครัวได้ไม่มากนักขอรับ” เขาเหลือบตามองมาทางโจนน์ก่อนจะกล่าวต่อว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไปคุณหญิงของท่านคงจะดูแลเรื่องภายในครัวเองและคงจะเตรียมรายการอาหารได้ถูกใจท่านมากกว่านี้ขอรับมายลอร์ด”
โจนน์ผู้ไม่มีความรู้ในเรื่องการบ้านงานเรือนเลยแม้แต่น้อย ไม่ยอมให้ความสนใจกับคำพูดของเขาเพราะเธอกำลังพยายามกล้ำกลืนความไม่พอใจในตัวผู้ชายคนนี้ลงไว้ สิ่งที่ทำให้โจนน์ไม่ชอบหน้าเขา ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาที่บ่งบอกถึงความเป็นคนลับลมคมนัย แต่เป็นเพราะสายตากระด้างเย็นชายามที่เขากวาดมองไปรอบ ๆ ตัว
“และกระผมก็หวังนะขอรับ... ” เขามองหน้ารอยซ์ด้วยแววตาเช่นเดียวกับที่มองโจนน์ “ว่านอกจากเรื่องอาหารนี่แล้ว ทุกสิ่งคงเป็นที่พอใจของท่านนะขอรับ มายลอร์ด”
“พอใจมาก” รอยซ์ตอบเรียบ ๆ เลื่อนเก้าอี้ออกห่างเมื่อมองเห็นว่า ตรงปลายสุดห้องโถงการเต้นรำได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว “ถ้าพรุ่งนี้อาการของเจ้าค่อยยังชั่วขึ้นละก้อ ฉันอยากจะขอดูบัญชีต่าง ๆ ส่วนวันมะรืนเราค่อยออกไปดูที่ดินด้วยกัน”
“ได้ขอรับมายลอร์ด แต่ว่า... วันมะรืนเป็นวันที่ยี่สิบสาม ซึ่งตรงกับวันสำคัญทางศาสนา ท่านอยากจะเลื่อนไปก่อนไหมขอรับ”
“ไม่” รอยซ์ตอบอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ฉันอยากเห็นว่าธุรกิจต่าง ๆ ที่ทำอยู่ในที่ดินของฉันมันเป็นยังไงบ้าง”
เซอร์อัลเบิร์ต ทำความเคารพแก่โจนน์และรอยซ์ด้วยการผงกศีรษะเบา ๆ สีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะเดินเลี่ยงออกจากที่นั้น
เมื่อเจนที่ถอนสายตาที่มองตามร่างพ่อบ้านที่เพิ่งเดินจากไปก็เหลียวไปมองรอบ ๆ และพบเอริคที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่หลา เขายืนกอดอกเคร่งขรึม ไม่ได้หัวเราะ กินอาหารหรือพูดคุยและเต้นรำเช่นคนอื่น ๆ ดวงตาที่มองตรงไปข้างหน้านั้นเย็นชาเมินเฉย ขณะที่ป้าเอลิเนอร์ซึ่งขึ้นอยู่เคียงข้างเขาก็พูดไม่หยุดปาก ทำราวกับว่าชีวิตของนางขึ้นอยู่กับการที่เขาจะต้องเอ่ยปากโต้ตอบอะไรกับนางให้ได้ รอยซ์ยืนมองตามสายตาของเธออยู่อดปรารภออกมาด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะไม่ได้
“รู้สึกว่าป้าของเธอจะเล่นอยู่กับสิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดเลยนะ”
“นั่นสิเจ้าคะ” โจนน์หันมายิ้มให้เขา “ถามจริง ๆ เถอะเจ้าค่ะ เอริคเขาเคยพูดอะไรยาว ๆ หรือหัวเราะบ้างไหมเจ้าคะ”
“ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาฉันก็ยังไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะของเขาเลยนะ และดูเหมือนเขาจะพูดน้อยที่สุด คือแทบไม่พูดเลยถ้าไม่จำเป็น”
ยามที่ประสานสายตาอยู่กับดวงตาสีเทาคู่นั้น โจนน์รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยได้รับการคุ้มครองป้องกันอย่างดี แต่กระนั้นก็อดอึดอัดไม่ได้เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นบุคคลลึกลับสำหรับเธออยู่นั่นเอง
“แล้วท่านกับเขารู้จักกันได้ยังไงล่ะเจ้าคะมายลอร์ด”
“จริง ๆ แล้วไม่เคยมีใครแนะนำให้เรารู้จักกันหรอก” เขาพูดปนหัวเราะ สังเกตเห็นว่าเธอตั้งใจฟังอย่างสนใจเต็มที่จึงเล่าต่อ
“ครั้งแรกที่ฉันกับเอริคได้พบกันนั่นน่ะมันก็สักแปดปีเห็นจะได้ การต่อสู้ในสนามรบตอนนั้นดุเดือดมากแล้วก็ติดต่อกันมาตั้งเจ็ดวัน เหตุการณ์มันเกิดขึ้นตอนที่เขาถูกรุมหนึ่งต่อหก ฝ่ายตรงข้ามไล่ต้อนเขาออกมาแล้วก็ระดมใส่เขาทั้งดาบทั้งธนู แล้วฉันก็เข้าไปช่วย หลังจากที่เราสองคนจัดการกับฝ่ายตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าฉันได้รับบาดเจ็บ แต่เอริคเขาไม่ได้คิดจะขอบอกขอบใจอะไรฉันหรอก เขาเพียงแต่มองเฉย ๆ แล้วก็ขี่ม้าจากไป ... ก็เข้าไปรบต่อนั่นแหละ
“วันรุ่งขึ้น... ตอนนั้นใกล้ค่ำแล้ว ฉันก็ได้รับบาดเจ็บอีกครั้งและครั้งนี้ก็ยังตกลงมาจากหลังม้าด้วย ตอนที่ฉันก้มตัวลงจะหยิบโล่ ก็พอดีเหลือบไปเห็นฝ่ายตรงข้ามคนหนึ่งโผนม้าเข้ามาพร้อมกับแหลนในมือ มับจ้องจะตัดขั้วหัวใจฉันเลยละ แต่ยังไม่ทันไรเลยหัวมันก็หลุดจากบ่าแล้ว คนที่ตัดหัวมันก็คือเอริคนั่นเอง เขามองหน้าฉันเงียบ ๆ แล้วก็ขี่ม้าจากไปอีก
“บาดแผลที่ฉันได้รับนั่นน่ะ มันแทบจะทำให้ฉันสู้รบอะไรกับใครเขาไม่ได้ และถึงสองครั้งในคืนนั้นที่เอริคเข้ามาช่วยฉันอีกถึงสองครั้ง...ฉันคิดว่าเขาคอยจับตามองฉันอยู่ตลอดเวลา... เพราะพอฉันล้มลงเขาจะต้องปรากฏตัวขึ้นโผล่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้...
