บทที่ 9
ทางด้านซ้ายของห้องเป็นประตูที่เปิดเข้าสู่ห้องกระจกส่วนทางด้านขวานั้นเปิดออกสู่ห้องของโจนน์ เธอพยายามจะไม่มองไปที่เตียงนอน แต่มองดูประตูอีกสองบานที่ปิดสนิทอยู่ และเมื่อรอยซ์ขยับตัว เธอถึงกับสะดุ้งและพูดสิ่งแรกที่ผ่านเข้ามาในสมองออกไป
“เอ้อฃ ... ประตูสองบานนั่นเปิดออกสู่ห้องอะไรเจ้าคะ”
“อ๋อ... ประตูหนึ่งเปิดเข้าห้องน้ำ ส่วนอีกประตูหนึ่งเป็นห้องแต่งตัว” เขาตอบอย่างใจเย็นเมื่อเธอไม่ยอมมองมาทางเตียงนอน น้ำเสียงที่ถามก็เปลี่ยนไป “ฉันอยากรู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงเกิดกลัวการนอนร่วมเตียงกับฉันขึ้นมาทั้งที่ตอนนี้เราก็แต่งงานกันอย่างจริงจังแล้ว แล้วทำไมตอนนั้นเธอถึงได้ยอม ในเมื่อเธอมีอะไรต่อมิอะไรที่จะต้องสูญเสียตั้งแยะ”
“ก็เพราะตอนนั้นฉันไม่มีทางเลือกนี่เจ้าคะ” เธอพยายามชี้ให้เขามองเห็นเหตุผล
“ตอนนี้เธอก็ไม่มีอีกเหมือนกัน”
คำตอบของเขาทำให้เธอริมฝีปากแห้งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ยกมือขึ้นกอดอกไว้ราวกับเกิดความหนาวเหน็บขึ้นมาในทันใด
“ฉันไม่เข้าใจท่านเลยนะเจ้าคะ” เธอพยายามอธิบาย “ไม่รู้จะคาดหวังอะไรได้บ้าง บางครั้งท่านดูเป็นคนที่มีจิตใจเมตตามีเหตุผล พอฉันเริ่มคิดว่าท่านจะเหมือนกับ...เอ้อ...คนธรรมดาสามัญทั่วไป ท่านก็เริ่มทำสิ่งร้าย ๆ ขึ้นมาอีก... บอกตามตรงนะเจ้าคะ ว่าจะให้ฉันทำตัวตามสบายกับบุคคลที่เป็นคนแปลกหน้ากับฉันอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เธอหยุดเว้นระยะเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเขา “โดยเฉพาะเป็นคนแปลกหน้าที่น่ากลัวที่สุดอย่างนี้”
เขาสืบเท้าเข้ามาหาเธอช้า ๆ ทีละก้าว ๆ และโจนน์ก็ถอยหลังหนีทีละก้าว ๆ โดยไม่รู้ตัวจนชนเข้ากับเตียงนอนเมื่อไม่มีจะหนีไปไหนได้ เธอก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่
“อย่าแตะต้องเนื้อตัวฉันนะเจ้าคะ... ฉันไม่ต้องการให้ท่านมาถูกเนื้อต้องตัวฉันอีกต่อไป... ฉันเกลียด... ”
คิ้วเข้ม ๆ คู่นั้นขมวดเข้าหากัน ปฏิกิริยาที่เกิดตามมานั้นมันคล้ายกับเกิดขึ้นด้วยสัญชาตญาณเมื่อเขายื่นมือออกไป ปลายนิ้วดึงคอเสื้อของเธอขณะเดียวกันดวงตาก็จรดจ้องเธอราวสะกดจิต ปลายนิ้วนั้นล้วงลึกลงจนถึงหว่างทรวงและคลึงเคล้าอยู่ระหว่างทรวงอกทั้งสองข้าง
เปลวเพลิงเริ่มแลบเลียและแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ลมหายใจของเธอกระชั้นขึ้น และแล้วฝ่ามือข้างนั้นก็โอบอุ้มพุ่มพวงไว้
“บอกสิว่าเธอเกลียด ไม่ต้องการให้ฉันถูกเนื้อต้องตัวเธอ” น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา ดวงตาตรึงร่างเธอไว้ ขณะปลายนิ้วลูบไล้ยอดทรวงอยู่
โจนน์มีความรู้สึกอยู่ว่าทรวงอกของเธอเบ่งบานขึ้นในอุ้งมือของเขา พยายามสงบระงับอารมณ์และความอับอายไว้ที่ร่างกายทรยศต่อความตั้งใจของตนเอง แต่แล้วเขาก็ถอนมือออก
“ฉันมีความรู้สึกนะว่าเธอมีความสุขที่ได้หลอกล่อฉันและรู้สึกว่าเธอจะทำได้ดีกว่าผู้หญิงคนไหน ๆ ที่ฉันเคยรู้จักมาด้วย” ท่าทางเขาเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดเมื่อเดินไปรินไวน์ใส่ลงในถ้วยทอง เมื่อหันกลับ เขาก็พิจารณาเธออยู่เงียบ ๆ หลังจากปล่อยเวลาให้ผ่านไปเป็นครู่ เขาก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงที่ราวจะขออภัยนั้นทำให้โจนน์ต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความพิศวง
“ความผิดพลาดที่มันเกิดขึ้นครั้งนี้เนื่องจากฉันเองไม่ใช่เพราะเธอหลอกล่อฉันหรอก เธอเพียงแต่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีข้ออ้างที่จะทำในสิ่งที่ฉันอยากจะทำมาตั้งแต่ตอนที่เห็นเธอในเสื้อชุดนี้แล้ว”
เมื่อเธอยังยืนนิ่งเงียบ จับตามมองเขาอย่างหวาดระแวง เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับอาการถอนหายใจ
“โจนน์ การแต่งงานครั้งนี้แม้ว่าเราจะไม่ได้เลือก แต่เวลานี้มันก็เรียบร้อยไปแล้ว และเราจำเป็นที่จะต้องหาหนทางที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยความราบรื่น เราต่างก็ผิดด้วยกันมาตลอด ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มันเกิดขึ้นในอดีตได้ บางที...มันอาจจะดีที่จะปล่อยให้เธอพูดเหมือนที่เธอตั้งใจจะพูด เอาสิ... เชิญพูดได้เลย ถามมาสิ...ถามในทุกสิ่งที่เธออยากจะถาม เธออยากรู้อะไรมั่งล่ะ”
“สำหรับตอนแรกมีอยู่ด้วยกันสองข้อ” โจนน์ตอบด้วยน้ำเสียงชาเย็น “ฉันอยากรู้ว่าฉันทำผิดอะไร แล้วทำไมท่านถึงกล่าวหาว่าฉันทำผิดต่อท่าน”
“สำหรับคำถามหลังนั้นฉันจะไม่ขอตอบหรอกนะ... ก่อนหน้าที่ฉันกับเธอจะพบกันเมื่อตอนเย็นวันนี้ ฉันใช้เวลาอยู่ในห้องนี้ถึงสองชั่วโมง ทบทวนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เธอได้กระทำลงไป แล้วฉันก็ตัดสินใจว่าไม่ควรจะไปคิดถึงมันอีกอยากจะลืมมันเสียด้วยซ้ำ”
“ช่างมีน้ำใจเสียเหลือเกินนะเจ้าคะ” โจนน์พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ทั้งที่โดยความเป็นจริงแล้วฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรจนถึงขนาดที่จะต้องขอให้ท่านยกโทษให้ฉันด้วย และก็ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องอธิบายเพื่อความเข้าใจของท่านด้วย... แต่เอายังงี้ก็แล้วกันนะเจ้าคะ ฉันยินดีที่จะอธิบายในสิ่งที่ท่านสงสัย ถ้าท่านจะสัญญาว่าจะอธิบายให้ฉันเข้าใจในพฤติกรรมท่านด้วย”
มุมปากเขาหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อมองเห็นแววขุ่นเคืองปรากฏอยู่ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น ในอารมณ์นี้โจนน์หลงลืมความกลัวไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งทำให้เขารู้สึกคลายใจขึ้นอย่างมาก เพราะเขารู้สึกใจหายทุกครั้งที่เห็นเธอแสดงทีท่าหวาดหวั่นในตัวเขา
“ก็เอา...ยังงั้นก็ได้ ฉันตกลงกับเงื่อนไขของเธอ ว่ามาเลย”
“ก่อนอื่น ฉันอยากรู้ว่าท่านจะยอมให้เอริคฆ่าเด็กคนนั้นหรือเปล่า”
“เปล่า ฉันไม่เคยคิดอะไรยังงั้นด้วยซ้ำ”
“ถ้ายังงั้นตอนที่เขาจับตัวเด็กไว้ทำไมท่านไม่พูดอะไรออกมาเลยล่ะเจ้าคะ”