“พอวันรุ่งขึ้น เราก็ขุดรากถอนโคนศัตรูได้หมดสิ้นแล้วก็ออกไล่ติดตามไป พอฉันหันไปมองก็เห็นเอริคเข้ามาขี่ม้าเคียงข้างฉันแล้ว และเขาก็อยู่ในตำแหน่งนั้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
“ก็เป็นอันว่าท่านสามารถจะทำให้เขาภักดีต่อท่านได้เพราะท่านเคยช่วยชีวิตเขาไว้ตอนที่เขาถูกรุมนั่นสิเจ้าคะ”
“ฉันว่ามันไม่น่าจะใช่นะ ถ้าเขาจะภักดีกับฉันมันก็น่าจะเป็นคืนหลังจากนั้นสักอาทิตย์เห็นจะได้ ตอนที่ฉันฆ่างูตัวที่เลื้อยเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มของเอริคโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวนั่นแหละ”
“ตายจริง... ” โจนน์หัวเราะอย่างขบขัน “นี่ท่านคงไม่บอกฉันหรอกนะเจ้าคะว่า คนตัวใหญ่อย่างกับยักษ์นั่นจะกลัวงูที่เล็กกว่าเขามากมาย”
“ผู้หญิงต่างหากล่ะที่กลัวงู แต่ผู้ชายน่ะแค่เกลียดเท่านั้น” แต่เมื่อรู้สึกว่าเขากำลังจะทำลายบรรยากาศที่รื่นรมย์ลง รอยซ์ก็รีบกล่าวแก้ว่า “จะยังไงก็ตามทีเถอะมันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
รอยซ์ก้มลงมองดวงตาสีฟ้าที่เป็นประกายอย่างมีความสุขคู่นั้น อยากจะจูบเธอเหลือเกิน และโจนน์ซึ่งเชื่อมั่นว่าเขาอารมณ์ดีมากในคืนนี้ ก็เอ่ยถามในสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจเธอมาตลอดทั้งวันออกไป
“มายลอร์ดเจ้าคะ แล้ววันนี้ท่านตั้งใจจะให้เขาฆ่าเด็กนั่นจริง ๆ น่ะหรือเจ้าคะ”
สีหน้าของรอยซ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย และแล้วเขาก็เอ่ยออกมาเรียบ ๆ ว่า
“ฉันคิดว่าถึงเวลาที่เราจะขึ้นข้างบนกันแล้วนะ”
เธอไม่แน่ใจว่า เพราะเหตุใดเขาจึงตัดสินใจอย่างกะทันหันเช่นนั้น ทำให้เธอถามออกไปอย่างระแวงว่า
“อ้าว ทำไมล่ะเจ้าคะ”
“ก็เพราะว่าเธออยากจะคุย และฉันก็อยากจะนอนกับเธอน่ะสิ จะยังไงก็ตามทีเถอะ ไม่ว่าจะคุยหรือนอนฉันคิดว่าเราขึ้นไปคุยกันในห้องนอนจะเหมาะกว่าคุยกันในห้องโถงข้างล่างนี่”
โจนน์บอกตัวเองว่า เธอไม่มีทางเลือกเลยนอกจากจะตามเขาขึ้นไป ขณะลุกขึ้นจากโต๊ะตามเขาไปนั้น โจนน์ก็อดหน้าแดงไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงใครต่อใครช่วยกันตะโกนแนะนำเรื่องในเตียงกับรอยซ์อยู่ตลอดเวลา
เมื่อรอยซ์เปิดประตูห้องนอนของเขาออก โจนน์ยอมรับว่าเธอรู้สึกตื่นกลัวและสิ้นหวังเสียเหลือเกิน เธอได้แต่ยืนตัวแข็งราวถูกสาป จับตามองดูเขาที่ปิดประตูตามหลังลงและเมื่อกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องก็พบว่ามันเป็นห้องที่ใหญ่โตกว้างขวางมาก และที่น่าตื่นใจที่สุดในห้องนี้ก็คือหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ที่สามารถมองลงไปเห็นลานกว้างด้านหน้าของปราสาทได้โดยตลอด และยังทำให้ห้องสว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์