“ไม่จำเป็นต้องพูดนี่ เอริคไม่เคยทำอะไรโดยที่ฉันไม่ได้สั่งอยู่แล้ว การที่เขาหยุดชะงักและรออยู่นั่นน่ะไม่ใช่เพราะว่าเธอส่งเสียงร้องขึ้นมาหรอก แต่เพราะเขารอการตัดสินใจของฉันต่างหากล่ะ”
“ท่าน...ท่านพูดจริงหรือนี่...ท่านไม่ได้โกหกฉันใช่ไหมเจ้าคะ” เธอพยายามอ่านคำตอบจากใบหน้าเขาอยู่
“ก็แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะ”
“ถ้ายังงั้นฉันก็ขอโทษที่แสดงความหยาบคายต่อท่านออกไป”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกนะ ว่าเรื่องต่อไปได้เลย”
โจนน์สูดลมหายใจลึกและระบายออกมาช้า ๆ รู้ว่าเธอกำลังจะพูดในเรื่องที่ค่อนข้างอันตรายอย่างมาก
“ฉันอยากรู้ว่าทำไมท่านถึงตั้งใจจะกระทำหยามหยันหมิ่นเกียรติ หมิ่นศักดิ์ศรีของท่านพ่อ ของวงศ์ตระกูลฉันด้วยการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ไม่ว่าแคชเชอร์จะป้องกันแน่นหนาขนาดไหนท่านก็สามารถจะลักพาตัวฉันออกมาจากห้องนอนได้ และท่านก็ได้พิสูจน์แล้วว่าท่านน่ะเป็นบุคคลผู้มีความสามารถความกล้าหาญเหนือใคร ถ้าท่านจะให้เราทั้งสองมีชีวิตอยู่ด้วยกันต่อไปด้วยความราบรื่น ทำไมท่านถึงไม่รอ... ”
“โจนน์” เขาขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนห้าว “เธอน่ะ ทำให้ฉันกลายเป็นคนโง่ในสายตาของคนอื่นมาถึงสองครั้งสองหนแล้วนะ เอาละ เราเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว”
“ถ้าฉันต้องเป็นภรรยาท่านอย่างแท้จริง...” โจนน์เชิดหน้าขึ้นอย่างทระนง “ก่อนอื่นฉันก็อยากรู้เพื่อความแน่ใจว่าเพราะอะไรฉันถึงได้รับเกียรติจากท่านถึงเพียงนั้น”
“เธอเข้าใจดีอยู่แล้วนี่ว่าที่ฉันพูดมาทั้งหมดนั่นน่ะมันหมายความถึงอะไร”
“ก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้หรอกนะเจ้าคะ และคนอย่างฉันก็ไม่ต้องการรับเกียรติใด ๆ ทั้งสิ้นถ้าคิดว่าตัวเองไม่ควรที่จะได้รับ
“เธอนี่ช่างเป็นคนแปลกจริง ๆ เธอสามารถจะโกหกฉันซึ่ง ๆ หน้าก็ได้...” น้ำเสียงนั้นกร้าวกระด้างน่ากลัวนัก “ถ้าอยากจะฟังเรื่องที่มันสร้างความไม่สบายใจยังงั้นก็เอาสิเราพูดกันให้มันหมดเปลือกไปเลยก็ได้... เรื่องแรก...คือเรื่องน้องสาวของเธอ... คนที่ฉันเคยคิดว่าไม่มีปัญญาแม้แต่จะลุกขึ้นแต่งตัวเอง ปรากฏว่าหล่อนสามารถสร้างกลลวงด้วยการใช้หมอนขนนก...”
“ท่าน...ท่านรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเจ้าคะ” โจนน์แทบจะสำลักไวน์ที่ยกขึ้นดื่มพยายามซ่อนรอยยิ้มไว้
“ฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เธอหัวเราะนะ” เขาเตือนเสียงกร้าว
“อ้าว... ทำไมล่ะเจ้าคะ เรื่องนั้นมันน่าจะเป็นเรื่องทั้งสำหรับท่านและฉันอยู่แล้ว”
“เธออยากจะให้ฉันเข้าใจว่า เธอไม่รู้เรื่องนี้ด้วยเลยใช่ไหม” เขาจับตามองนวลแก้มที่แดงเรื่อขึ้น
“ถ้าฉันรู้... ท่านคิดว่าฉันจะแลกคุณค่าของความเป็นสาวกับขนนกนั่นไหมล่ะเจ้าคะ”
“ฉันไม่รู้หรอก ว่าแต่เธอจะยอมไหมล่ะ”
คำย้อนถามประโยคนั้นทำให้เปลือกตาต่ำลง
